สวัสดีค่ะ ตั้งกระทู้ครั้งแรกค่ะ ปกติอ่านอย่างเดียว
เล่าย้อนนิดนึงค่ะ สามีจขกทประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากที่สูงทำให้หลังหักเมื่อปี 2012
ต้องทำการผ่าตัด 2 ครั้งที่ต่างประเทศ ต้องใส่เหล็กดาม การผ่าตัดครั้งก่อนมีการอักเสบมาก และเกิดพังผืดไปรัดเส้นประสาทและยังมีหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมากดทับรากประสาท ทำให้เท้าข้างซ้ายรู้สึกเจ็บตลอดเวลาเหมือนมีเข็มทิ่ม รวมทั้งเจ็บที่บริเวณก้นกบด้วยเวลายืน อันนี้หากใครมีอาการปวดที่เส้นประสาทจะเข้าใจดีว่ามันปวดมาก ปวดจนทำอะไรไม่ได้ จนนอนไม่ได้ ต้องคอยกินยา
สามีได้รับยาระงับปวดมากิน เวลาผ่านไปยิ่งต้องเพิ่มขนาดยา เพราะอาการเจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยามีผลข้างเคียงทำให้ปวดหัวอย่างรุนแรง และมีอาการชัก ง่วงซึมตลอดเวลา ทนอยู่อย่างนี้มา 6 ปี ปีนี้เริ่มคิดว่าไม่ไหวละ พวกเราเริ่มหาทางรักษาอย่างจริงจัง (เพราะถูกปฏิเสธมาหลายที่ จนท้อและหยุดหาทางรักษาไปเป็นปีๆ) และค้นพบว่าในเคสของสามีจะต้องทำการผ่าตัดเลาะพังผืดออกและใส่เจล Oxiplex ซึ่งเป็นเจลทางการแพทย์ ไปปิดรอยแผลไม่ให้มีพังผืดมันงอกออกมาอีก และดันหมอนรองกลับเข้าที่เดิม
ตอนแรกเปิดเว็บไซต์ของบริษัทอุปกรณ์การแพทย์ดังกล่าวมาแล้วก็ไล่โทรหาหลายๆรพ.ที่มีชื่อปรากฎอยู่ ขอคุยกับแผนกกระดูกสันหลัง แต่แทบทุกคนบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อ Oxiplex เลย ก็ท้อเหมือนกัน สุดท้ายเลยโทรไปบริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยตรง ถามเขาเลยว่า Oxiplex มีรพ.ไหนซื้อไปใช้บ้าง
ได้ข้อมูลว่ามีอยู่ 2 รพ.ที่ใช้ จขกทก็รีบโทรหารพ.และขออีเมลของแผนกกระดูกสันหลัง และรายละเอียดคร่าวๆ ว่าเราจะต้องทำ MRI ส่วนที่มีปัญหาแล้วรีบส่งกลับไปให้คุณหมอ เนื่องจากพวกเราไม่ได้อยู่ที่กทม.
พวกเราไปทำ MRI ซึ่งต้องฉีดสีด้วยที่รพ.เอกชนใกล้บ้าน หลังจากทำ MRI เสร็จก็ต้องพบหมอซึ่งเราได้คำตอบที่คิดไว้ คุณหมอที่รพ.ใกล้บ้านบอกว่า มีสิ่งผิดปกติบริเวณกระดูกสันหลัง และในประเทศไทยไม่มีใครรักษาพังผืดที่เกิดจากการผ่าตัดบริเวณกระดูกสันหลัง และคุณหมอไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ Oxiplex (นอกจากไม่มีคำแนะนำแล้วยังดับฝันพวกเราด้วย แต่พวกเรารู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไงต่อ) เรากลับบ้านรีบอีเมลผลสแกนส่งให้รพ.ทั้ง 2 แห่งที่กทม.
