ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 4
ขอตอบข้อ 1-2 รวมกันไปเลยครับ
ครั้งนั้นกองทัพพม่ายกมา 2 ทางและไล่ตีหัวเมืองของอยุทธยาไปจำนวนมาก ไม่ได้โจมตีอยุทธยาเพียงเมืองเดียว โดยทัพทางเหนือของเนมฺโยสีหปเต๊ะตั้งต้นจากเชียงใหม่ ลงมาตีเมืองสวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ แล้วลงมาตั้งที่ปากน้ำประสบ ชานพระนคร
ทัพทางใต้ของมหานรธา เริ่มตั้นต้นจากทวาย แล้วไปตีมะริด ตะนาวศรี ไชยา ชุมพร กุยบุรี ปราณบุรี เพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ธนบุรี นนทบุรี แล้วขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่บ้านสีกุก ชานพระนคร
พงศาวดารไทยระบุว่าพระเจ้ามังระทรงส่งทัพเสริมจากเมืองเมาะตะมะ ยกเข้ามาทางด่านเมืองอุทัยธานีไปตั้งที่เมืองวิเศษไชยชาญทัพหนึ่ง อีกทัพยกมาทางกาญจนบุรีเข้าไปตั้งที่ขนอนวัดโปรดสัตว์ มีชาวบ้านในหัวเมืองแถบแม่น้ำน้อยคือวิเศษไชยชาญ สิงห์บุรี สรรคบุรียอมอ่อนน้อมต่อพม่าที่ยกมาทางอุทัยธานี แต่ภายหลังกลุ่มนี้ไม่พอใจที่พม่าข่มเหงเลยแยกตัวไปตั้งค่ายบ้านระจันต่อต้านพม่า
ดังนั้น หัวเมืองที่ไม่ถูกพม่าโจมตีและสามารถหลบหนีไปได้ คือ
- ภาคใต้ต่ำกว่าไชยาลงไป คือชุมนุมของเจ้านครศรีธรรมราช
- ภาคตะวันออกเลยฉะเชิงเทราไปเพราะยังปรากฏในพงศาวดารว่ามีกองทัพพม่ายกจากปากน้ำโจ้โล้มาตั้งอยู่ที่ท่าข้ามเมืองฉะเชิงเทราจนต้องรบพระเจ้ากรุงธนบุรี อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่าอิทธิพลของพม่ามาถึงบางละมุงเพราะพม่าสั่งให้ผู้รั้งเมืองถือหนังสือไปเมืองจันทบูรให้แต่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปอ่อนน้อมต่อพม่าที่โพธิ์สามต้น
- ภาคกลาง ในแถบแม่น้ำป่าสักคือ ลพบุรี สระบุรี ลพบุรีนั้นมีหลักฐานว่ามีเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าและพระญาติวงศ์ของพระเจ้ากรุงธนบุรีไปหลบซ่อนอยู่จำนวนมาก ส่วนสระบุรีไม่ได่ถูกพม่าตีโดยตรง แต่เจอผลกระทบคือกองจีนอาสาที่คลองสวนพลูละทิ้งหน้าที่การรักษากรุงขึ้นไปเผาพระพุทธบาทแล้วลอกเอาเงินทองที่หุ้มอยู่ไปหมด
- ภาคอีสาน ทางพิมาย นครราชสีมา ซึ่งกลายเป็นที่ตั้งชุมนุมเจ้าพิมายของกรมหมื่นเทพพิพิธ
- ภาคเหนือ (ภาคกลางตอนบน) เมืองพิษณุโลก เมืองสวางคบุรี ซึ่งกลายเป็นที่ตั้งชุมนุมของเจ้าพิษณุโลกและเจ้าพระฝาง ทางพิษณุโลกก็มีขุนนางในกรุงหลบหนีไปอยู่ เช่น พระอักษรสุนทร (สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก) พระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ ไปรับราชการกับเจ้าพิษณุโลกจนได้เป็นสมุหนายก
แต่ถึงไม่ได้โดนพม่าโจมตี หัวเมืองต่างๆก็ได้รับผลกระทบจากสงครามมาก ทั้งเรื่องสถานะของผู้ปกครองที่เปลี่ยนแปลงไป โดยส่วนใหญ่ตั้งตัวเป็นเจ้าเพราะรัฐบาลกลางคืออยุทธยาไม่สามารถปกครองได้อีก รวมถึงการเกิดศึกแย่งชิงอำนาจระหว่างเมืองและชุมนุมต่างๆ ด้วยครับ โดยเฉพาะชุมนุมเจ้าพิมายที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือกลุ่มของกรมหมื่นเทพิพิธเข้าไปแย่งชิงอำนาจกับกลุ่มผู้ปกครองเดิม หรือกรณีที่พระยาตากเข้าไปโจมตีหัวเมืองชายทะเลตะวันออกไว้ในอำนาจทำให้เจ้าเมืองเดิมทั้งระยองและจันทบูรต้องเสียอำนาจไปครับ
