“แชร์ประสบการณ์ ความรู้สึกกลัวตาย กลัวบ้า หวาดสะดุ้ง หลังจากการปฏิบัติธรรม และการแก้ ครับ”

ขอนอบน้อมแด่องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบุญที่เกิดจากการเผยแพร่ประสบการณ์ในครั้งนี้ ขออุทิศให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงได้ในส่วนแห่งบุญนี้ด้วยเถิด


สวัสดีครับ เนื่องในวันวิสาขบูชา 2561 ผมขอสร้างบุญโดยการให้วิทยาทาน ผมขอแนะนำเบื้องต้นว่า ผมไม่ได้มีเจตนาจะมาสอนธรรมะ แต่เป็นการเล่าจากประสบการณ์ที่ได้เจอคือ

ย้อนไปประมาณช่วงสงกรานต์ ผมได้ไปวิปัสสนาตามแนวท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ด้วยความคาดหวังที่เปี่ยมล้นว่า ผมจะต้องนิ่งสงบและอุเบกขาจากเรื่องทางโลกที่ผมประสบอยู่ (ผมเป็นนิสิตปริญญาโท ที่กำลังทำวิทยานิพนธ์ และทุกข์กับเรื่องนี้มาก) ระหว่างที่ฝึก มีความเพ่งจ้องให้ได้รับความรู้สึกที่กายชัด ๆ โดยการคิดเป็นภาพ แล้วมองความรู้สึกในภาพที่คิดนั้น ความรู้สึกตอนนั้นมันเครียดมาก ร่างกายก็เครียด เกร็ง ฟันขบกันแน่นไปหมด แล้วก็รู้สึกหัวหมุน นั่งไป 8 วัน ฟุ้งซ่านทั้ง 8 วัน นอนไม่หลับ กินข้าวแทบไม่ได้ มันเครียด ความคิดต่าง ๆ ที่รุนแรงและลบ ๆ ไหลออกมาไม่ขาดสาย จน หลายครั้งไม่สามารถนั่งวิปัสสนาต่อไปได้ เข้าไปถามอาจารย์เกือบทุกวัน มีความสงสัย สงสัย และสงสัย ไม่หยุดหย่อน จนวันที่ 9 ผมได้เข้าไปถามอาจารย์อีกครั้ง ว่า การเคลื่อนความรู้สึกไปรับรู้ เคลื่อนยังไง เคลื่อนจิตยังไง ผมไม่เข้าใจหากไม่นึกเป็นภาพและไม่กรอกตา มันไม่รู้สึกหรือรู้สึกไม่ชัด ด้วยความเมตตา อาจารย์สรุปได้คำเดียวว่า อุเบกขา ซึ่งกว่าเราจะรู้ตัวก็ใกล้จะจบการฝึกแล้ว (10 วัน)

หลักออกจากการไปวิปัสสนา ผมมีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น คือ กลัว กลัวตาย กลัวตัวเองจะเพี้ยน จะวิปลาส พยายามไปบังคับอารมณ์ ให้มีสมาธิ จดจ่อที่ลมหายใจ แล้วก็เกิดความสงสัยตลอดว่าสิ่งนี้ ทำแล้วได้ผลจริงหรือ ฟังพระอาจารย์ ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ หลวงพ่อดัง ๆ ในยูทูปเพื่อที่จะฝึกแก้อาการที่ตัวเองเป็น ยิ่งฟังยิ่งฟุ้งซ่านไปใหญ่ เลยเลิกฟัง ผมเป็นอาการแบบนี้มาร่วมเดือน นับตั้งแต่ออกจากการวิปัสสนา จนวันหนึ่งผมตัดสินใจเล่าให้แฟนฟัง ว่าผมมีอาการรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก มันจะเกิดความคิดอะไรบางอย่างก่อน ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ดี แล้วจะมีอาการเย็นที่ท้ายทอย ตึงที่ศีรษะ (ผมเป็นตอนช่วงที่ไปวิปัสสนาจนกลับออกมาก็ยังเป็น) แฟนและผมเลยช่วยกันหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ซึ่งพันทิพย์ก็เป็นแหล่งหนึ่งในนั้นที่เราช่วยกันค้นหา เราใช้ key word ว่า ปฏิบัติธรรมแล้วบ้า คือลองไปอ่านแล้วจะเป็นแนวเห็นแสง เห็นนรก สวรรค์ ซึ่งไม่ใช่อาการที่ผมเป็น
    และช่วงพีคที่สุดก็มาถึง