ระหว่างที่รออีเมลตอบกลับ อาการสามีหนักขึ้นกว่าเดิม มีอาการชักกระตุกเป็นระยะๆ และรู้สึกเจ็บขึ้นกว่าเดิม นอนซมทั้งวัน อาการปกติก็แย่อยู่แล้ว นี่มาแบบจัดหนักเลย จขกท.แอบร้องไห้ทุกวัน พอคิดได้ก็ให้กำลังใจตัวเอง นึกถึงภาพว่าสามีหายดี และสามารถออกไปเดินเล่นข้างนอกกับเราได้เหมือนอย่างคนอื่น ผ่านไป 3 วันมีอีเมลตอบกลับมาจากรพ.เวชธานี คุณหมอภัทร โฆสานันท์ตอบอีเมลกลับมาพร้อมรายละเอียดแผนการรักษาหลังจากที่ดูผล MRI ในขณะที่อีกรพ.ตอบกลับมาแค่ได้รับอีเมลแล้วและไม่ได้คุยกันอีกเลย
สรุปพวกเราตัดสินใจไปกทม. เพื่อไปพบคุณหมอและทำการผ่าตัดที่รพ.เวชธานี พวกเราเดินทางไปถึงรพ.วันจันทร์ในช่วงบ่าย ได้พบคุณหมอภัทร คุณหมอได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุและอาการ และมาดูตัวสแกนด้วยกันอย่างละเอียดอีกที ว่าสามีมีปัญหาตรงจุดไหน ถ้าของคนปกติจะเป็นอย่างไร และตอนนี้ที่เป็นอยู่มันเป็นอย่างไร และจะทำการรักษาอย่างไรรวมถึงหลังการผ่าตัดด้วย คุณหมอนัดตรวจร่างกายในวันรุ่งขึ้นคือวันอังคาร ซึ่งต้องงดน้ำและอาหาร 6 ชั่วโมง และแอดมิตเพื่อผ่าตัดในเช้าวันพุธซึ่งจะใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง (สามีบอกว่าถือว่าเร็วมากและสามีประทับใจตรงนี้มากเพราะหมอละเอียดในขณะที่รพ.ใกล้บ้านบอกแค่ว่ามีสิ่งผิดปกติ)
เช้าวันอังคารพวกเรารีบมาที่แผนกกระดูกสันหลัง เพื่อเช็คความพร้อมร่างกายก่อนผ่าตัดก็มีตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ พบหมอหัวใจ ไปเอ็กซเรย์อีกรอบ แต่คราวนี้เปลี่ยนท่า ไม่ได้นอนหงาย และได้พบนักกายภาพบำบัดก่อนการผ่าตัด เพื่อบริหารปอด สอนการหายใจหลังผ่าตัด ตรงนี้สามีบอกว่าตอนผ่าตัดที่บ้านคือฟื้นมามีท่อช่วยหายใจสอดอยู่ที่คอเลย ไม่มีใครบอกล่วงหน้าเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ที่นี่มีการแจ้งให้ผู้ป่วยทราบก่อนซึ่งถือว่าดีมาก ใช้เวลาครึ่งวันจากนั้นเราก็กลับไปพักผ่อน เตรียมตัวแอดมิดตอนตีหนึ่ง
ทางรพ.ให้สามีงดน้ำและอาหารตั้งแต่ห้าทุ่มและเข้าแอดมิทในตอนตีหนึ่งเช้าวันพุธ และผ่าตัดตอนหกโมงเช้า พวกเราก็หลับจนกระทั่งพยาบาลมาปลุกตอนตีห้าครึ่งเพื่อลงไปห้องผ่าตัด จขกท.ลงไปส่งแล้วก็กลับมาหลับต่อ 555
แต่หลับไปใจก็กังวลไปนะคะ กลัวสามีไม่ตื่น กลัวสามีเจ็บหนักกว่าเดิม กลัวไม่หาย แล้วจะทำยังไงต่อกับชีวิต ฯลฯ จนกระทั่ง 9 โมงครึ่งพยาบาลมาปลุกอีกรอบบอกว่าผ่าตัดเสร็จแล้ว คุณหมออยากพบ เราก็รีบล้างหน้าแล้วลงไปเลยค่ะ เดินไปหายใจไม่ทั่วท้อง เหมือนจะเป็นลม ใจเต้นรัวๆ
พอเจอคุณหมอที่เดินยิ้มออกมาจากห้องผ่าตัด รู้สึกเบาใจไปเยอะ อย่างน้อยคุณหมอก็ยิ้มออกมา
คุณหมอบอกว่าข้างในหลังสามีเต็มไปด้วยพังผืด แผลเป็น และพบชิ้นส่วนแผ่นพลาสติก 1 แผ่น (ซึ่งเกิดจากการผ่าตัดที่บ้านสามี หมอที่นู่นบอกว่าใส่เอาไว้ เพื่อกันพังผืดงอก แต่วางแปะไว้เฉยๆ คือการที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ข้างในโดยที่วางไว้เฉยๆมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย และน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้อักเสบด้วย) และคุณหมอได้ทำการเคลียร์ออกให้หมดแล้ว และใส่เจล Oxiplex ปิดรอยไว้และเย็บกลับเหมือนเดิมเรียบร้อย
