เรื่องเราที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเราเอง เป็นความจริงทุกประการ ไม่มีปรุงแต่งใดๆ เลยอยากแชร์ประสบการณ์นี้เพื่อเป็นกรณีศึกษาให้กับทุกคนที่ได้แวะเข้ามาอ่าน อาจจะเรียบเรียงไม่สละสลวย แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด เข้าเรื่องเลย...
วันนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม รถที่เราขับเป็นรถประเภทแวน เราขับมาพร้อมกับครอบครัวมีภรรยาและลูกๆ รวมกัน 5 คน ภรรยานั่งข้างคนขับพร้อมอุ้มลูกชายอายุ 2 ขวบ แถวกลางของรถมีลูกสาวคนโตอายุ 6 ขวบ และลูกชายคนกลางอายุ 3 ขวบ เด็กๆ ในรถมีความสุขมากหยอกล้อเล่นกันตามประสาตามวัยของเค้า
เราขับรถเดินทางเพื่อจะมาซื้อของที่ห้างห้างหนึ่ง ปกติห้างนี้จะเข้าออกได้สองทาง เราเลือกที่จะเข้าฝั่งประตูด้านหลัง เราขับไปกำลังจะเลี้ยวเห็นพ่อค้าแม่ค้ากำลังเก็บของกันอยู่เนื่องจากวันนั้นเป็นวันศุกร์ถนนหลังห้างมีตลาดนัด เลยตัดสินใจไม่ขับรถเข้าไปกลัวไปเหยียบโดนเศษตะปูเศษน็อต คิดว่าขับรถไปเข้าฝั่งประตูหน้าเอาก็ได้
หมุนล้อขับไปเข้าประตูด้านหน้าของห้าง ผ่านหน้าวัดเรื่อยไปจนถึงแยกที่จะเข้าสู่ถนนใหญ่ ในใจคิดว่าวันนี้ถนนโล่งดีจัง ตรงแยกด้านซ้ายมือมีป้ายสีเหลืองบอกไว้ชัดเจนว่า “ลดความเร็ว” แต่เราก็ไม่ได้สังเกตหรอกเพราะเราขับไม่เร็วอยู่แล้ว เด็กๆ เยอะเดี่ยวจะล้มเพราะเด็กไม่ค่อยนั่งอยู่กับที่
เราเลี้ยวซ้ายออกมาเพื่อจะเข้าสู่ถนนใหญ่ซึ่งเป็นถนน 4 เลน แน่นอนว่าเราขับเลนซ้ายสุดเพื่อที่จะเลี้ยวเข้าห้าง ระหว่างทางเราสังเกตที่ไหล่ทางมีรถกระบะจอดอยู่ ต่อจากรถก็มีกรวยของทางห้างที่เอามาวางไว้ ตลอดระยะเวลาที่ขับมาเราไม่ได้แซงรถคันไหนมาเลยอย่างที่บอกว่าถนนโล่งมาก เราเปิดไฟเลี้ยวให้สัญญาณมาไกลไม่รู้ว่าไกลเท่าไหร่ นับจากเสาไฟ ก็น่าจะได้ระยะตามกฎหมายกำหนด 30-40 เมตร พอถึงทางเข้าประตูหน้าห้าง เราดูดีแล้วว่าปลอดภัยจึงเลี้ยวเข้า
เรารีดูคลิปจากกล้องติดหน้ารถของเราหลายรอบมาก เห็นได้ชัดว่ารถเราได้เลี้ยวจะเข้าไปในประตูอยู่แล้ว อยู่ๆก็มีมอเตอร์ไซค์ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพุ่งเข้าชนฝั่งซ้ายส่วนหน้าของรถอย่างจัง แรงชนทำให้ผู้ที่ขับลอยกระเด็นตีลังกาตกลงไปในคลองหน้าห้างซึ่งไม่มีน้ำ อันนี้เราเห็นกับตาเลยเพราะไฟส่องสว่างหน้าห้างชัดเจนทีเดียว เด็กๆ ในรถตกใจมาก เสียงที่หยอกล้อกันเงียบลงทันที ภรรยารีบลดกระจกข้างลงเพื่อเรียกขอความช่วยเหลือจากพนักงานห้างที่กำลังเก็บรถเข็น เราถอยรถนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ขวางทางเข้าออกของห้าง แล้วรีบลงไปดูคนเจ็บ มีพลเมืองดีหลายคนมาช่วยเหลือและโทรหา 1669 สภาพคนเจ็บตอนนั้นใส่เสื้อกับกางเกงขาสั้นไม่สวมหมวกกันน็อค มีลายสักตามตัวเยอะ ดูหน้าตาแล้วไม่รู้จักว่าเป็นใครแต่คิดว่าน่าจะมีอายุเยอะกว่าเราเห็น ไม่มีร่องรอยถลอกตามร่างกาย แต่ไม่ได้สติ 50/50 หลังจากนั้นก็มาดูสภาพรถเรา สเกิตหน้าช่วงล่างหลุด ไฟตัดหมอกหลุด ส่วนหน้าด้านซ้ายของรถยุบ แต่ไม่ถึงตัวเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ยังใช้งานได้ปกติกระจกมองข้างหัก ประตูฝั่งซ้ายมีรอยนิดหน่อย แม็กล้อรถมีรอย ตรงระบบเบรกที่ล้อเห็นคันสตาร์ทของมอเตอร์ไซค์ยังติดคาอยู่ โดยรวมถือว่าไม่มาก เราอยู่ในรถไม่รับรู้ถึงแรงประทะเลยอย่างที่บอกแต่แรกแล้วว่าเราไม่ได้ขับเร็ว
จากนั้นตำรวจก็มาถึง ร้อยเวรขอดูใบขับขี่และสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราก็เล่าตามความจริงไป ความจริงเล่ากี่ครั้งก็เหมือนเดิม และเราไม่ได้หลบหนี ร้อยเวรมีการถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุต่างๆ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ประเมินจากสภาพรถเครื่องยนต์ไม่มีปัญหา ร้อยเวรจึงบอกให้ขับไปไว้ที่สถานีตำรวจก่อน ส่วนลูกๆ ทั้งสามคนเราโทรให้น้องสาวเอาไปฝากไว้ที่บ้านแม่ และเราก็ไปนั่งรอด้านในสถานีตำรวจเพื่อยื่นเอกสาร ทั้งใบขับขี่ พรบ.รถ เอกสารเจ้าของรถก็คือชื่อแฟนเรา ตำรวจแจ้งว่าวันนี้ยังไม่สอบสวน แล้วจะโทรนัดอีกที เวลานั้น 3 ทุ่มกว่าๆ ก่อนหน้านั้นเราให้น้องๆพนักงานที่ร้านช่วยไปดูคนเจ็บที่โรงพยาบาลก่อนแล้วเราก็ตามไปเพราะสถานีตำรวจกับโรงพยาบาลไม่ไกลกัน เราได้สอบถามอาการกับพยาบาลที่อยู่เวรห้องฉุกเฉินแต่เราจำไม่ได้ว่าเค้ามีอาการอย่างไรบ้างรู้แต่ว่าหนักพอสมควรเพราะเค้ามาเร็วมาก เราขอดูชื่อของผู้บาดเจ็บจากบัตรประชาชนที่เค้าพกติดตัว แต่ไม่มีใครรู้จัก และกู้ภัยก็ไม่สามารถติดต่อญาติได้ เราก็อยู่เฝ้าดูอาการจนทีมพยาบาลกำลังจะนำส่งตัวไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่อไป ตอนนั้นก็เป็นเวลา 4 ทุ่มแล้ว เราจึงเดินทางกลับ
