เราเป็นคนตจว. เข้ามาทำงานที่กทม.ได้ประมาณ 5-6ปีได้หลังจากที่เรียนจบ ตลอดระยะเวลา4ปีแม่จะเป็นคนออกค่าเทอมและค่าหอพักให้ และก็มีพี่สาวและพี่ชายคอยช่วยเหลือส่งเงินสำหรับค่าใช้จ่ายให้ในทุกๆเดือน เมื่อเราเรียนจบเราก็เข้ามาหางานทำที่กทม. มาพักอยู่กับพี่สาวและพี่เขยชั่วคราวจนกว่าจะตั้งตัวได้ ซึ่งพี่สาวเราก็แต่งงานแล้ว ตอนนั้นพี่เขยก็มีบางสัปดาห์ที่ทำงานเข้ากะดึก เลิกงานมาตอนเช้าก็พาเราไปสมัครงานเพราะเรายังไม่รู้เส้นทางในกทม. ส่วนพี่สาวก็ท้องได้ 4-5 เดือนก็ไปทำงานตามปกติ เมื่อเราได้งานทำและเริ่มตั้งตัวได้ก็ย้ายหอออกมาไม่ไกลกับพี่สาวมากนัก พี่สาวกับพี่เขยตั้งใจว่าจะกลับไปคลอดอยู่บ้านที่ตจว. และหางานทำที่นั่นบวกกับอยากกลับไปดูแลพ่อแม่ที่บ้านด้วย ทั้งคู่จึงลาออกจากงานและให้เรากลับไปเช่าห้องพี่สาวต่อ เพราะห้องพี่สาวมีข้าวของเครื่องใช้อยู่ครบ เช่น ตู้เย็น โซฟา โต๊ะดูทีวี โต๊ะกระจก ตู้เสื้อผ้า ตู้กับข้าว ฯลฯ แทบได้ว่าเราไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม จะมีก็แต่ทีวีเท่านั้น
ปัจจุบันพี่สาวมีลูก 2คน คนโตอายุ 5ขวบ คนเล็ก4ขวบ เรียนอยู่อนุบาล ในช่วงแรกที่พี่สาวกลับไปอยู่บ้านพี่สาวก็เลี้ยงดูลูกอยู่บ้าน ส่วนพี่เขยก็ทำงานรับจ้างทั่วไป มีไปหาปู หาปลาบ้าง ส่วนเราก็กลับไปเยี่ยมบ้านปีละ2ครั้ง เวลาเรากลับพี่สาวก็พาหลานๆมานอนค้างด้วยที่บ้าน (บ้านพี่สาวอยู่ไม่ไกลมาก ปั่นจักรยานมาแป๊บเดียวถึง) ก็ทำกับข้าวกินกันโดยเราออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนพี่สาวก็เป็นทำกับข้าวเพราะเขาชอบทำกับข้าวอยู่แล้ว เรารักและห่วงหลานๆมากเพราะอยู่ในวัยกำลังน่ารัก เวลาจะนอนหลานๆจะเข้ามาหยอกล้อและนอนด้วยข้างๆ เกริ่นมาตั้งนานเข้าเรื่องกันดีกว่า (ทุกครั้งที่กลับก็ให้ตังค์แม่ พี่สาวและหลานๆไว้ใช้ตลอด)
เรื่องมีอยู่ว่า แม่โทรมาหาเรา ซึ่งปกติแล้วแม่ไม่ค่อยโทรมาเราหรอก มีแต่เราโทรหาแม่อาทิตย์ละครั้ง เราก็ตกใจนึกว่าที่บ้านมีใครป็นอะไรหรือเปล่า ประโยคแรกที่แม่พูดขึ้นมา แม่ขออะไรอย่างหนึ่งได้มั้ย ส่งตังค์ให้พี่สาวสักเดือนละ 1,000.-ได้มั้ย ลำพังแม่แม่พอมีใช้อยู่บ้าง ไม่ต้องส่งให้แม่หรอก ประเด็นคือเราพึงลาออกจากงานจากที่เก่าเมื่อปลายปีที่แล้ว มาได้งานช่วงเดือนมีนาคม กำลังอยู่ในช่วงทดลองงาน 120วัน เราอยู่หอพักคนเดียวยังไม่แต่งงาน ไม่ค่อยมีภาระเยอะเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่เป็นมนุษย์เงินเดือน เงินเดือนออกก็หมดไปกับค่าเช่าหอพัก ค่ารถไฟฟ้า ค่าอยู่ค่ากินของใช้ต่างๆ (ค่าครองชีพสูงเกิ๊นนน แต่เงินเดือนเท่าขี้มด) เอาเป็นว่าทำงานมา 5-6ปี ยังไม่มีตังค์เก็บ ก็มีส่งตังค์ให้แม่และพี่สาวใช้บ้างเป็นบางเดือน เราไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อย่างที่ผู้หญิงทั่วไปเขาซื้อกัน ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังเสมอเพราะกลัวตังค์ไม่พอใช้
