หุ้น SUPER ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นตำนานที่ไม่อาจจะลืมได้ หลังราคาหุ้นวิ่งทะลุฟ้าไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า ก่อนจะมาเป็นเทวดาตกสวรรค์ และตกจนลึกสุดใจ คือ ลงไปถึงนรก ซึ่งแม้จะเป็นนรก แต่ก็เป็นนรกที่หลายๆ คนอยากจะเสี่ยง
คือ แม้จะเสี่ยง แต่ก็ขอลองดู
ล่าสุดหลังราคาต่ำกว่าบาท วิ่งขึ้นทางเดียวทะลุ 1.50 บาท ก่อนจะโดนทุบร่วงติดฟลอร์ กลายเป็นประเด็นใหญ่ ที่ถูกกล่าวถึงในโลกออนไลน์ จนไม่รู้ว่า ของใครจริง ของใครปลอม เพราะท้ายที่สุดก็จะมีคนบอกว่า "ไม่เชื่อ" โดยไม่ได้ฟังเหตุผล หรือดูเหตุประกอบ ความไม่เชื่อนี่เอง ทำให้นักลงทุนหลายคนตกรถ และยอมขึ้นรถเมื่อราคาหุ้นมันแพงแล้ว ล่าสุด เป็นตัวอย่างได้เลย
ที่บอกว่า เป็นตัวอย่างได้ เพราะมีรายการวิทยุรายการหนึ่ง เริ่มกลับมาเชียร์ทั้งแต่ก่อนจะทะลุบาท และให้วางจุดคัทเอาไว้ที่ 1 บาท กรณีหุ้นไปต่อไม่ได้ แต่ทางขึ้นนั้นปล่อยว่าง แม้จะพักบ้าง แต่ราคาหุ้นก็ถือว่าวิ่งดี เล่นดี ก่อนจะมาโดนทุบร่วงติดฟลอร์ พร้อมๆ กับมึข่าวลือก่อนหน้าถึง "นักลงทุนรายใหญ่" คนหนึ่งที่ชื่อว่า "ประเดช กิตติอิสรานนท์" ที่ผ่านมาเคยเป็นอดีตผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ SUPER
คนนี้ได้กลายเป็นแพะมาหลายครั้ง หลังราคาหุ้น SUPER ร่วงลง เอาเป็นว่า ที่ผ่านมา คงไม่ต้องกล่าวถึงมากนัก เพราะว่ากันด้วยเรื่องปัจจุบันว่า "ขายหรือเปล่า" นี่ต่างหากที่ทุกคนอยากรู้ความจริง และเชื่อว่า พูดไปก็หาคนเชื่อลำบาก
ภาพรวมเชิงปัจจัยพื้นฐาน ไม่มีอะไรเลวร้าย มีแต่เรื่องดีๆ ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด รวมถึงแผนการตั้ง "กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure Fund : IFF) ซึ่งมีกำหนดที่จะยื่นไฟลิ่งได้เร็วๆ นี้ และไม่มีแผนที่จะเพิ่มทุนอีกด้วย เพราะบริษัทฯได้มีการวางแผนและบริหารเงินเป็นอย่างดี ทำให้มีเงินทุนมากพอสำหรับการนำไปลงทุนเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เรื่องนี้หลายท่านก็คงทราบแล้ว
ต่อมาคือ อดีตผู้ถือหุ้นรายใหญ่ "ประเดช กิตติอิสรานนท์" ที่เป็นอดีตไปแล้ว เพราะขายหุ้นออกจำนวน 10% ให้กับ "จอมทรัพย์ โลจายะ" ประธานคณะกรรมการ บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) ในราคาล่าสุดที่ประมาณ 1.20 บาท และเงินที่ใช้มาซื้อ ก็เป็นเงินที่ใช้สินเชื่อธนาคารพาณิชย์เบอร์หนึ่งใน 3 ของกลุ่ม มาซื้อ โดยวางหุ้นเป็นประกัน เพราะฉะนั้น การขายออกจึงไร้เหตุผล และยังต้องรายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกด้วย ประเด็นนี้ก็ตีตกไปได้เลย เพราะการขายล็อตใหญ่ ก็มีการแจ้งจำนวน ราคา ทำให้พวกเราก็รู้กันว่า ขายกันที่ราคาเท่าไหร่
