พอดีได้ไปอ่านหัวข้อเกี่ยวกับเสียงนกชนิดนี้มาว่าด้วยการเรียนรู้เสียงใหม่ของตัวเอง เขียนโดย
Bob Planqué แม้จะไม่ใช่นกที่พบได้ในประเทศไทยก็ตาม แต่คิดว่าน่าสนใจดี เลยลองเอามาอภิปรายเพิ่มเติม
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักนกชนิดนี้ก่อน

รูปภาพโดย
Jim Burns
นกเบลเบิร์ดสามเหนียง หรือชื่อในภาษาอังกฤษและละตินคือ Three-wattled Belbird (
Procnias tricarunculatus, Verreaux, J & Verreaux, E, 1853 เป็นนกในตระกูลคอติงก้า (Cotingidae) มีถิ่นที่อยู่ในป่าดิบเขา ที่มีระดับความสูงอยู่ในช่วง 1,200-2,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลในแถบอเมริกากลาง อันได้แก่ทางตะวันออกของประเทศฮอนดูรัส, ตะวันออกเฉียงเหนือของนิคารากัว, คอสตาริกา และปานามา
มีขนาดลำตัวยาว 30 เซ็นติเมตรในเพศผู้ เพศเมียตัวเล็กลงมาหน่อยคือ 25 เซ็นติเมตร ลำตัวท่อนล่างและปีกสีน้ำตาลแดง ท่อนบนตั้งแต่อกขึ้นมาถึงหัวมีสีขาว กินผลไม้เป็นอาหารโดยเฉพาะผลของพืชในตระกูลอบเชย(Lauraceae) เป็นนกอพยพตามระดับความสูง และอาจจะลงมาบริเวณตีนเขาเมื่ออยู่ในช่วงหน้าหนาว
ลักษณะเด่นของนกชนิดนี้คือมีเหนียงห้อยที่ริมจงอยปากล่างสองข้าง และมีเหนียงตรงโคนจงอยปากบนอีกอันหนึ่ง รวมเป็นสามเหนียง อันเป็นที่มาของชื่อภาษาอังกฤษ Three-wattled และละติน tricarunculatus; tri = สาม, caruncula = เศษชิ้นเนื้อ
สถานภาพของนกชนิดนี้ตาม
IUCN Red List ล่าสุดคือเกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (Vu - Vulnerable)
มาถึงเรื่องของเสียง เสียงนกชนิดนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะโดยทั่วไปคือเสียง "บ๊อง" และเสียง "วี๊" หรือเสียงแบบเป่าขลุ่ย ซึ่งเราจะมาพิจารณาที่เสียงขลุ่ยเป็นพิเศษ จากหนังสือ The Singing Life of Birds ของ Don Kroodsma ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่าเสียงชนิดขลุ่ยของนกชนิดนี้ก่อนปี ค.ศ.1975 มีย่านความถี่ปกติอยู่ที่ 5.5 kHz และลดลงในช่วงปี 1985-1990 มาอยู่ที่ 4.5 kHz และยังลดลงอีกในช่วงปี 1995 เรื่อยมามาอยู่ที่ช่วงความถี่ 3.5-4.0 kHz
โชคไม่ดีหน่อยว่ายังไม่พบเสียงในช่วงปี 1975 มาแชร์ในพื้นที่สาธารณะ แต่มีเสียงที่บันทึกในช่วงปี 1988 โดย Rolf A. de By:
https://www.xeno-canto.org/10925

ให้สังเกตดูจากภาพจะเห็นว่าคลื่นเสียงก้อนที่สอง นั่นคือเสียงแบบขลุ่ย ตรงช่วงที่ต่ำที่สุดจะอยู่เห็นว่าอยู่ที่ประมาณ 4.5 kHz
และเมื่อย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ 7 ปี ในไฟล์เสียงปี 1981 บันทึกโดย Arnoud B. van den Berg:
https://macaulaylibrary.org/asset/28267

ดู Spectogram ตรงนี้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เพราะไม่แสดงสเกลตรงเลขคี่ให้เราเห็น ซึ่งผมได้ลองใช้โปรแกรมอื่นดูปรากฏว่าเสียงขลุ่ยตรงนี้อยู่ที่ย่านความถี่ 4.7 kHz สูงกว่าเสียงแรกอยู่ 0.2 kHz
อันนี้ต่อมาในปี 2001 บันทึกเสียงโดย Max Roth:
https://www.xeno-canto.org/725

เห็นได้ชัดเจนว่าเสียงขลุ่ยตกลงมาจากสองไฟล์ข้างบน มาอยู่ที่ช่วง 3.8 kHz ความถี่ลดลงมา 0.7 kHz และ 0.9 kHz ภายในระยะเวลา 13 ปี และ 20 ปีตามลำดับ
ทีนี้มาดูในช่วง 10 กว่าปีให้หลังมาอีก ในปี 2015 บันทึกโดย Oscar Campbell:
https://www.xeno-canto.org/278641

สังเกตก้อนเสียงก้อนที่ 3 จะเห็นว่าเสียงต่ำลงมาอีก เหลือแค่ราว 3.1 kHz เท่านั้น