ตลอดระยะเวลาทั้งคืนพูดเลยว่านอนไม่หลับทั้งเราและภรรยา คิดว่าตอนเช้าจะไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ในตอนเช้าเราให้น้องพนักงานในร้านค้นหาข้อมูลใน facebook ว่าชื่อนี้นามสกุลนี้ ตรงกับใครบ้างหรือไม่ในแถบบ้านเรา ก็เลยไปค้นเจอชื่อนึงน่าจะเป็นคนรู้จักกันกับคนเจ็บ โทรติดต่อกันว่าเราเป็นคู่กรณี ทางญาติฝ่ายคนเจ็บพูดจาดีมากประมาณว่ายังไงก็ได้ (เรามารู้ในภายหลังว่าคนเจ็บอายุประมาณ 26 ปี เป็นลูกคนกลาง ไม่มีบุตรและภรรยา และไม่มีอาชีพ ) แต่วันที่เกิดเหตุเป็นวันศุกร์ แล้วเสาร์-อาทิตย์เป็นวันหยุดราชการ เราต้องรอดำเนินเรื่องต่างๆในวันจันทร์ ในเช้าวันเสาร์เรากับภรรยาเดินทางเพื่อจะไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่มีเสียงโทรศัพท์ดังมาจากต้นสายซึ่งเป็นพนักงานของเราเองที่ให้ติดต่อกับญาติของคู่กรณี ว่าคู่กรณีได้เสียชีวิตแล้วเมื่อเวลาตีสาม โรงพยาบาลส่งตัวมาตอนตี 1 เราก็เฮ้ย! ตอน 4 ทุ่มนี่พี่ก็อยู่นะเห็นเค้าเอาขึ้นรถแล้วถึงได้กลับออกมาทำไมได้ส่งตอนตี 1 แต่เราก็ไม่ได้ไปหาคำตอบว่าทำไม แต่ในใจก็เริ่มคิดล่ะว่ามีคนตายเกิดขึ้นคดีนี้ยาวแน่นอน ก็เลยเลี้ยวรถกลับไม่ได้ไปต่อ
เนื่องจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีคู่กรณีและคนเจ็บได้เสียชีวิต ทางโรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องผ่าพิสูจน์ศพ ผลพิสูจน์เป็นอย่างไร เราก็ไม่รู้เพราะตำรวจไม่ได้แจ้งเรามาบอกแค่ว่าต้องรอผลจากหมออาจใช้ระยะเวลาซักระยะ
เล่าสู่กันฟัง...คดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
เรื่องเราที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเราเอง เป็นความจริงทุกประการ ไม่มีปรุงแต่งใดๆ เลยอยากแชร์ประสบการณ์นี้เพื่อเป็นกรณีศึกษาให้กับทุกคนที่ได้แวะเข้ามาอ่าน อาจจะเรียบเรียงไม่สละสลวย แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด เข้าเรื่องเลย...
วันนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม รถที่เราขับเป็นรถประเภทแวน เราขับมาพร้อมกับครอบครัวมีภรรยาและลูกๆ รวมกัน 5 คน ภรรยานั่งข้างคนขับพร้อมอุ้มลูกชายอายุ 2 ขวบ แถวกลางของรถมีลูกสาวคนโตอายุ 6 ขวบ และลูกชายคนกลางอายุ 3 ขวบ เด็กๆ ในรถมีความสุขมากหยอกล้อเล่นกันตามประสาตามวัยของเค้า
เราขับรถเดินทางเพื่อจะมาซื้อของที่ห้างห้างหนึ่ง ปกติห้างนี้จะเข้าออกได้สองทาง เราเลือกที่จะเข้าฝั่งประตูด้านหลัง เราขับไปกำลังจะเลี้ยวเห็นพ่อค้าแม่ค้ากำลังเก็บของกันอยู่เนื่องจากวันนั้นเป็นวันศุกร์ถนนหลังห้างมีตลาดนัด เลยตัดสินใจไม่ขับรถเข้าไปกลัวไปเหยียบโดนเศษตะปูเศษน็อต คิดว่าขับรถไปเข้าฝั่งประตูหน้าเอาก็ได้