ผมอ่านหนังสือสถิติอยู่ วันนี้ตั้งใจว่าจะอยู่คนเดียวจะเอาชนะอารมณ์กลัวนี้ให้ได้ พออ่านไป สมองมันไปคิดแต่เรื่องอยากให้อาการนี้หายไป เลยไปพยายามเพ็งมองตัวหนังสือ พอเพ็งเข้า จู่ ๆ เกิดอาการวูบและกลัวขึ้นมาอย่างขีดสุด ผมเลิกพักออกไปเดินเล่น แต่พอกลับมาจะอ่านใหม่ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะกลับมาเป็นอีก วันนั้นเลยเล่าให้น้องที่เรียนโทด้วยกันฟัง แล้ววันต่อมาผมเลยตัดสินใจไปหานักจิตวิทยา เพื่อเล่าอาการให้ฟัง

ความกลัวมันค่อย ๆ ขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับความคิดที่ค่อย ๆ มีเรื่องราวที่น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ คิดถึงว่าถ้าเราบ้าขึ้นมาจริง ๆ แฟนเรา แม่เรา จะเป็นยังไง เราจะเป็นยังไง เราจะทนอยู่กับอาการนี้ได้อีกเมื่อไหร่ จะตายไหม จะไปถึงจุดที่ตัวเองจะรับรู้ได้ไหมว่ากำลังทำอะไร มันกลัวไปหมด

ผมไปพบพี่นักจิตวิทยา ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นลักษณะที่ผมเข้าใจว่าคือ talk therapy คือพี่นักจิตวิทยาจะใช้คำถามเพื่อให้เราสำรวจตรวจสอบความคิดของตัวเราเองว่าตอนนี้เรากำลังคิดอะไรอยู่ ผมเคยไปเข้าคอร์สที่เรียกว่า เข้า trance มา 3 ครั้ง เลยพอจะรู้ว่าพี่นักจิตวิทยาทำกระบวนการนั้นคล้าย ๆ กัน คือ พูดนำผมไปแตะปม ที่อยู่ลึกที่สุดในใจของผม ระหว่างนั้นผมเล่าให้พี่เขาฟังว่าผมไปวิปัสสนามาแล้วคำถามที่ได้จากพี่เขาคือ “ยิ่งรู้สึกเคว้งเลยใช่ไหมล่ะ” ผมตอบว่าใช่ครับ คือไปเห็นว่าร่างกายเราที่เราคิดว่าเราบังคับได้แต่จริง ๆ เราบังคับอะไรไม่ได้เลย พอรู้แบบนั้นก็เลยกลัวขึ้นมา พี่นักจิตวิทยาพูดให้ผมเห็นว่า ผมเป็นคนที่คอยจะควบคุมสิ่งต่าง ๆ พอสิ่งต่าง ๆ ไม่อยู่ในการควบคุม ความกลัวจึงเกิดขึ้น
“คุณกลัวอะไร”  พี่นักจิตวิทยาถามผม
“ผมกลัวแพ้ครับ” แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาแบบหนักมาก
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกลัวแพ้อะไร แต่คิดว่าถ้าเรากำกับควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างที่ใจเราต้องการแล้วเราคงจะไม่ต้องเจอกับความเจ็บปวด
แต่ที่ผ่านมา ที่ใช้ชีวิตด้วยความเชื่อ ในส่วนที่ลึกที่สุดแบบนี้ มันกลับยิ่งทำให้เราเจ็บปวด
ผมรู้สึกดีขึ้นในระดับหนึ่งหลังจากคุยกับพี่นักจิตวิทยา จากนั้นก็นัดเข้ามาพบต่อในสัปดาห์ต่อมา ตอนแรกน้อง ๆ ที่เรียนโทด้วยกันก็บอกผมว่าไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมอะไรแบบนั้นแล้ว ซึ่งผมก็คิดว่าแบบนั้นก็อาจจะจริง แต่อาการกลัวยังอยู่กับผมต่อ ช่วงพระอาทิตย์ตกดินแล้วน้อง ๆ ต้องกลับ แล้วผมก็ต้องกลับไปอยู่หอคนเดียว คือเป็นช่วงเวลาที่แบบ…ทุกข์มากครับ