หรืออย่างล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วของปี 2018 นี้นี่เอง Dawid W. Foster ได้บันทึกเสียงขลุ่ยนี้เอาไว้
https://macaulaylibrary.org/asset/99950681

ดู Spectogram ไม่ค่อยชัดอีกแล้ว ผมได้ลองไปเทียบจากโปรแกรมอื่นพบว่าคลื่นเสียงขลุ่ยช่วงต่ำสุดของไฟล์เสียงนี้อยู่ที่ 2.8 kHz เท่านั้น
เสียงทั้งหมดที่หยิบยกมาถูกบันทึกในเขตพื้นที่ประเทศคอสตาริกาทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราสามารถตัดความแกว่งจากเสียงนกต่างภูมิภาคเช่นนกจากปานามาหรือนกจากนิคารากัวได้ และสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่าเสียงนกเบลเบิร์ดสามเหนียงมันค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆลงทุกปี
แล้วสาเหตุอะไรกันหละที่ทำให้นกมีคลื่นเสียงที่เบาลง ในบทวิจัยชิ้นนี้
The learning advantage: bird species that learn their song show a tighter adjustment of song to noisy environments than those that do not learn ได้ศึกษาว่านกที่เรียนรู้เสียงของตัวเองแสดงการปรับเสียงร้องให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมโดยรอบที่มีเสียงดังได้ดีกว่านกที่ไม่เรียนรู้การปรับเสียง
หรือบทความของ Ulf Elman ในหัวข้อ
Traffic noise – damaging to birds and a nuisance to recordists ที่ได้รวบรวมงานวิจัยต่างๆมากมายที่ว่าด้วยเสียงจากกิจกรรมของมนุษย์ได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมบางอย่างของนก(และรวมไปถึงสัตว์ชนิดอื่นอย่างสุนัขจิ้งจอก) อาทิเช่น “Negative impact of traffic noise on avian reproductive success”(2011) โดย Wouter Halfwerk, Leonard J. M. Holleman, Kate. M. Lessells, Hans Slabbekoorn
หรืองานชิ้นนี้ "Major Roads Have a Negative Impact on the Tawny Owl Strix aluco and the Little Owl Athene noctua Populations" (2012) โดย Clara C. Silva, Rui Lourenço, Sérgio Godinho, Edgar Gomes, Helena Sabino-Marques, Denis Medinas, Vânia Neves, Carmo Silva, João E. Rabaça and António Mira
ตรงนี้มันแสดงถึงอะไร นั่นหมายถึงมีการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศบริเวณที่นกชนิดนั้นๆอยู่อาศัย การมีเสียงรบกวนเพิ่มมากขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ได้ส่งผลต่อคลื่นเสียงของนก
ในที่นี้คือการพัฒนาขยายพื้นที่อยู่หรือพื้นที่กิจกรรมของมนุษย์ในแถบอเมริกากลาง ส่งผลให้นกเบลเบิร์ดสามเหนียงมีเสียงร้องที่ต่ำลงไปเรื่อยๆ
ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับข้อมูลการพัฒนาเศรษฐกิจของคอสตาริกา ที่มีการจัดตั้งองค์กรชื่อ la Corporación Costarricense de Desarrollo (CODESA) ในปี ค.ศ.1972 โดยมีจุดประสงค์เพื่อผลักดันให้ประเทศคอสตาริกากลายเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าส่งออก อันเป็น phase ที่ 2 ที่ต่อเนื่องจากการพัฒนาเป็นประเทศที่มีกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ
และนั่นทำให้ GDP ของคอสตาริกาเพิ่มขึ้นจาก 13.2 ไปเป็น 22% ในช่วงระหว่างปี 1960-1979 และที่สำคัญคือผลผลิตสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 2.4 ขึ้นไปถึงราว 30% (Buitelaar, Padilla and Urrutia-Alvarez, 2000)
เสียงของนกเบลเบิร์ดสามเหนียงจะต่ำลงไปได้อีกแค่ไหน หรือเสียงนั้นจะหยุดลงไปตลอดกาล...
