ในวันที่ชีวิตติดลบ

ชีวิตผมก็ไม่ได้ต่างจากเด็กวันรุ่นทั่วๆไปหรอกครับ ทำงาน เที่ยว ทะเยอทะยาน อยากได้อยากมี อยากประสบความสำเร็จ จะไปต่างก็ตรงที่ผมเองเนี่ยมีภาระ ไม่สิ มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบครอบครัวเป็นเสาหลักว่างั้น ในวัยที่ยังเตาะแตะ แต่เอาเถอะ ไม่อยากเอาชีวิตผมไปเทียบกับใคร

ผมโตมาด้วยตัวคนเดียว เลยทำอะไรเองตัดสินใจเอง พลาดเอง เจ็บเอง ลุกเอง และก็คิดว่าผมคือคนที่แกร่งคนหนึ่งเลยนะ ในสายตาของคนรอบข้างผมก็เป็นแบบนั้น เคยไปขอนอนวัน ส่งตัวเองเรียน ทำงานทุกอย่าง เด็กล้างรถ รับจ้างขายซีดี เด็กเสิร์ฟในผับ พนักงานบริษัท ทำขนมขายตลาดนัด
รับจ้างทำความสะอาด เคยเดินไปเบิกเงิน 38 บาท กับธนาคารเพราะคือเงินก้อนสุดท้ายของชีวิต จนวันนึงที่ผมก็มีชีวิตที่ดีขึ้น ทำงาน เก็บเงิน เลี้ยงครอบครัว ก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาเรื่อยๆก็อยากจะทำธุระกิจ ก็เลยทำงานหาเงินหาโอกาสทำ ลงมือเลย แต่ด้วยการที่ผมมีเด็กน้ยสองคนวัน 5 ขวบ และ 2 ขวบรวมไปถึงคุณแม่ที่ต้องย้ายมาอยู่ในกรุงเทพด้วยกันในห้องเช่าเล็กๆเพราะบ้านที่ต่างจังหวัดถูกธนาคารยึดไปมาอยู่ด้วย ผมเองอยากสร้างตัวสักทีเลยเลือกลงทุนเปิดร้านขายของที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งที่เป็นแลนด์มาร์คเด่นๆสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ  แต่แล้วธุระกิจไม่ได้ดีอย่างที่แพลนใว้ แน่นอนเศรฐกิจ การบริหาร ย่อมมีส่วนทำให้ยอดขายนั้นตก นักท่องเที่ยวหายไปมากกว่าครึ่ง รายได้ลด ทุนจม รายจ่ายเดือนละเกือบแสน แต่รายรับแทบจะไม่ถึงครึ่ง บุญเก่าที่สะสมใว้มาหมดลงด้วยค่าเทอมของเด็กน้อยไร้เดียงสา ใช้คำว่าหมดไม่ได้ครับต้องบอกว่าติดลบ เพราะผมต้องขอผ่อนทางโรงเรียนจ่ายเป็นเดือนๆซึ่งทางโรงเรียนก็ยินดีและเข้าใจ
ผมตั้งใจลดค่าใช้จ่ายด้วยการย้ายห้องพักมาใกล้โรงเรียนและที่ขายของมากขึ้นแต่ก็นั่นแหละครับด้วยข้อจำกัดทางการเงิน ค่ามัดจำไม่มี เลยจำใจต้องพาเด็กๆตื่นแต่เช้ามืดมาโรงเรียน เพื่อให้ทันเวลาและต้องรีบปิดร้านเพื่อกลับให้ทันรถสาธารณะจะได้ประหยัดเงินมากขึ้น แต่นั้นไม่ได้ทำให้ค่าใช้จ่ายที่มีลดน้อยลงเลยเพราะสุดท้ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางและความเหนื่อยล้าเพราะไปกลับบางครั้งก็เกือบ 4 ชั่วโมง ขึ้นรถหลายต่อ นั่งเรือ บีทีเอส นั่งรถเมย์ ต่อรถกระป้อ บางวันเด็กหลับผมก็ต้องอุ้มเด็กวันห้าขวบบนบ่าตลอดการเดินทางชัวโมงกว่าๆ เปลี่ยนรถไปมา เมื่อเงินในแต่ละวันเริ่มหมด ผมแทนจะต้องขายบางอย่างเพื่อความอยู่รอด จนไม่เหลืออะไรจะขาย