แม่เล่าว่าช่วงนี้พี่สาวมาบ่นให้ฟังว่า พี่เขยวันๆไม่ทำอะไร มีแต่นอนช่วงกลางวันและก็ออกไปหาปลาบ้างในบางครั้ง หนักกว่านั้นคืออายุ 36-37 ปีนอนดูการ์ตูนจ้า ซึ่งเรากลับบ้านไปก็เป็นอย่างที่แม่เล่าจริงๆ (ดีอย่างเดียวคือเขาไม่เจ้าชู้) อาชีพหลักตอนนี้คือรอทำนาหว่านอย่างเดียว ซึ่งทางญาติๆที่บ้านก็เคยแนะนำให้ไปหางานที่นู่นนี่นั่นทำเขาก็นิ่งเฉย แม้แต่เราก็ยังเคยบอกพี่สาวเราหางานทำสิ เช่น ขายของ ทำกับข้าวขายสิ เขาก็เอาลูกมาอ้างว่าใครจะเลี้ยงดู ไหนจะต้องทำงานบ้านอีก (เราคิดในใจ แต่เด็กๆก็เข้าร.ร.แล้วนะ เลิกเรียนก็14.30น. อีกคนก็15.30น.) เราก็คุยกับแม่ตลอดว่าถ้าเขาไม่หางานการทำจะเอาที่ไหนกิน เงินต่อให้มีมากแค่ไหนถ้าใช้อยู่กินทุกวันและไม่หามันก็หมดอยู่แล้ว ตอนลูกยังเล็กๆให้รีบหามันก็จะดี เพราะโตมาค่าใช้จ่ายเล่าเรียนมันเยอะ เมื่อก่อนแม่ก็จะคอยถามพี่สาวเสมอว่ามีตังค์ใช้มั้ย ถ้าไม่มีแม่จะให้ใช้บ้าง ให้ยืมบ้าง แต่พักหลังมาแม่อยากลองใจพี่เขยดูก็เลยไม่ถามว่ามีใช้มั้ย ซึ่งแน่นอนว่าจะมีใช้ได้ไงล่ะก็ไม่ยอมหานิ
พักหลังพี่เขยเริ่มมีปากเสียงกับพี่สาวต่อหน้าแม่เรา ก็ทะเลาะกันเรื่องค่าใช้จ่ายนี่แหล่ะ แต่ก็ไม่ถึงทะเลาะรุนแรงอะไรมาก แป๊บเดียวก็คืนดีกัน เรารู้ว่าแม่คงเครียดมากๆ แม่บอกสงสารหลานมากกว่า (แม่ก็พูดประมาณว่าพี่สาวเขาเคยส่งเสียเราเล่าเรียนนะ)จริงๆแล้วเงินพันหนึ่งเราส่งให้ได้นะ แต่ประเด็นคือ เมื่อเขาไม่ยอมหางานทำมัวแต่งอมืองอเท้านอนอยู่บ้าน ใครล่ะอยากจะช่วย ความคิดเราจริงๆคือเราคิดว่ามันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา ทางออกคือเขาต้องหางานทำ ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ถ้าสุดๆแล้วมีงานทำก็แล้วแต่ยังขัดสนเราก็ยินดีช่วยอยู่แล้ว (ต้องบอกก่อนนะว่าเวลาพี่สาวไม่มีตังค์ใช้เขาไม่เคยขอตังค์จากเราและแม่ใช้เลย) คำถามในใจคือถ้าเราส่งให้เขาใช้ทุกเดือนเราต้องส่งถึงเมื่อไหร่? บางทีก็คิดว่าถ้าเรามีเงินก้อนมาเราก็ไม่อยากให้เขาใช้หรอก เราอยากให้อาชีพเขามากกว่า เพราะอาชีพเมื่อเราลงทุนเขาสามารถต่อยอดได้ ดีกว่าให้เงินไปเฉยๆใช้ไปวันๆก็หมด (ที่เล่ามาเราก็สงสารพี่สาวนะ แต่ก็นั้นแหล่ะ...) เพราะเมื่อเราลำบากเขาก็ช่วยเหลือและดีกับเรามาก)
พี่เคยส่งเรียน เมื่อพี่ไม่มีงานทำและไม่หางานทำ เราควรส่งเงินช่วยเหลือทุกเดือนมั้ย??