มนุษย์เราจะเป็นผู้กำหนด
*แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลด้านเศรษฐกิจ
หรือเสียงของนกเบลเบิร์ดสามเหนียงกำลังจะหายไป?
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักนกชนิดนี้ก่อน
รูปภาพโดย Jim Burns
นกเบลเบิร์ดสามเหนียง หรือชื่อในภาษาอังกฤษและละตินคือ Three-wattled Belbird (Procnias tricarunculatus, Verreaux, J & Verreaux, E, 1853 เป็นนกในตระกูลคอติงก้า (Cotingidae) มีถิ่นที่อยู่ในป่าดิบเขา ที่มีระดับความสูงอยู่ในช่วง 1,200-2,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลในแถบอเมริกากลาง อันได้แก่ทางตะวันออกของประเทศฮอนดูรัส, ตะวันออกเฉียงเหนือของนิคารากัว, คอสตาริกา และปานามา
มีขนาดลำตัวยาว 30 เซ็นติเมตรในเพศผู้ เพศเมียตัวเล็กลงมาหน่อยคือ 25 เซ็นติเมตร ลำตัวท่อนล่างและปีกสีน้ำตาลแดง ท่อนบนตั้งแต่อกขึ้นมาถึงหัวมีสีขาว กินผลไม้เป็นอาหารโดยเฉพาะผลของพืชในตระกูลอบเชย(Lauraceae) เป็นนกอพยพตามระดับความสูง และอาจจะลงมาบริเวณตีนเขาเมื่ออยู่ในช่วงหน้าหนาว
ลักษณะเด่นของนกชนิดนี้คือมีเหนียงห้อยที่ริมจงอยปากล่างสองข้าง และมีเหนียงตรงโคนจงอยปากบนอีกอันหนึ่ง รวมเป็นสามเหนียง อันเป็นที่มาของชื่อภาษาอังกฤษ Three-wattled และละติน tricarunculatus; tri = สาม, caruncula = เศษชิ้นเนื้อ
สถานภาพของนกชนิดนี้ตาม IUCN Red List ล่าสุดคือเกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (Vu - Vulnerable)
มาถึงเรื่องของเสียง เสียงนกชนิดนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะโดยทั่วไปคือเสียง "บ๊อง" และเสียง "วี๊" หรือเสียงแบบเป่าขลุ่ย ซึ่งเราจะมาพิจารณาที่เสียงขลุ่ยเป็นพิเศษ จากหนังสือ The Singing Life of Birds ของ Don Kroodsma ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่าเสียงชนิดขลุ่ยของนกชนิดนี้ก่อนปี ค.ศ.1975 มีย่านความถี่ปกติอยู่ที่ 5.5 kHz และลดลงในช่วงปี 1985-1990 มาอยู่ที่ 4.5 kHz และยังลดลงอีกในช่วงปี 1995 เรื่อยมามาอยู่ที่ช่วงความถี่ 3.5-4.0 kHz
โชคไม่ดีหน่อยว่ายังไม่พบเสียงในช่วงปี 1975 มาแชร์ในพื้นที่สาธารณะ แต่มีเสียงที่บันทึกในช่วงปี 1988 โดย Rolf A. de By: https://www.xeno-canto.org/10925
ให้สังเกตดูจากภาพจะเห็นว่าคลื่นเสียงก้อนที่สอง นั่นคือเสียงแบบขลุ่ย ตรงช่วงที่ต่ำที่สุดจะอยู่เห็นว่าอยู่ที่ประมาณ 4.5 kHz
และเมื่อย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ 7 ปี ในไฟล์เสียงปี 1981 บันทึกโดย Arnoud B. van den Berg: https://macaulaylibrary.org/asset/28267
ดู Spectogram ตรงนี้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เพราะไม่แสดงสเกลตรงเลขคี่ให้เราเห็น ซึ่งผมได้ลองใช้โปรแกรมอื่นดูปรากฏว่าเสียงขลุ่ยตรงนี้อยู่ที่ย่านความถี่ 4.7 kHz สูงกว่าเสียงแรกอยู่ 0.2 kHz
อันนี้ต่อมาในปี 2001 บันทึกเสียงโดย Max Roth: https://www.xeno-canto.org/725
เห็นได้ชัดเจนว่าเสียงขลุ่ยตกลงมาจากสองไฟล์ข้างบน มาอยู่ที่ช่วง 3.8 kHz ความถี่ลดลงมา 0.7 kHz และ 0.9 kHz ภายในระยะเวลา 13 ปี และ 20 ปีตามลำดับ
ทีนี้มาดูในช่วง 10 กว่าปีให้หลังมาอีก ในปี 2015 บันทึกโดย Oscar Campbell: https://www.xeno-canto.org/278641
สังเกตก้อนเสียงก้อนที่ 3 จะเห็นว่าเสียงต่ำลงมาอีก เหลือแค่ราว 3.1 kHz เท่านั้น