หลังจากนั้นพอสามีฟื้น ทางรพ.ก็พาสามีย้ายเข้าห้องไอซียูเพื่อดูอาการ 1 คืน ทุกอย่างปกติแค่มีอาการมึนๆจากการดมยา คุณหมอเข้ามาเยี่ยมและอธิบายกับสามีอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น เจออะไรในหลัง และเอาตัวแผ่นพลาสติกนั้นมาให้ดู

ขนาดประมาณ 4x4cm เหมือนซิลิโคนรองอบขนม ตัวคมมันก็คงไปทิ่มเนื้อรอบๆ
รุ่งเช้าสามียังมีอาการเจ็บที่เท้าอยู่ คุณหมอภัทรเข้ามาเยี่ยมและอธิบายว่า เป็นเพราะข้างในมีการอักเสบมานาน พวกเส้นประสาทต้องใช้เวลาในการเยียวยานานพอสมควร อีกทั้งปริมาณยาแก้ปวดที่กินต่อเนื่องมานานถึง 6 ปี (รอดมาได้ถือว่าโชคดีมาก) การรับรู้ความเจ็บปวดจะมากกว่าคนปกติหลายเท่า ต้องใช้เวลาและต้องทำการลดยาแก้ปวดลง
ช่วงบ่ายมีนักกายภาพบำบัดมาพาเดินระยะสั้นๆบริเวณทางเดิน สามีบอกว่ายังเจ็บอยู่ แต่เจ็บน้อยกว่าเดิมและอยากลุกเดินไวๆ ขอให้มาพาเดินอีกรอบตอนเย็นๆ สรุปได้หัดเดิน 2 รอบ 1 วันหลังผ่าตัด
วันศุกร์เป็นวันที่คุณหมอให้อนุญาตกลับบ้านได้ คุณหมอมาทำแผล เอาพวกสายถ่ายเลือดออก และปริ๊นข้อมูลในการเลิกยาแก้ปวดมาให้ และแนะนำให้ใส่เข็มขัดพยุงหลังในช่วงแรกๆ รวมทั้งตอนขึ้นเครื่องบิน จขกทได้เจอกับเภสัชซึ่งมาอธิบายเรื่องยา แต่เนื่องจากจขกทยังไม่ได้จองตั๋วกลับบ้านเพราะยังไม่แน่ใจว่าจะกลับได้เมื่อไร เลยคิดว่าจะกลับวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเสาร์แทน ทางรพ.เลยนัดให้เข้ามาอีกรอบเพื่อเช็คร่างกายว่าสามารถขึ้นเครื่องบินได้และออกเอกสารสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่าตัดให้ยื่นกับสายการบิน
ช่วงบ่ายวันเสาร์พวกเราเข้ามารพ.อีกครั้งเพื่อพบคุณหมออีกท่านเพื่อตรวจร่างกายและรับเอกสารในการขึ้นเครื่องบิน เราเดินทางกลับบ้านในช่วงค่ำ
ตอนนี้เวลาผ่านไปสัปดาห์กว่าๆ ยังมีอาการเจ็บเท้าแบบเข็มทิ่มอยู่แต่น้อยลง สามีอาการดีขึ้นตามลำดับ ยาแก้ปวดกินน้อยลงครึ่งต่อครึ่ง (ต้องค่อยๆลดนะคะ หักดิบเลยไม่ได้) ร่าเริงกว่าแต่ก่อนมาก เพราะเมื่อก่อนไม่หลับ ก็ปวดหัว ก็เจ็บขา ออกไปไหนไกลไม่ได้ เดินไกลไม่ได้ นั่งนานๆไม่ได้ มีอาการซึมเศร้า จขกทเองก็พลอยเครียดไปด้วยเหมือนกัน บอกตรงๆไม่รู้เลยว่ากลับบ้านไปแล้วสามียังจะอยู่มั้ย กลัวเค้าคิดสั้น เพราะตัวเราเองก็คิดเหมือนกัน ทุกๆวันค่อนข้างหดหู่ เวลาสามีนอนกรนไม่เคยหงุดหงิดเลย เพราะรู้ว่าเค้ายังหายใจอยู่
ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนช่วยให้ภารกิจนี้ลุล่วง ตั้งแต่เซลส์บริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ชี้จุดว่าต้องไปหาโรงพยาบาลไหน คุณหมอทุกๆท่าน โดยเฉพาะคุณหมอภัทร โฆสานันท์ที่ตอบคำถามตั้งแต่เราส่งอีเมลไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำและทำการผ่าตัดในครั้งนี้ พยาบาลทุกๆท่านที่ดูแลพวกเรา รวมทั้งทีมงานรพ.เวชธานีทุกๆท่านที่ช่วยประสานงาน