3. โดยปกติแล้วไม่เคยมีการอพยพประชากรจำนวนมากครับ ถ้าแค่หลบหนีไปกลุ่มเล็กๆ เป็นไปได้ที่จะปลอดภัยจากพม่าวึ่งมีตัวอย่างให้เห็นหลายกรณี แต่ถ้าอพยพไปกลุ่มใหญ่จริงก็ยากต่อการหนีรอดจากพม่าไปได้ และพม่าคงไม่เสียเวลาไปโจมตีอยุทธยาที่กลายเป็นเมืองร้าง แต่ก็น่าจะยกทัพตามตีเมืองซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางการปกครองแห่งใหม่แทน
4. รัชกาลที่ ๑ ในเวลานั้นทรงประทับอยู่ที่อัมพวาโดยมีตำแหน่งเป็นแค่หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี (บางฉบับระบุว่าเป็นหลวงปลัด) ซึ่งยกกระบัตรเป็นตำแหน่งข้าราชการที่พระเจ้าแผ่นดินออกไปประจำหัวเมืองเพื่อตรวจราชการเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจบังคับบัญชาในเมืองราชบุรีแต่อย่างใด จึงไม่มีทั้งอำนาจและกำลังทหารที่จะช่วยเหลืออยุทธยาได้ นอกจากนี้เมืองราชบุรีก็ถูกกองทัพพม่าตีแตกอย่างไม่ยากเย็น ต่อให้รัชกาลที่ ๑ เป็นเจ้าเมืองก็ไม่น่าจะมีอำนาจเพียงพอจะต้านพม่าได้ครับ โดยในเอกสารอภินิหารบรรพบุรุษอ้างว่า รัชกาลที่ ๑ ทรงพาครอบครัวหลบหนีพม่าเข้าป่าไปหมด
ภายหลังพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งกรุงใหม่ คุณบุญมา (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) พระอนุชาได้รับราชการเป็นพระมหามนตรี สมุหพระตำรวจในขวา จึงไปรับพระเชษฐาที่ราชบุรีให้มารับราชการครับ
ครั้งนั้นกองทัพพม่ายกมา 2 ทางและไล่ตีหัวเมืองของอยุทธยาไปจำนวนมาก ไม่ได้โจมตีอยุทธยาเพียงเมืองเดียว โดยทัพทางเหนือของเนมฺโยสีหปเต๊ะตั้งต้นจากเชียงใหม่ ลงมาตีเมืองสวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ แล้วลงมาตั้งที่ปากน้ำประสบ ชานพระนคร
ทัพทางใต้ของมหานรธา เริ่มตั้นต้นจากทวาย แล้วไปตีมะริด ตะนาวศรี ไชยา ชุมพร กุยบุรี ปราณบุรี เพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ธนบุรี นนทบุรี แล้วขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่บ้านสีกุก ชานพระนคร
พงศาวดารไทยระบุว่าพระเจ้ามังระทรงส่งทัพเสริมจากเมืองเมาะตะมะ ยกเข้ามาทางด่านเมืองอุทัยธานีไปตั้งที่เมืองวิเศษไชยชาญทัพหนึ่ง อีกทัพยกมาทางกาญจนบุรีเข้าไปตั้งที่ขนอนวัดโปรดสัตว์ มีชาวบ้านในหัวเมืองแถบแม่น้ำน้อยคือวิเศษไชยชาญ สิงห์บุรี สรรคบุรียอมอ่อนน้อมต่อพม่าที่ยกมาทางอุทัยธานี แต่ภายหลังกลุ่มนี้ไม่พอใจที่พม่าข่มเหงเลยแยกตัวไปตั้งค่ายบ้านระจันต่อต้านพม่า
ดังนั้น หัวเมืองที่ไม่ถูกพม่าโจมตีและสามารถหลบหนีไปได้ คือ
- ภาคใต้ต่ำกว่าไชยาลงไป คือชุมนุมของเจ้านครศรีธรรมราช
- ภาคตะวันออกเลยฉะเชิงเทราไปเพราะยังปรากฏในพงศาวดารว่ามีกองทัพพม่ายกจากปากน้ำโจ้โล้มาตั้งอยู่ที่ท่าข้ามเมืองฉะเชิงเทราจนต้องรบพระเจ้ากรุงธนบุรี อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่าอิทธิพลของพม่ามาถึงบางละมุงเพราะพม่าสั่งให้ผู้รั้งเมืองถือหนังสือไปเมืองจันทบูรให้แต่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปอ่อนน้อมต่อพม่าที่โพธิ์สามต้น
- ภาคกลาง ในแถบแม่น้ำป่าสักคือ ลพบุรี สระบุรี ลพบุรีนั้นมีหลักฐานว่ามีเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าและพระญาติวงศ์ของพระเจ้ากรุงธนบุรีไปหลบซ่อนอยู่จำนวนมาก ส่วนสระบุรีไม่ได่ถูกพม่าตีโดยตรง แต่เจอผลกระทบคือกองจีนอาสาที่คลองสวนพลูละทิ้งหน้าที่การรักษากรุงขึ้นไปเผาพระพุทธบาทแล้วลอกเอาเงินทองที่หุ้มอยู่ไปหมด
