เชรี้ย! บ่น ตอนที่ 5
วันที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น วันที่โปรเจคเรียบร้อย ผมเตรียมใจเขียนเรื่องสั้นเพื่อส่งสำนักพิมพ์
ยากชิบ อะไรวะ นี่ต้องมานั่ง Skimming อ่านทวนเนื้อเรื่องที่ตัวเองเขียนมาทั้งหมดแปดหมื่นคำเหรอเนี่ย รู้งี้วางพลอตตั้งแต่แรก
เอ๊ะ! พลอต? ผมสงสัยกับตัวเองใจ ทำไมจู่ ๆ ก็เพิ่งจะเข้าใจคำนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจะเข้าใจ ว่าคือมันอะไร สุดท้ายก็ต้องเสียเวลาอ่านทวนอีกรอบ เล่นเอาเสียเวลาทั้งวัน กว่าจะเสร็จก็ตีสาม สรุปวันนั้นไม่ได้ส่ง
วันรุ่งขึ้นผมตื่นนอนขึ้นมาพร้อมกับตาปรือ ๆ และท่าบิดขี้เกียจประจำตัว ผมแอ่นหน้าอกขึ้นเหมือนนกนางแอ่น (นกนางแอ่นมันแอ่นอกป่ะ?) แล้วเหยียดทุกอย่างเหมือนจะให้หลุดออกจากตัว แสงตะวันทิ่มทะลวงดวงตาเล่นเอาน่ารำคาญ ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปปิดม่าน และตอนจังหวะที่กำลังจะปิด ก็เห็นชายฉกรรจ์สี่ห้าคนยืนทำอะไรกับเสาไฟอยู่หน้าบ้าน สักพักไฟก็ดับ รอประมาณสิบนาทีไฟก็กลับมาป แต่ที่ผิดปกติก็คือ อินเตอร์เน็ตใช้ไม่ได้จ้า ไอ้ที่ส่งต้นฉบับก็เลยดองเอาไว้ไม่ได้ส่ง โอ้ย! นี่มันอะไรนักหนา แต่ความพยายามของผมยังไม่หมดแค่นั่นหรอก ด้วยความมุ่งมั่นและบากบั่น ผมเลยบากหน้าไปที่ร้านกาแฟ ขณะที่กำลังเตรียมพร้อมทุกอย่างกำลังจะกดส่ง อยู่ ๆ โน๊ตบุ๊คก็ค้างขึ้นมา อันนี้ไม่ได้อำ จริง ๆ อะไรจะขนาดนี้ สัญญาณดีเหลือเกิน เค้าบอกว่าคนเราจะสำเร็จอะไรสักอย่างจะมีบททดสอบเสมอ ผมเลยคิดเข้าข้างตัวเองทันที
“หรือว่าเป็นสัญญาณที่ดี” การมองโลกในแง่ดีมันก็ดีแบบนี้นี่เอง
ผมจัดการรีเครื่องแล้วส่งใหม่แล้วในที่สุดก็ส่งผ่านเว้ย ไอช่วงที่กดส่งไปแล้วความรู้สึกปลื้มปริ่มก็แล่นถาโถมเข้ามาในอก เหมือนคลื่นสึนามิที่เต็มไปด้วยประกายแสงแห่งความสุขสาดเข้ามาชำระล้างความหมองหม่นในใจให้หายไป ผมยิ้มร่าส่งข้อความผ่านเฟสไปบอกเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงาน ห้าหกคน ผมได้ทั้งกำลังใจ คำอวยพร และเสียงเชียร์กลับมา นี่สินะที่เค้าเรียกว่าน้ำตาแห่งความยินดี เคยมีคนบอกว่าถ้าน้ำตาล้นออกมาเต็มดวงตา นั่นเป็นสัญญาณแห่งความสุขใจ เหมือนผมจะเพิ่งเข้าใจก็วันนี้แหละ ปกติผมเป็นคนกินน้ำน้อย เหลือเชื่อเหมือนกันว่าคนคนนึงจะมีน้ำตาได้เยอะขนาดนี้ เล่นเอาผมงงกับตัวเองไปเลยทีเดียว