อยากจะบอกทุกคนว่าอย่าสิ้นหวังเด็ดขาด ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราตั้งใจ ตอนนี้วิทยาการทางการแพทย์ล้ำหน้าขึ้นมาก อะไรที่เคยเป็นเรื่องยากก็เริ่มจะง่ายแล้ว เราต้องอดทนและหาข้อมูลให้มากที่สุด ถ้าหากจขกทและสามีถอดใจและเชื่อคำพูดของหมอทุกคนที่ผ่านมา พวกเราคงไม่สามารถมาแชร์เรื่องนี้กับทุกคนได้ คนที่ดูแลผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังต้องใจเย็นและทำความเข้าใจให้มาก ว่าคนป่วยไม่ได้อยากป่วย ไม่ได้อยากเบี้ยวนัดออกไปทานข้าวข้างนอกในวันพิเศษ เค้าอยากไป เค้าอยากทำตามสัญญา แต่หลายๆครั้งเค้าเจ็บ และไม่สามารถออกไปได้ คนที่ดูแลสำคัญมาก เพราะผู้ป่วยเจ็บทางกายอยู่แล้ว เราต้องเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งให้เค้าได้ เราต้องดูแลสุขภาพกายและใจให้ดี พยายามคิดบวกเสมอ
สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังต่อสู้กับความเจ็บป่วยรวมทั้งผู้ที่ดูแลคนป่วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
6 ปีกับอาการปวดเส้นประสาทและประสบการณ์การรักษากับโรงพยาบาลเวชธานี
เล่าย้อนนิดนึงค่ะ สามีจขกทประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากที่สูงทำให้หลังหักเมื่อปี 2012
ต้องทำการผ่าตัด 2 ครั้งที่ต่างประเทศ ต้องใส่เหล็กดาม การผ่าตัดครั้งก่อนมีการอักเสบมาก และเกิดพังผืดไปรัดเส้นประสาทและยังมีหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมากดทับรากประสาท ทำให้เท้าข้างซ้ายรู้สึกเจ็บตลอดเวลาเหมือนมีเข็มทิ่ม รวมทั้งเจ็บที่บริเวณก้นกบด้วยเวลายืน อันนี้หากใครมีอาการปวดที่เส้นประสาทจะเข้าใจดีว่ามันปวดมาก ปวดจนทำอะไรไม่ได้ จนนอนไม่ได้ ต้องคอยกินยา
สามีได้รับยาระงับปวดมากิน เวลาผ่านไปยิ่งต้องเพิ่มขนาดยา เพราะอาการเจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยามีผลข้างเคียงทำให้ปวดหัวอย่างรุนแรง และมีอาการชัก ง่วงซึมตลอดเวลา ทนอยู่อย่างนี้มา 6 ปี ปีนี้เริ่มคิดว่าไม่ไหวละ พวกเราเริ่มหาทางรักษาอย่างจริงจัง (เพราะถูกปฏิเสธมาหลายที่ จนท้อและหยุดหาทางรักษาไปเป็นปีๆ) และค้นพบว่าในเคสของสามีจะต้องทำการผ่าตัดเลาะพังผืดออกและใส่เจล Oxiplex ซึ่งเป็นเจลทางการแพทย์ ไปปิดรอยแผลไม่ให้มีพังผืดมันงอกออกมาอีก และดันหมอนรองกลับเข้าที่เดิม
ตอนแรกเปิดเว็บไซต์ของบริษัทอุปกรณ์การแพทย์ดังกล่าวมาแล้วก็ไล่โทรหาหลายๆรพ.ที่มีชื่อปรากฎอยู่ ขอคุยกับแผนกกระดูกสันหลัง แต่แทบทุกคนบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อ Oxiplex เลย ก็ท้อเหมือนกัน สุดท้ายเลยโทรไปบริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยตรง ถามเขาเลยว่า Oxiplex มีรพ.ไหนซื้อไปใช้บ้าง
ได้ข้อมูลว่ามีอยู่ 2 รพ.ที่ใช้ จขกทก็รีบโทรหารพ.และขออีเมลของแผนกกระดูกสันหลัง และรายละเอียดคร่าวๆ ว่าเราจะต้องทำ MRI ส่วนที่มีปัญหาแล้วรีบส่งกลับไปให้คุณหมอ เนื่องจากพวกเราไม่ได้อยู่ที่กทม.