ปัจจุบันพี่สาวมีลูก 2คน คนโตอายุ 5ขวบ คนเล็ก4ขวบ เรียนอยู่อนุบาล ในช่วงแรกที่พี่สาวกลับไปอยู่บ้านพี่สาวก็เลี้ยงดูลูกอยู่บ้าน ส่วนพี่เขยก็ทำงานรับจ้างทั่วไป มีไปหาปู หาปลาบ้าง ส่วนเราก็กลับไปเยี่ยมบ้านปีละ2ครั้ง เวลาเรากลับพี่สาวก็พาหลานๆมานอนค้างด้วยที่บ้าน (บ้านพี่สาวอยู่ไม่ไกลมาก ปั่นจักรยานมาแป๊บเดียวถึง) ก็ทำกับข้าวกินกันโดยเราออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนพี่สาวก็เป็นทำกับข้าวเพราะเขาชอบทำกับข้าวอยู่แล้ว เรารักและห่วงหลานๆมากเพราะอยู่ในวัยกำลังน่ารัก เวลาจะนอนหลานๆจะเข้ามาหยอกล้อและนอนด้วยข้างๆ เกริ่นมาตั้งนานเข้าเรื่องกันดีกว่า (ทุกครั้งที่กลับก็ให้ตังค์แม่ พี่สาวและหลานๆไว้ใช้ตลอด)
เรื่องมีอยู่ว่า แม่โทรมาหาเรา ซึ่งปกติแล้วแม่ไม่ค่อยโทรมาเราหรอก มีแต่เราโทรหาแม่อาทิตย์ละครั้ง เราก็ตกใจนึกว่าที่บ้านมีใครป็นอะไรหรือเปล่า ประโยคแรกที่แม่พูดขึ้นมา แม่ขออะไรอย่างหนึ่งได้มั้ย ส่งตังค์ให้พี่สาวสักเดือนละ 1,000.-ได้มั้ย ลำพังแม่แม่พอมีใช้อยู่บ้าง ไม่ต้องส่งให้แม่หรอก ประเด็นคือเราพึงลาออกจากงานจากที่เก่าเมื่อปลายปีที่แล้ว มาได้งานช่วงเดือนมีนาคม กำลังอยู่ในช่วงทดลองงาน 120วัน เราอยู่หอพักคนเดียวยังไม่แต่งงาน ไม่ค่อยมีภาระเยอะเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่เป็นมนุษย์เงินเดือน เงินเดือนออกก็หมดไปกับค่าเช่าหอพัก ค่ารถไฟฟ้า ค่าอยู่ค่ากินของใช้ต่างๆ (ค่าครองชีพสูงเกิ๊นนน แต่เงินเดือนเท่าขี้มด) เอาเป็นว่าทำงานมา 5-6ปี ยังไม่มีตังค์เก็บ ก็มีส่งตังค์ให้แม่และพี่สาวใช้บ้างเป็นบางเดือน เราไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อย่างที่ผู้หญิงทั่วไปเขาซื้อกัน ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังเสมอเพราะกลัวตังค์ไม่พอใช้