หมุนล้อขับไปเข้าประตูด้านหน้าของห้าง ผ่านหน้าวัดเรื่อยไปจนถึงแยกที่จะเข้าสู่ถนนใหญ่ ในใจคิดว่าวันนี้ถนนโล่งดีจัง ตรงแยกด้านซ้ายมือมีป้ายสีเหลืองบอกไว้ชัดเจนว่า “ลดความเร็ว” แต่เราก็ไม่ได้สังเกตหรอกเพราะเราขับไม่เร็วอยู่แล้ว เด็กๆ เยอะเดี่ยวจะล้มเพราะเด็กไม่ค่อยนั่งอยู่กับที่
เราเลี้ยวซ้ายออกมาเพื่อจะเข้าสู่ถนนใหญ่ซึ่งเป็นถนน 4 เลน แน่นอนว่าเราขับเลนซ้ายสุดเพื่อที่จะเลี้ยวเข้าห้าง ระหว่างทางเราสังเกตที่ไหล่ทางมีรถกระบะจอดอยู่ ต่อจากรถก็มีกรวยของทางห้างที่เอามาวางไว้ ตลอดระยะเวลาที่ขับมาเราไม่ได้แซงรถคันไหนมาเลยอย่างที่บอกว่าถนนโล่งมาก เราเปิดไฟเลี้ยวให้สัญญาณมาไกลไม่รู้ว่าไกลเท่าไหร่ นับจากเสาไฟ ก็น่าจะได้ระยะตามกฎหมายกำหนด 30-40 เมตร พอถึงทางเข้าประตูหน้าห้าง เราดูดีแล้วว่าปลอดภัยจึงเลี้ยวเข้า
เรารีดูคลิปจากกล้องติดหน้ารถของเราหลายรอบมาก เห็นได้ชัดว่ารถเราได้เลี้ยวจะเข้าไปในประตูอยู่แล้ว อยู่ๆก็มีมอเตอร์ไซค์ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพุ่งเข้าชนฝั่งซ้ายส่วนหน้าของรถอย่างจัง แรงชนทำให้ผู้ที่ขับลอยกระเด็นตีลังกาตกลงไปในคลองหน้าห้างซึ่งไม่มีน้ำ อันนี้เราเห็นกับตาเลยเพราะไฟส่องสว่างหน้าห้างชัดเจนทีเดียว เด็กๆ ในรถตกใจมาก เสียงที่หยอกล้อกันเงียบลงทันที ภรรยารีบลดกระจกข้างลงเพื่อเรียกขอความช่วยเหลือจากพนักงานห้างที่กำลังเก็บรถเข็น เราถอยรถนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ขวางทางเข้าออกของห้าง แล้วรีบลงไปดูคนเจ็บ มีพลเมืองดีหลายคนมาช่วยเหลือและโทรหา 1669 สภาพคนเจ็บตอนนั้นใส่เสื้อกับกางเกงขาสั้นไม่สวมหมวกกันน็อค มีลายสักตามตัวเยอะ ดูหน้าตาแล้วไม่รู้จักว่าเป็นใครแต่คิดว่าน่าจะมีอายุเยอะกว่าเราเห็น ไม่มีร่องรอยถลอกตามร่างกาย แต่ไม่ได้สติ 50/50 หลังจากนั้นก็มาดูสภาพรถเรา สเกิตหน้าช่วงล่างหลุด ไฟตัดหมอกหลุด ส่วนหน้าด้านซ้ายของรถยุบ แต่ไม่ถึงตัวเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ยังใช้งานได้ปกติกระจกมองข้างหัก ประตูฝั่งซ้ายมีรอยนิดหน่อย แม็กล้อรถมีรอย ตรงระบบเบรกที่ล้อเห็นคันสตาร์ทของมอเตอร์ไซค์ยังติดคาอยู่ โดยรวมถือว่าไม่มาก เราอยู่ในรถไม่รับรู้ถึงแรงประทะเลยอย่างที่บอกแต่แรกแล้วว่าเราไม่ได้ขับเร็ว