วันต่อมา ความคิดที่ว่าอีกไม่นานตัวเองต้องบ้าแน่ ๆ เริ่มรุนแรงขึ้น ตอนนั้นมันคิดถึงแต่ว่าใครบ้างที่เราไว้ใจได้ ถ้าเกิดเราสติหลุดไปจริง ๆ เค้าจะเป็นคนรู้เรื่องราวของเราก่อนหน้านั้น แล้วพาเราไปหาหมอได้ ผมเลยตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทคนหนึ่งฟัง (เธอเป็นนักจิตวิทยา)
“เธอ เธอเกือบจะเป็นโรคอย่างหนึ่งแล้วนะ เคยได้ยินไหม panic…” เพื่อนบอกกับผมมา
ผมบอกกับเพื่อนว่าใช่ คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นโรคนี้แหละ แต่อาการมันต่างตรงที่ใจไม่สั่น หายใจยังปกติ แค่มีความกลัวตาย กับกลัวบ้า เท่านั้น
ผมก็ค่อย ๆ เริ่มเล่าให้เธอฟังว่าผมไปวิปัสสนามา แล้วผมมักติดเพ่ง ตามดู ตามรู้ความรู้สึกและลมหายใจ คือนั่งสมาธิแล้วกัดฟันกันแน่น ผมเลยรู้สึกว่าผมน่าจะได้รับผลที่ตรงกันข้ามจากการปฏิบัติ ซึ่งเพื่อนก็ดีมากที่ให้กำลังมาว่า “เราฝึกเพ่งได้ เราก็น่าจะฝึกที่จะไม่เพ่งได้นะ เราว่าเป็นกระบวกการเดียวกัน” ตอนนั้นเหมือนตื่นขึ้นมานิดนึง แล้วก็ประโยคที่เพื่อนทำให้ผมร้องไห้คือ “เธอ คนเราน่ะ อ่อนแอบ้างก็ได้” แล้วเพื่อนก็ให้เทคนิคเล็กๆ มาว่าเวลารู้สึกถึงอาการนี้ที่กำลังจะมา ลองย้ายโฟกัสไปทำอย่างอื่นดู หรือแค่การเล่าให้ใครสักคนฟังอาการก็จะดีขึ้น