เชรี้ย! บ่น ตอนที่ 5
วันที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น วันที่โปรเจคเรียบร้อย ผมเตรียมใจเขียนเรื่องสั้นเพื่อส่งสำนักพิมพ์
ยากชิบ อะไรวะ นี่ต้องมานั่ง Skimming อ่านทวนเนื้อเรื่องที่ตัวเองเขียนมาทั้งหมดแปดหมื่นคำเหรอเนี่ย รู้งี้วางพลอตตั้งแต่แรก
เอ๊ะ! พลอต? ผมสงสัยกับตัวเองใจ ทำไมจู่ ๆ ก็เพิ่งจะเข้าใจคำนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจะเข้าใจ ว่าคือมันอะไร สุดท้ายก็ต้องเสียเวลาอ่านทวนอีกรอบ เล่นเอาเสียเวลาทั้งวัน กว่าจะเสร็จก็ตีสาม สรุปวันนั้นไม่ได้ส่ง
วันรุ่งขึ้นผมตื่นนอนขึ้นมาพร้อมกับตาปรือ ๆ และท่าบิดขี้เกียจประจำตัว ผมแอ่นหน้าอกขึ้นเหมือนนกนางแอ่น (นกนางแอ่นมันแอ่นอกป่ะ?) แล้วเหยียดทุกอย่างเหมือนจะให้หลุดออกจากตัว แสงตะวันทิ่มทะลวงดวงตาเล่นเอาน่ารำคาญ ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปปิดม่าน และตอนจังหวะที่กำลังจะปิด ก็เห็นชายฉกรรจ์สี่ห้าคนยืนทำอะไรกับเสาไฟอยู่หน้าบ้าน สักพักไฟก็ดับ รอประมาณสิบนาทีไฟก็กลับมาป แต่ที่ผิดปกติก็คือ อินเตอร์เน็ตใช้ไม่ได้จ้า ไอ้ที่ส่งต้นฉบับก็เลยดองเอาไว้ไม่ได้ส่ง โอ้ย! นี่มันอะไรนักหนา แต่ความพยายามของผมยังไม่หมดแค่นั่นหรอก ด้วยความมุ่งมั่นและบากบั่น ผมเลยบากหน้าไปที่ร้านกาแฟ ขณะที่กำลังเตรียมพร้อมทุกอย่างกำลังจะกดส่ง อยู่ ๆ โน๊ตบุ๊คก็ค้างขึ้นมา อันนี้ไม่ได้อำ จริง ๆ อะไรจะขนาดนี้ สัญญาณดีเหลือเกิน เค้าบอกว่าคนเราจะสำเร็จอะไรสักอย่างจะมีบททดสอบเสมอ ผมเลยคิดเข้าข้างตัวเองทันที
“หรือว่าเป็นสัญญาณที่ดี” การมองโลกในแง่ดีมันก็ดีแบบนี้นี่เอง
ผมจัดการรีเครื่องแล้วส่งใหม่แล้วในที่สุดก็ส่งผ่านเว้ย ไอช่วงที่กดส่งไปแล้วความรู้สึกปลื้มปริ่มก็แล่นถาโถมเข้ามาในอก เหมือนคลื่นสึนามิที่เต็มไปด้วยประกายแสงแห่งความสุขสาดเข้ามาชำระล้างความหมองหม่นในใจให้หายไป ผมยิ้มร่าส่งข้อความผ่านเฟสไปบอกเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงาน ห้าหกคน ผมได้ทั้งกำลังใจ คำอวยพร และเสียงเชียร์กลับมา นี่สินะที่เค้าเรียกว่าน้ำตาแห่งความยินดี เคยมีคนบอกว่าถ้าน้ำตาล้นออกมาเต็มดวงตา นั่นเป็นสัญญาณแห่งความสุขใจ เหมือนผมจะเพิ่งเข้าใจก็วันนี้แหละ ปกติผมเป็นคนกินน้ำน้อย เหลือเชื่อเหมือนกันว่าคนคนนึงจะมีน้ำตาได้เยอะขนาดนี้ เล่นเอาผมงงกับตัวเองไปเลยทีเดียว