จากนั้นตำรวจก็มาถึง ร้อยเวรขอดูใบขับขี่และสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราก็เล่าตามความจริงไป ความจริงเล่ากี่ครั้งก็เหมือนเดิม และเราไม่ได้หลบหนี ร้อยเวรมีการถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุต่างๆ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ประเมินจากสภาพรถเครื่องยนต์ไม่มีปัญหา ร้อยเวรจึงบอกให้ขับไปไว้ที่สถานีตำรวจก่อน ส่วนลูกๆ ทั้งสามคนเราโทรให้น้องสาวเอาไปฝากไว้ที่บ้านแม่ และเราก็ไปนั่งรอด้านในสถานีตำรวจเพื่อยื่นเอกสาร ทั้งใบขับขี่ พรบ.รถ เอกสารเจ้าของรถก็คือชื่อแฟนเรา ตำรวจแจ้งว่าวันนี้ยังไม่สอบสวน แล้วจะโทรนัดอีกที เวลานั้น 3 ทุ่มกว่าๆ ก่อนหน้านั้นเราให้น้องๆพนักงานที่ร้านช่วยไปดูคนเจ็บที่โรงพยาบาลก่อนแล้วเราก็ตามไปเพราะสถานีตำรวจกับโรงพยาบาลไม่ไกลกัน เราได้สอบถามอาการกับพยาบาลที่อยู่เวรห้องฉุกเฉินแต่เราจำไม่ได้ว่าเค้ามีอาการอย่างไรบ้างรู้แต่ว่าหนักพอสมควรเพราะเค้ามาเร็วมาก เราขอดูชื่อของผู้บาดเจ็บจากบัตรประชาชนที่เค้าพกติดตัว แต่ไม่มีใครรู้จัก และกู้ภัยก็ไม่สามารถติดต่อญาติได้ เราก็อยู่เฝ้าดูอาการจนทีมพยาบาลกำลังจะนำส่งตัวไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่อไป ตอนนั้นก็เป็นเวลา 4 ทุ่มแล้ว เราจึงเดินทางกลับ
ตลอดระยะเวลาทั้งคืนพูดเลยว่านอนไม่หลับทั้งเราและภรรยา คิดว่าตอนเช้าจะไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ในตอนเช้าเราให้น้องพนักงานในร้านค้นหาข้อมูลใน facebook ว่าชื่อนี้นามสกุลนี้ ตรงกับใครบ้างหรือไม่ในแถบบ้านเรา ก็เลยไปค้นเจอชื่อนึงน่าจะเป็นคนรู้จักกันกับคนเจ็บ โทรติดต่อกันว่าเราเป็นคู่กรณี ทางญาติฝ่ายคนเจ็บพูดจาดีมากประมาณว่ายังไงก็ได้ (เรามารู้ในภายหลังว่าคนเจ็บอายุประมาณ 26 ปี เป็นลูกคนกลาง ไม่มีบุตรและภรรยา และไม่มีอาชีพ ) แต่วันที่เกิดเหตุเป็นวันศุกร์ แล้วเสาร์-อาทิตย์เป็นวันหยุดราชการ เราต้องรอดำเนินเรื่องต่างๆในวันจันทร์ ในเช้าวันเสาร์เรากับภรรยาเดินทางเพื่อจะไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่มีเสียงโทรศัพท์ดังมาจากต้นสายซึ่งเป็นพนักงานของเราเองที่ให้ติดต่อกับญาติของคู่กรณี ว่าคู่กรณีได้เสียชีวิตแล้วเมื่อเวลาตีสาม โรงพยาบาลส่งตัวมาตอนตี 1 เราก็เฮ้ย! ตอน 4 ทุ่มนี่พี่ก็อยู่นะเห็นเค้าเอาขึ้นรถแล้วถึงได้กลับออกมาทำไมได้ส่งตอนตี 1 แต่เราก็ไม่ได้ไปหาคำตอบว่าทำไม แต่ในใจก็เริ่มคิดล่ะว่ามีคนตายเกิดขึ้นคดีนี้ยาวแน่นอน ก็เลยเลี้ยวรถกลับไม่ได้ไปต่อ
เนื่องจากอุบัติเหตุครั้งนี้มีคู่กรณีและคนเจ็บได้เสียชีวิต ทางโรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องผ่าพิสูจน์ศพ ผลพิสูจน์เป็นอย่างไร เราก็ไม่รู้เพราะตำรวจไม่ได้แจ้งเรามาบอกแค่ว่าต้องรอผลจากหมออาจใช้ระยะเวลาซักระยะ