- ภาคอีสาน ทางพิมาย นครราชสีมา ซึ่งกลายเป็นที่ตั้งชุมนุมเจ้าพิมายของกรมหมื่นเทพพิพิธ
- ภาคเหนือ (ภาคกลางตอนบน) เมืองพิษณุโลก เมืองสวางคบุรี ซึ่งกลายเป็นที่ตั้งชุมนุมของเจ้าพิษณุโลกและเจ้าพระฝาง ทางพิษณุโลกก็มีขุนนางในกรุงหลบหนีไปอยู่ เช่น พระอักษรสุนทร (สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก) พระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ ไปรับราชการกับเจ้าพิษณุโลกจนได้เป็นสมุหนายก
แต่ถึงไม่ได้โดนพม่าโจมตี หัวเมืองต่างๆก็ได้รับผลกระทบจากสงครามมาก ทั้งเรื่องสถานะของผู้ปกครองที่เปลี่ยนแปลงไป โดยส่วนใหญ่ตั้งตัวเป็นเจ้าเพราะรัฐบาลกลางคืออยุทธยาไม่สามารถปกครองได้อีก รวมถึงการเกิดศึกแย่งชิงอำนาจระหว่างเมืองและชุมนุมต่างๆ ด้วยครับ โดยเฉพาะชุมนุมเจ้าพิมายที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือกลุ่มของกรมหมื่นเทพิพิธเข้าไปแย่งชิงอำนาจกับกลุ่มผู้ปกครองเดิม หรือกรณีที่พระยาตากเข้าไปโจมตีหัวเมืองชายทะเลตะวันออกไว้ในอำนาจทำให้เจ้าเมืองเดิมทั้งระยองและจันทบูรต้องเสียอำนาจไปครับ
3. โดยปกติแล้วไม่เคยมีการอพยพประชากรจำนวนมากครับ ถ้าแค่หลบหนีไปกลุ่มเล็กๆ เป็นไปได้ที่จะปลอดภัยจากพม่าวึ่งมีตัวอย่างให้เห็นหลายกรณี แต่ถ้าอพยพไปกลุ่มใหญ่จริงก็ยากต่อการหนีรอดจากพม่าไปได้ และพม่าคงไม่เสียเวลาไปโจมตีอยุทธยาที่กลายเป็นเมืองร้าง แต่ก็น่าจะยกทัพตามตีเมืองซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางการปกครองแห่งใหม่แทน
4. รัชกาลที่ ๑ ในเวลานั้นทรงประทับอยู่ที่อัมพวาโดยมีตำแหน่งเป็นแค่หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี (บางฉบับระบุว่าเป็นหลวงปลัด) ซึ่งยกกระบัตรเป็นตำแหน่งข้าราชการที่พระเจ้าแผ่นดินออกไปประจำหัวเมืองเพื่อตรวจราชการเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจบังคับบัญชาในเมืองราชบุรีแต่อย่างใด จึงไม่มีทั้งอำนาจและกำลังทหารที่จะช่วยเหลืออยุทธยาได้ นอกจากนี้เมืองราชบุรีก็ถูกกองทัพพม่าตีแตกอย่างไม่ยากเย็น ต่อให้รัชกาลที่ ๑ เป็นเจ้าเมืองก็ไม่น่าจะมีอำนาจเพียงพอจะต้านพม่าได้ครับ โดยในเอกสารอภินิหารบรรพบุรุษอ้างว่า รัชกาลที่ ๑ ทรงพาครอบครัวหลบหนีพม่าเข้าป่าไปหมด
ภายหลังพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งกรุงใหม่ คุณบุญมา (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) พระอนุชาได้รับราชการเป็นพระมหามนตรี สมุหพระตำรวจในขวา จึงไปรับพระเชษฐาที่ราชบุรีให้มารับราชการครับ
แสดงความคิดเห็น
ดูหนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนกรุงแตก คนที่อยู่ในจังหวัดภาคตะวันออกกับภาคใต้ คือมีชีวิตปกติดี อังวะไม่ได้บุกถึงใช่ไหมครับ
1. ถ้าเมืองจันทบูร ยังมั่นคงมั่งคั่ง เท่ากับว่า อังวะมิได้บุกไปทำลายใช้ไหมครับ?
2. ในช่วงกรุงแตก อังวะมุ่งทำลายอยุธยาเท่านั้น แสดงว่า จังหวัดอื่นๆในภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ ก็มิได้รับผลกระทบอะไรจากศึกสงครามครั้งนี้ใช่ไหมครับ
3. ถ้าก่อนเสียกรุง แล้วคนอยุธยามีการอพยพย้ายถิ่นไปในจังหวัด ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ ก็จะรอดใช่ไหมครับ
4. ช่วงเสียกรุง ร.1 ท่านรับราชการเจ้าเมืองที่ไหนครับ แล้วเหตุใดจึงมิได้ยกทัพมาช่วยอยุธยา หรือเป็นเหตุผลเดียวกับพระเจ้าตากที่เล็งเห็นแล้วว่ากรุงแตกแน่ๆ
ขอบพระคุณนะครับ