ผมไม่เคยแสดงความเครียดต่อหน้าใครเลย ผมร่าเริง เป็นคนตลก และเวลาอยู่ต่อหน้าใครผมก็ไม่ได้ฝืนที่จะยิ้ม แต่ทุกครั้งที่อยู่คนเดียว ผมเดินหาห้องพักแถวๆโรงเรียนเด็ก เพราะสงสารที่ต้องตื่นเช้ากลับดึก ผมก็แอบน้ำตาซึม และหลายครั้งที่หยุดมันไม่ได้ ทั้งที่ผมเป็นคนไม่เคยร้องไห้ง่ายๆ แต่ผมกลับมีน้ำตาบ่อยมาก ผมหมดหวัง ผมเริ่มท้อ เหนื่อย และหมดหนทาง ตอนนี้ผมได้สมัคงานประจำไปเริ่มเดือนหน้า เผื่อหวังว่าจะช่วยทำให้ปัญหาที่ผมเจออยู่มันดีขึ้น แต่ผมไม่รู้เลยว่าผมจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ยังไง บางวันผมต้องเก็บเงินเหรียญไปซื้อข้าวสารให้แม่ใว้หุง แต่ก็ต้มผักเพราะไม่มีเงินซื้อเนื้อหมูเนื้อไก่ให้กิน แม่ยอมเดินไปตลาดไม่นั่งรถเพื่อซื้อหมูซื้อไก่มาใว้ให้เด็กๆได้กิน แม่ผมร้องไห้ทุกคืน แต่ผมพยายามร่าเริงต่อหน้าแม่และเด็กๆ ทำเหมือนว่าพรุ่งนี้มันต้องดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ไร้หนทางมากๆ
ร้านผมยอดขายแทบไม่มีในแต่ละวัน ผมก็หาทางขายออนไลน์ก็พอมีค่ารถค่ากินบ้าง แต่มันไม่พอสำหรับคนสี่คน ผมอดที่จะคิดแย่ๆไม่ได้ แต่ก็พยามสู้กับความรู้สึกของตัวเอง
ผมไม่รู้ว่าระหว่างนี้ผมจะผ่านมันไปยังไง แต่ผมแค่อยากระบายกับใครสักคน ผมอยากจะร้องไห้กับใครสักคนที่ไม่ต้องมาเข้าใจผมก็ได้ ผมเหนื่อยและท้อมากๆที่ไม่ได้แบกแค่ภาระค่าใช้จ่าย แบกอนาคตของเด็กสองคน แบกความหวังของแม่
ผมจะสู้ครับต่อให้ผมท้อแค่ไหน ผมก็ไม่รู้ผมจะสู้มันไปได้ไกลขนาดไหน แต่ผมจะไม่ลดคุณค่าตัวเอง จะไม่มองความความรักขขอคนในครอบครัวของความรักของผมที่มีให้ตัวเอง ผมจะไม่ยอมให้ชีวิตผมอยู่แค่นี้
มาถึงตรงนี้ผมไม่ได้ต้องการความสงสารอะไร ผมแค่มาระบายแค่นี้จริงๆ ขอบคุณใครที่อ่านมันจนจบ
ถ้าผมยังสามารถกลับมาเขียนเรื่องราวนี้ให้มันเป็นอดีตได้ในวันที่ชีวิตผมสวยงาม ผมจะกลับมาครับ
ขอบคุณมากครับ

ปล.หากมีคำผิดเยอะขอภัยด้วยนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่