พวกเราไปทำ MRI ซึ่งต้องฉีดสีด้วยที่รพ.เอกชนใกล้บ้าน หลังจากทำ MRI เสร็จก็ต้องพบหมอซึ่งเราได้คำตอบที่คิดไว้ คุณหมอที่รพ.ใกล้บ้านบอกว่า มีสิ่งผิดปกติบริเวณกระดูกสันหลัง และในประเทศไทยไม่มีใครรักษาพังผืดที่เกิดจากการผ่าตัดบริเวณกระดูกสันหลัง และคุณหมอไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ Oxiplex (นอกจากไม่มีคำแนะนำแล้วยังดับฝันพวกเราด้วย แต่พวกเรารู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไงต่อ) เรากลับบ้านรีบอีเมลผลสแกนส่งให้รพ.ทั้ง 2 แห่งที่กทม.
ระหว่างที่รออีเมลตอบกลับ อาการสามีหนักขึ้นกว่าเดิม มีอาการชักกระตุกเป็นระยะๆ และรู้สึกเจ็บขึ้นกว่าเดิม นอนซมทั้งวัน อาการปกติก็แย่อยู่แล้ว นี่มาแบบจัดหนักเลย จขกท.แอบร้องไห้ทุกวัน พอคิดได้ก็ให้กำลังใจตัวเอง นึกถึงภาพว่าสามีหายดี และสามารถออกไปเดินเล่นข้างนอกกับเราได้เหมือนอย่างคนอื่น ผ่านไป 3 วันมีอีเมลตอบกลับมาจากรพ.เวชธานี คุณหมอภัทร โฆสานันท์ตอบอีเมลกลับมาพร้อมรายละเอียดแผนการรักษาหลังจากที่ดูผล MRI ในขณะที่อีกรพ.ตอบกลับมาแค่ได้รับอีเมลแล้วและไม่ได้คุยกันอีกเลย
สรุปพวกเราตัดสินใจไปกทม. เพื่อไปพบคุณหมอและทำการผ่าตัดที่รพ.เวชธานี พวกเราเดินทางไปถึงรพ.วันจันทร์ในช่วงบ่าย ได้พบคุณหมอภัทร คุณหมอได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุและอาการ และมาดูตัวสแกนด้วยกันอย่างละเอียดอีกที ว่าสามีมีปัญหาตรงจุดไหน ถ้าของคนปกติจะเป็นอย่างไร และตอนนี้ที่เป็นอยู่มันเป็นอย่างไร และจะทำการรักษาอย่างไรรวมถึงหลังการผ่าตัดด้วย คุณหมอนัดตรวจร่างกายในวันรุ่งขึ้นคือวันอังคาร ซึ่งต้องงดน้ำและอาหาร 6 ชั่วโมง และแอดมิตเพื่อผ่าตัดในเช้าวันพุธซึ่งจะใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง (สามีบอกว่าถือว่าเร็วมากและสามีประทับใจตรงนี้มากเพราะหมอละเอียดในขณะที่รพ.ใกล้บ้านบอกแค่ว่ามีสิ่งผิดปกติ)
เช้าวันอังคารพวกเรารีบมาที่แผนกกระดูกสันหลัง เพื่อเช็คความพร้อมร่างกายก่อนผ่าตัดก็มีตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ พบหมอหัวใจ ไปเอ็กซเรย์อีกรอบ แต่คราวนี้เปลี่ยนท่า ไม่ได้นอนหงาย และได้พบนักกายภาพบำบัดก่อนการผ่าตัด เพื่อบริหารปอด สอนการหายใจหลังผ่าตัด ตรงนี้สามีบอกว่าตอนผ่าตัดที่บ้านคือฟื้นมามีท่อช่วยหายใจสอดอยู่ที่คอเลย ไม่มีใครบอกล่วงหน้าเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ที่นี่มีการแจ้งให้ผู้ป่วยทราบก่อนซึ่งถือว่าดีมาก ใช้เวลาครึ่งวันจากนั้นเราก็กลับไปพักผ่อน เตรียมตัวแอดมิดตอนตีหนึ่ง