มีวันหนึ่งผมตื่นมา ปกติจะไม่มีอาการกลัวตอนตื่น แต่เช้านี้ตื่นมาแล้วแบบ เฮ้ยแกมาอีกแล้วเหรอ
ผมเลยตัดสินใจโทรไปหาคนที่ผมไม่อยากให้รู้เรื่องนี้มากที่สุดคือ “แม่” แต่สุดท้ายผมคิดว่าถ้าผมจะกลายเป็นคนบ้าไปจริง ๆ ผมควรโทรไปบอกแม่ ผมเลยโทรไปเล่าให้แม่ฟังทุกอย่าง แม่พูดมาคำหนึ่งว่า “อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด มีชีวิตไปแค่ในแต่ละวันก็พอ”
เป็นความโชคดีที่เพื่อนของแม่คนหนึ่ง เป็นคุณป้าที่ไปปฏิบัติธรรมในที่ต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน หลังจากวางสายแม่ไปสักพักแม่ก็โทรกลับมาพร้อมกับที่แม่ให้ผมคุยกับคุณป้า
“ฮัลโหล่ ลูกอาการมันเป็นยังไงบ้างนะ” คุณป้าถามมาจากปลายสาย
“คือผมติดเพ่งน่ะครับป้า ตั้งแต่ไปวิปัสสนามา มันเพ่งดูตามดูความรู้สึกและลมหายใจจนเกร็งและตึงไปหมด แล้วผมก็มีอาการเย็นที่ท้ายทอยแล้วก็กลัวน่ะครับ”
“อนุโมทนาบุญด้วยนะ” คุณป้าตอบกลับมา คือผมสะตั้นกลับประโยคนี้มาก คือแบบ ผมทุกข์กับอาการนี้จะตายอยู่แล้ว “มันเป็นอีกสภาวะหนึ่งที่เราจะกำลังจะข้าม แต่ลูกแค่ติดแล้วไม่รู้ว่าจะออกยังไง”
“ครับ ระหว่างนี้ผมก็ฟังครูบาอาจารย์ในยูทูปแต่ยิ่งฟังก็ยิ่งฟุ้งซ่านครับ”
“ลูก มีอาจารย์ไหม ที่รู้จักน่ะ”
“ไม่มีครับผม ผมฝึกเอง”
“ไม่ได้เลย เรื่องพวกนี้ เราต้องมีครูบาอาจารย์คอยบอกเรา ท่านจะรู้สภาวะจิตเรา แปปเดียวเท่านั้นแหละ ให้ท่านช่วยแก้ให้”
โอ้โห ประโยคนี้ของคุณป้าทำให้ชีวิตที่มืดสุด ๆ ของผมมามีความหวังขึ้นอีกครั้งเลยครับ ถึงตอนนี้ผมจะลดอีโก้และยอมทำตามแล้ว เพราะผมแก้มาหมดทุกทางแล้ว
“งั้นมาหาพระอาจารย์ที่เพชรบูรณ์นะ มาคุยกับท่านดูสิว่าเราเป็นอะไร รีบมาเลย” คุณป้าพูด
“รีบมาเลยถ้าไม่อยากเป็นบ้า” เสียงแม่เสริมขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะนิดนึง
ผมก็รับปากว่าครับ ๆ เดี๋ยวผมจะรีบเคลียร์งานแล้วหาวันว่างกลับไป

ระหว่างนั้น แฟนก็ค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต แล้วไปเจอข้อมูลจากสถาบันที่ชื่อว่า วิปัสสนาธุระ ที่มีเจ้าอาวาสท่านเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนา มีบทความที่เขียนเกี่ยวกับปัญหาของนักปฏิบัติธรรม ที่เคร็งเครียด เพ่งจ้อง จนสุดท้ายต้องส่งตัวไปอยู่โรงพยาบาล เขียนลงไปเว็บไซต์ของสถาบัน ผมกับแฟนเลยคุยกันว่าลองติดต่อและเข้าไปหาพระอาจารย์ดูไหม คิดว่าท่านน่าจะพบคนที่มีปัญหานี้เยอะทีเดียว แต่โทรไปไม่มีคนรับสาย ผมเลยบอกกับแฟนว่า อาจจะกลับเพชรบูรณ์เพราะพระอาจารย์ที่คุณป้าเล่าถึง ผมเคยไปทำบุญอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยสนทนาธรรมหรือถามตอบปัญหาธรรม กับท่าน แล้วคิดว่าอย่างน้อยท่านก็ดูมีเมตตา (ด้วยบุคลิกของท่าน)

หลังจากนั้นแม่ก็โทรมาหาบ่อยขึ้น จากคำแนะนำของป้าว่า โทรไปหาลูกบ่อย ๆ เพื่อให้กำลังใจ

วันต่อมา ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกลัวอีกครั้ง ความนี้หนักมากพอหลับตาปุปก็จะเพ็งดูลมหายใจทันที แล้วจู่ ๆ ก็เห็นแสงสีขาว ลอยไปมา พอเห็นแล้วก็กลัว ลืมตาตื่นขึ้น เหมือนจะบ้าแล้วตอนนั้นเริ่มคิดว่าตัวเองประสาทหลอนแล้ว หนักแล้ว เลยโทรไปบอกแม่ว่าจะกลับเพชรบูรณ์เย็นวันนี้เลย

ช่วงบ่ายวันเดียวกันผมมีนัดคุยกับพี่นักจิตวิทยาอีกครั้ง ความเครียดของผมมีสองเรื่องตอนนี้คือ วิทยานิพนธ์ กับอาการที่ผมเป็น ซึ่งพี่นักจิตวิทยาช่วยคลายปมในเรื่องแรกไปได้แล้วแต่เรื่องที่สองมันยังติดอยู่ในใจผม

