มีคนจำนวนมากที่มองว่า หากเราดำเนินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เราคงจะมีทรัพย์เพียงน้อยนิดหรือไม่มีทรัพย์ไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ประสบเหตุเภทภัยต่างๆ
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่เกี่ยวกันเลย เพราะการที่คุณจะมีทรัพย์มากหรือน้อยไว้ใช้ในกรณีต่างๆนั้น สาเหตุสำคัญอยู่ที่ว่า ตัวคุณมีความขยันขันแข็งและฉลาดในการทำงานมากน้อยแค่ไหน
ถ้าคุณเป็นคนขยันขันแข็ง มีความฉลาดในกิจการงานที่ทำเป็นอย่างดี ทรัพย์สินเงินทองก็หลั่งไหลมาได้โดยง่าย มีเงินทองมากมายไว้ใช้ในกรณีต่างๆได้
แต่หากคุณเป็นคนมีความรู้น้อย ไม่ได้เป็นผู้บริหาร ไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นเพียงลูกจ้างทั่วไป การใช้เงินยิ่งต้องรัดกุมมากขึ้น เดินตามหลักความพอเพียงให้มากขึ้น อยากจะกินข้าวแต่ละมื้อ ก็คงต้องเป็นเมนูประหยัด อาจจะไม่เกิน 30-35 บาท เป็นต้น เพื่อให้มีเงินเหลือเก็บไว้ยามจำเป็น เมื่อเจอกับเหตุเภทภัยต่างๆ
แต่ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะร่ำรวย เพราะอาชีพการงานดี เป็นระดับผู้บริหาร หรืออยู่ในฐานะผู้มีรายได้น้อย เพราะเป็นเพียงลูกจ้างทั่วไป ก็ควรจะบริหารการเงินให้ได้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้วยกันทั้งนั้น เพราะสมมติว่าคนร่ำรวย มีเงินเป็น 100 ล้าน อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อ เช่น ซื้อบ้านใหญ่โตซัก 90 ล้าน ใช้จ่ายไปกับการกิน เที่ยว เล่น อีกซัก 10 ล้าน จนไม่เหลือเงินเก็บไว้ในยามฉุกเฉิน ลักษณะอย่างนี้หาตังค์ได้แค่ไหนก็ไม่พอใช้ เพราะไม่รู้บริหารการเงินตามหลักความพอเพียงนั่นเอง
แต่กับอีกคนนึงได้เงินเดือนประมาณ 12,000 ไม่ใช้จ่ายเงินไปกับการกิน เที่ยว เล่น สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่างๆ และรู้จักจับจ่ายใช้สอยแต่เฉพาะสิ่งที่จำเป็น รู้จักเก็บออมทรัพย์ ทำให้มีเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉินต่างๆ นั่นถือว่าเดินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจนมีหนทางที่ดีทางการเงิน
สรุปว่า ต้องแยกแยะให้ออกว่า การที่คุณจะมีทรัพย์สินมากหรือน้อย ปัจจัยหลัก คือ ความขยันและฉลาดในงานที่ทำ ส่วนปัจจัยสนับสนุนคือ การบริหารการเงินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง จนสามารถมีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ในกรณีต่างๆจนถึงยามฉุกเฉิน
ถ้าคุณมีครบทั้ง 2 ปัจจัย ยังไงก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินอย่างแน่นอน
บริหารเงินฟุ้งเฟ้อ หมุนตามโลก กับบริหารเงินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง อะไรทำให้มีทรัพย์ใช้จ่ายอย่างมั่นคงกว่า
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่เกี่ยวกันเลย เพราะการที่คุณจะมีทรัพย์มากหรือน้อยไว้ใช้ในกรณีต่างๆนั้น สาเหตุสำคัญอยู่ที่ว่า ตัวคุณมีความขยันขันแข็งและฉลาดในการทำงานมากน้อยแค่ไหน
ถ้าคุณเป็นคนขยันขันแข็ง มีความฉลาดในกิจการงานที่ทำเป็นอย่างดี ทรัพย์สินเงินทองก็หลั่งไหลมาได้โดยง่าย มีเงินทองมากมายไว้ใช้ในกรณีต่างๆได้
แต่หากคุณเป็นคนมีความรู้น้อย ไม่ได้เป็นผู้บริหาร ไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นเพียงลูกจ้างทั่วไป การใช้เงินยิ่งต้องรัดกุมมากขึ้น เดินตามหลักความพอเพียงให้มากขึ้น อยากจะกินข้าวแต่ละมื้อ ก็คงต้องเป็นเมนูประหยัด อาจจะไม่เกิน 30-35 บาท เป็นต้น เพื่อให้มีเงินเหลือเก็บไว้ยามจำเป็น เมื่อเจอกับเหตุเภทภัยต่างๆ
แต่ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะร่ำรวย เพราะอาชีพการงานดี เป็นระดับผู้บริหาร หรืออยู่ในฐานะผู้มีรายได้น้อย เพราะเป็นเพียงลูกจ้างทั่วไป ก็ควรจะบริหารการเงินให้ได้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้วยกันทั้งนั้น เพราะสมมติว่าคนร่ำรวย มีเงินเป็น 100 ล้าน อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อ เช่น ซื้อบ้านใหญ่โตซัก 90 ล้าน ใช้จ่ายไปกับการกิน เที่ยว เล่น อีกซัก 10 ล้าน จนไม่เหลือเงินเก็บไว้ในยามฉุกเฉิน ลักษณะอย่างนี้หาตังค์ได้แค่ไหนก็ไม่พอใช้ เพราะไม่รู้บริหารการเงินตามหลักความพอเพียงนั่นเอง
แต่กับอีกคนนึงได้เงินเดือนประมาณ 12,000 ไม่ใช้จ่ายเงินไปกับการกิน เที่ยว เล่น สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่างๆ และรู้จักจับจ่ายใช้สอยแต่เฉพาะสิ่งที่จำเป็น รู้จักเก็บออมทรัพย์ ทำให้มีเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉินต่างๆ นั่นถือว่าเดินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจนมีหนทางที่ดีทางการเงิน
สรุปว่า ต้องแยกแยะให้ออกว่า การที่คุณจะมีทรัพย์สินมากหรือน้อย ปัจจัยหลัก คือ ความขยันและฉลาดในงานที่ทำ ส่วนปัจจัยสนับสนุนคือ การบริหารการเงินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง จนสามารถมีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ในกรณีต่างๆจนถึงยามฉุกเฉิน
ถ้าคุณมีครบทั้ง 2 ปัจจัย ยังไงก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินอย่างแน่นอน