หรืออย่างล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วของปี 2018 นี้นี่เอง Dawid W. Foster ได้บันทึกเสียงขลุ่ยนี้เอาไว้ https://macaulaylibrary.org/asset/99950681
ดู Spectogram ไม่ค่อยชัดอีกแล้ว ผมได้ลองไปเทียบจากโปรแกรมอื่นพบว่าคลื่นเสียงขลุ่ยช่วงต่ำสุดของไฟล์เสียงนี้อยู่ที่ 2.8 kHz เท่านั้น
เสียงทั้งหมดที่หยิบยกมาถูกบันทึกในเขตพื้นที่ประเทศคอสตาริกาทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราสามารถตัดความแกว่งจากเสียงนกต่างภูมิภาคเช่นนกจากปานามาหรือนกจากนิคารากัวได้ และสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่าเสียงนกเบลเบิร์ดสามเหนียงมันค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆลงทุกปี
แล้วสาเหตุอะไรกันหละที่ทำให้นกมีคลื่นเสียงที่เบาลง ในบทวิจัยชิ้นนี้ The learning advantage: bird species that learn their song show a tighter adjustment of song to noisy environments than those that do not learn ได้ศึกษาว่านกที่เรียนรู้เสียงของตัวเองแสดงการปรับเสียงร้องให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมโดยรอบที่มีเสียงดังได้ดีกว่านกที่ไม่เรียนรู้การปรับเสียง
หรือบทความของ Ulf Elman ในหัวข้อ Traffic noise – damaging to birds and a nuisance to recordists ที่ได้รวบรวมงานวิจัยต่างๆมากมายที่ว่าด้วยเสียงจากกิจกรรมของมนุษย์ได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมบางอย่างของนก(และรวมไปถึงสัตว์ชนิดอื่นอย่างสุนัขจิ้งจอก) อาทิเช่น “Negative impact of traffic noise on avian reproductive success”(2011) โดย Wouter Halfwerk, Leonard J. M. Holleman, Kate. M. Lessells, Hans Slabbekoorn
หรืองานชิ้นนี้ "Major Roads Have a Negative Impact on the Tawny Owl Strix aluco and the Little Owl Athene noctua Populations" (2012) โดย Clara C. Silva, Rui Lourenço, Sérgio Godinho, Edgar Gomes, Helena Sabino-Marques, Denis Medinas, Vânia Neves, Carmo Silva, João E. Rabaça and António Mira
ตรงนี้มันแสดงถึงอะไร นั่นหมายถึงมีการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศบริเวณที่นกชนิดนั้นๆอยู่อาศัย การมีเสียงรบกวนเพิ่มมากขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ได้ส่งผลต่อคลื่นเสียงของนก
ในที่นี้คือการพัฒนาขยายพื้นที่อยู่หรือพื้นที่กิจกรรมของมนุษย์ในแถบอเมริกากลาง ส่งผลให้นกเบลเบิร์ดสามเหนียงมีเสียงร้องที่ต่ำลงไปเรื่อยๆ
ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับข้อมูลการพัฒนาเศรษฐกิจของคอสตาริกา ที่มีการจัดตั้งองค์กรชื่อ la Corporación Costarricense de Desarrollo (CODESA) ในปี ค.ศ.1972 โดยมีจุดประสงค์เพื่อผลักดันให้ประเทศคอสตาริกากลายเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าส่งออก อันเป็น phase ที่ 2 ที่ต่อเนื่องจากการพัฒนาเป็นประเทศที่มีกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ
และนั่นทำให้ GDP ของคอสตาริกาเพิ่มขึ้นจาก 13.2 ไปเป็น 22% ในช่วงระหว่างปี 1960-1979 และที่สำคัญคือผลผลิตสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 2.4 ขึ้นไปถึงราว 30% (Buitelaar, Padilla and Urrutia-Alvarez, 2000)
เสียงของนกเบลเบิร์ดสามเหนียงจะต่ำลงไปได้อีกแค่ไหน หรือเสียงนั้นจะหยุดลงไปตลอดกาล...
มนุษย์เราจะเป็นผู้กำหนด
*แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลด้านเศรษฐกิจ