ทางรพ.ให้สามีงดน้ำและอาหารตั้งแต่ห้าทุ่มและเข้าแอดมิทในตอนตีหนึ่งเช้าวันพุธ และผ่าตัดตอนหกโมงเช้า พวกเราก็หลับจนกระทั่งพยาบาลมาปลุกตอนตีห้าครึ่งเพื่อลงไปห้องผ่าตัด จขกท.ลงไปส่งแล้วก็กลับมาหลับต่อ 555
แต่หลับไปใจก็กังวลไปนะคะ กลัวสามีไม่ตื่น กลัวสามีเจ็บหนักกว่าเดิม กลัวไม่หาย แล้วจะทำยังไงต่อกับชีวิต ฯลฯ จนกระทั่ง 9 โมงครึ่งพยาบาลมาปลุกอีกรอบบอกว่าผ่าตัดเสร็จแล้ว คุณหมออยากพบ เราก็รีบล้างหน้าแล้วลงไปเลยค่ะ เดินไปหายใจไม่ทั่วท้อง เหมือนจะเป็นลม ใจเต้นรัวๆ
พอเจอคุณหมอที่เดินยิ้มออกมาจากห้องผ่าตัด รู้สึกเบาใจไปเยอะ อย่างน้อยคุณหมอก็ยิ้มออกมา
คุณหมอบอกว่าข้างในหลังสามีเต็มไปด้วยพังผืด แผลเป็น และพบชิ้นส่วนแผ่นพลาสติก 1 แผ่น (ซึ่งเกิดจากการผ่าตัดที่บ้านสามี หมอที่นู่นบอกว่าใส่เอาไว้ เพื่อกันพังผืดงอก แต่วางแปะไว้เฉยๆ คือการที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ข้างในโดยที่วางไว้เฉยๆมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย และน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้อักเสบด้วย) และคุณหมอได้ทำการเคลียร์ออกให้หมดแล้ว และใส่เจล Oxiplex ปิดรอยไว้และเย็บกลับเหมือนเดิมเรียบร้อย
หลังจากนั้นพอสามีฟื้น ทางรพ.ก็พาสามีย้ายเข้าห้องไอซียูเพื่อดูอาการ 1 คืน ทุกอย่างปกติแค่มีอาการมึนๆจากการดมยา คุณหมอเข้ามาเยี่ยมและอธิบายกับสามีอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น เจออะไรในหลัง และเอาตัวแผ่นพลาสติกนั้นมาให้ดู
รุ่งเช้าสามียังมีอาการเจ็บที่เท้าอยู่ คุณหมอภัทรเข้ามาเยี่ยมและอธิบายว่า เป็นเพราะข้างในมีการอักเสบมานาน พวกเส้นประสาทต้องใช้เวลาในการเยียวยานานพอสมควร อีกทั้งปริมาณยาแก้ปวดที่กินต่อเนื่องมานานถึง 6 ปี (รอดมาได้ถือว่าโชคดีมาก) การรับรู้ความเจ็บปวดจะมากกว่าคนปกติหลายเท่า ต้องใช้เวลาและต้องทำการลดยาแก้ปวดลง
ช่วงบ่ายมีนักกายภาพบำบัดมาพาเดินระยะสั้นๆบริเวณทางเดิน สามีบอกว่ายังเจ็บอยู่ แต่เจ็บน้อยกว่าเดิมและอยากลุกเดินไวๆ ขอให้มาพาเดินอีกรอบตอนเย็นๆ สรุปได้หัดเดิน 2 รอบ 1 วันหลังผ่าตัด
วันศุกร์เป็นวันที่คุณหมอให้อนุญาตกลับบ้านได้ คุณหมอมาทำแผล เอาพวกสายถ่ายเลือดออก และปริ๊นข้อมูลในการเลิกยาแก้ปวดมาให้ และแนะนำให้ใส่เข็มขัดพยุงหลังในช่วงแรกๆ รวมทั้งตอนขึ้นเครื่องบิน จขกทได้เจอกับเภสัชซึ่งมาอธิบายเรื่องยา แต่เนื่องจากจขกทยังไม่ได้จองตั๋วกลับบ้านเพราะยังไม่แน่ใจว่าจะกลับได้เมื่อไร เลยคิดว่าจะกลับวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเสาร์แทน ทางรพ.เลยนัดให้เข้ามาอีกรอบเพื่อเช็คร่างกายว่าสามารถขึ้นเครื่องบินได้และออกเอกสารสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่าตัดให้ยื่นกับสายการบิน