คืนวันนั้นแฟนผมขับรถจะฉะเชิงเทรามาหาที่กรุงเทพฯ เพื่อจะไปส่งผม ก่อนไปผมอธิษฐานจิตต่อรูปปั้นหลวงพ่อโสธรที่อยู่ในห้องว่า "ขอให้ได้พบพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และแนะนำข้าพเจ้าให้ออกจากสภาวะที่ติดขัดนี้ด้วยเถิด หากสำเร็จหายเป็นปกติแล้ว จะตั้งกระทู้แชร์เป็นวิทยาทานให้กับผู้ที่ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เพื่อประโยชน์สุข แก่ผู้ที่ติดขัดและมีปัญหาเหมือนข้าพเจ้า”


คืนนั้นผมเหมือนคนใกล้บ้าแล้ว สั่งเสียแฟนทุกอย่างว่าท้าเกิดไปแล้วบ้าหรือเพี้ยนหนักกว่าเดิมให้เอาผมไปอยู่โรงพยาบาลเลยนะ แฟนจับมือแล้วบอกว่า “ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไรยังไง ฉันจะเอาเธอมาดูแลเอง” น้ำตาจะไหลเลยอะ (ผมเหมือนคนบ้าจริง ๆ ช่วงนั้น คือทุกข์มาก) ก่อนไปเราก็ไปนั่งกินพิซซ่าที่เดอะสตรีท แล้วแฟนก็เล่าให้ฟังว่าไปเจอกระทู้หนึ่งที่เล่าเกี่ยวกับอาการคล้าย ๆ ผม โดยได้ข้อสรุปที่เรียบง่ายที่สุดว่า





“ต้องรักษาศีล”





พูดแล้วเหลือเชื่อครับ สิ่งที่ผมตามหามานานอยู่ในสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด ขณะที่ได้ฟัง ความกลัวมันดับลงไปให้ดูตรงนั้นเลย เหมือนความรู้เนื้อรู้ตัวมันกลับมาเป็นปกติ แล้วแฟนผมก็พูดต่อว่า “แล้วก็ต้องเป็นศีล 8 นะ บวกกับการปฏิบัติแบบนี้ ไม่ควรเอากิเสสความโลภ อยากได้เข้าไปใส่ อาการที่ออกมาก็จะเป็นแบบคล้าย ๆ ที่เธอเป็น”

โอ้โห ภาพ ต่าง ๆ ในอดีตไหลมาเลยครับ ถึงตอนนี้ผมมานึกประโยคหนึ่งของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า เกี่ยวกับว่าทำไมต้องจัดสภาพแวดล้อมให้ผู้ปฏิบัติรักษา สำรวจกาย วาจา ใจ อยู่ในศีล 8 ให้ได้บริบูรณ์ที่สุด



นึกย้อนไปก่อนจะเข้าวิปัสสนา ผมมาด้วยอารมณ์โลภ อยากได้สภาวะนิ่ง สงบและอุเบกขาต่อปัญหาทางโลก รวมทั้งการเรียนในระดับสูง อัตตา หรือตัวกู มันพองใหญ่มาก มีครั้งหนึ่งน่าจะวันที่สองของการปฏิบัติ ผมเห็นฝรั่งที่มาปฏิบัติด้วยใส่รองเท้าขึ้นมาบนเรือนพักชาย จิตผมนี่เพ่งโทษไปตำหนิเขา ไม่พอยังไปฟ้องธรรมบริกรอีก ศีลทางวาจาและใจก็ขาดแล้วตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็จะคอยสังเกตเขาอยู่ทุกวัน จิตตำหนิเขาอยู่เรื่อย ๆ หลังออกจากวิปัสสนาคือทุกข์กว่าเดิม เข็ดกับการมาปฏิบัติ ฟุ้งซ่าน สงสัยไปต่าง ๆ นา ๆ แล้วพอมาคิดดูศีลเราขาดจริง ๆ ความชั่วเรายังทำอยู่แล้วจะไปบรรลุสภาพธรรมอะไรนั่น มันก็เป็นมิจฉาทิฐิ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิทั้งหมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่