แม่เล่าว่าช่วงนี้พี่สาวมาบ่นให้ฟังว่า พี่เขยวันๆไม่ทำอะไร มีแต่นอนช่วงกลางวันและก็ออกไปหาปลาบ้างในบางครั้ง หนักกว่านั้นคืออายุ 36-37 ปีนอนดูการ์ตูนจ้า ซึ่งเรากลับบ้านไปก็เป็นอย่างที่แม่เล่าจริงๆ (ดีอย่างเดียวคือเขาไม่เจ้าชู้) อาชีพหลักตอนนี้คือรอทำนาหว่านอย่างเดียว ซึ่งทางญาติๆที่บ้านก็เคยแนะนำให้ไปหางานที่นู่นนี่นั่นทำเขาก็นิ่งเฉย แม้แต่เราก็ยังเคยบอกพี่สาวเราหางานทำสิ เช่น ขายของ ทำกับข้าวขายสิ เขาก็เอาลูกมาอ้างว่าใครจะเลี้ยงดู ไหนจะต้องทำงานบ้านอีก (เราคิดในใจ แต่เด็กๆก็เข้าร.ร.แล้วนะ เลิกเรียนก็14.30น. อีกคนก็15.30น.) เราก็คุยกับแม่ตลอดว่าถ้าเขาไม่หางานการทำจะเอาที่ไหนกิน เงินต่อให้มีมากแค่ไหนถ้าใช้อยู่กินทุกวันและไม่หามันก็หมดอยู่แล้ว ตอนลูกยังเล็กๆให้รีบหามันก็จะดี เพราะโตมาค่าใช้จ่ายเล่าเรียนมันเยอะ เมื่อก่อนแม่ก็จะคอยถามพี่สาวเสมอว่ามีตังค์ใช้มั้ย ถ้าไม่มีแม่จะให้ใช้บ้าง ให้ยืมบ้าง แต่พักหลังมาแม่อยากลองใจพี่เขยดูก็เลยไม่ถามว่ามีใช้มั้ย ซึ่งแน่นอนว่าจะมีใช้ได้ไงล่ะก็ไม่ยอมหานิ
พักหลังพี่เขยเริ่มมีปากเสียงกับพี่สาวต่อหน้าแม่เรา ก็ทะเลาะกันเรื่องค่าใช้จ่ายนี่แหล่ะ แต่ก็ไม่ถึงทะเลาะรุนแรงอะไรมาก แป๊บเดียวก็คืนดีกัน เรารู้ว่าแม่คงเครียดมากๆ แม่บอกสงสารหลานมากกว่า (แม่ก็พูดประมาณว่าพี่สาวเขาเคยส่งเสียเราเล่าเรียนนะ)จริงๆแล้วเงินพันหนึ่งเราส่งให้ได้นะ แต่ประเด็นคือ เมื่อเขาไม่ยอมหางานทำมัวแต่งอมืองอเท้านอนอยู่บ้าน ใครล่ะอยากจะช่วย ความคิดเราจริงๆคือเราคิดว่ามันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา ทางออกคือเขาต้องหางานทำ ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ถ้าสุดๆแล้วมีงานทำก็แล้วแต่ยังขัดสนเราก็ยินดีช่วยอยู่แล้ว (ต้องบอกก่อนนะว่าเวลาพี่สาวไม่มีตังค์ใช้เขาไม่เคยขอตังค์จากเราและแม่ใช้เลย) คำถามในใจคือถ้าเราส่งให้เขาใช้ทุกเดือนเราต้องส่งถึงเมื่อไหร่? บางทีก็คิดว่าถ้าเรามีเงินก้อนมาเราก็ไม่อยากให้เขาใช้หรอก เราอยากให้อาชีพเขามากกว่า เพราะอาชีพเมื่อเราลงทุนเขาสามารถต่อยอดได้ ดีกว่าให้เงินไปเฉยๆใช้ไปวันๆก็หมด (ที่เล่ามาเราก็สงสารพี่สาวนะ แต่ก็นั้นแหล่ะ...) เพราะเมื่อเราลำบากเขาก็ช่วยเหลือและดีกับเรามาก)