ช่วงบ่ายวันเสาร์พวกเราเข้ามารพ.อีกครั้งเพื่อพบคุณหมออีกท่านเพื่อตรวจร่างกายและรับเอกสารในการขึ้นเครื่องบิน เราเดินทางกลับบ้านในช่วงค่ำ
ตอนนี้เวลาผ่านไปสัปดาห์กว่าๆ ยังมีอาการเจ็บเท้าแบบเข็มทิ่มอยู่แต่น้อยลง สามีอาการดีขึ้นตามลำดับ ยาแก้ปวดกินน้อยลงครึ่งต่อครึ่ง (ต้องค่อยๆลดนะคะ หักดิบเลยไม่ได้) ร่าเริงกว่าแต่ก่อนมาก เพราะเมื่อก่อนไม่หลับ ก็ปวดหัว ก็เจ็บขา ออกไปไหนไกลไม่ได้ เดินไกลไม่ได้ นั่งนานๆไม่ได้ มีอาการซึมเศร้า จขกทเองก็พลอยเครียดไปด้วยเหมือนกัน บอกตรงๆไม่รู้เลยว่ากลับบ้านไปแล้วสามียังจะอยู่มั้ย กลัวเค้าคิดสั้น เพราะตัวเราเองก็คิดเหมือนกัน ทุกๆวันค่อนข้างหดหู่ เวลาสามีนอนกรนไม่เคยหงุดหงิดเลย เพราะรู้ว่าเค้ายังหายใจอยู่
ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนช่วยให้ภารกิจนี้ลุล่วง ตั้งแต่เซลส์บริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ชี้จุดว่าต้องไปหาโรงพยาบาลไหน คุณหมอทุกๆท่าน โดยเฉพาะคุณหมอภัทร โฆสานันท์ที่ตอบคำถามตั้งแต่เราส่งอีเมลไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำและทำการผ่าตัดในครั้งนี้ พยาบาลทุกๆท่านที่ดูแลพวกเรา รวมทั้งทีมงานรพ.เวชธานีทุกๆท่านที่ช่วยประสานงาน
อยากจะบอกทุกคนว่าอย่าสิ้นหวังเด็ดขาด ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราตั้งใจ ตอนนี้วิทยาการทางการแพทย์ล้ำหน้าขึ้นมาก อะไรที่เคยเป็นเรื่องยากก็เริ่มจะง่ายแล้ว เราต้องอดทนและหาข้อมูลให้มากที่สุด ถ้าหากจขกทและสามีถอดใจและเชื่อคำพูดของหมอทุกคนที่ผ่านมา พวกเราคงไม่สามารถมาแชร์เรื่องนี้กับทุกคนได้ คนที่ดูแลผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังต้องใจเย็นและทำความเข้าใจให้มาก ว่าคนป่วยไม่ได้อยากป่วย ไม่ได้อยากเบี้ยวนัดออกไปทานข้าวข้างนอกในวันพิเศษ เค้าอยากไป เค้าอยากทำตามสัญญา แต่หลายๆครั้งเค้าเจ็บ และไม่สามารถออกไปได้ คนที่ดูแลสำคัญมาก เพราะผู้ป่วยเจ็บทางกายอยู่แล้ว เราต้องเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งให้เค้าได้ เราต้องดูแลสุขภาพกายและใจให้ดี พยายามคิดบวกเสมอ
สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังต่อสู้กับความเจ็บป่วยรวมทั้งผู้ที่ดูแลคนป่วยนะคะ ขอบคุณค่ะ