ก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง มีข่าวลือมาจากโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเบอร์ใหญ่อันดับต้นๆ ของไทย กระจายในห้องไลน์หลายห้อง บอกว่าถ้าหุ้นขึ้นไปถึง 1.50 "ประเดช" จะเทขายอีกรอบ ทำให้คนที่ได้รับข่าวตกใจ และเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมากเมื่อราคาหุ้นวิ่งทะลุเป้า ข่าวนี้มีการชี้แจงว่า "ไม่เป็นความจริง" เพราะเขาได้ขายให้กับ "จอมทรัพย์" ไปแล้ว
ในทางกลับกัน วันที่เกิดเรื่อง คือเมื่อวันศุกร์ที่ผ่าน บรรดาลูกๆ ทั้งสองคน ของ "ประเดช" ออกมายืนยันว่า "คุณพ่อไม่ได้ขาย" และลูก 2 คนนี่แหละ ที่ไปรับหุ้นที่มีการขายถล่มลงมา ซึ่งหุ้นทั้งหมดของคุณประเดชมีจำนวน 2,999,043,728 หุ้น ขายออกไป 10% จำนวน 2,677,000,000 หุ้น คือ 24 เมษายน 61 จำนวน 380 ล้านหุ้นที่ราคา 1.15 บาท วันที่ 30 เมษายน 61 ที่จำนวน 680 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.15 บาท วันที่ 16 พฤษภาคม 61 จำนวน 507 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.20 และ 22 พฤษภาคม 61 จำนวน 1,110 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.20 บาท รวมๆ แล้วได้เงินมาทั้งหมด 3,159 ล้านบาท เป็นการขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ จากที่กู้เงินไปซื้อหุ้น "วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง" และนำไปใช้อย่างอื่น ซึ่งก็ยังมีธุรกิจอื่น ที่เขาเป็นเจ้าของ เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
วันเกิดเหตุ คือ 1 มิถุนายน 61 หุ้นถูกขายร่วงติดฟลอร์ พร้อมๆ กับ "คำลือ" เหมือนจะกลายเป็นจริง นักลงทุนตกใจ พากันขายหุ้นออกมาจำนวนมาก "นัยยะ" คือ เป็นการทำให้ข่าวลือที่ว่านั่นเป็นจริง ส่วนจะเป็นใคร ก็ต้องรอดูว่า "ก.ล.ต." จะว่าไง เพราะเป็นขบวนการ
อีกมุมหนึ่ง เมื่อราคาหุ้นร่วงแรง ปรากฎว่า ลูกชาย และลูกสาวของ "ประเดช กิตติอิสรานนท์" ออกมายืนยันว่า "พ่อไม่ได้ขายหุ้น" ก่อนจะย้ำว่า หุ้นเยอะขนาดนั้นไม่ใช่ของพ่อแน่นอน เพราะพ่อขายบิ๊กลอตให้คุณจอมทรัพย์ไปแล้ว 10% และที่สำคัญราคาที่พวกเขาซื้อกัน "กำธร กิตติอิสรานนท์" ซื้อไป 47 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.50 บาท และ นางสาวเจนจิรา กิตติอิสรานนท์" ซื้อไป 157 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.45 บาท รวมแล้ว 204 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 1.47 บาท
ถ้ารู้ว่า ราคาจะร่วงลงไปแรงขนาดนี้ มีหรือพวกเขาทั้งสองจะซื้อกันหรือ คือ ถ้ารู้ว่าจะลงขนาดนี้จะซื้อตอนแพงทำไม ต้องใช้ "ตรรกะ" ที่ถูกต้องกันด้วยนะครับ และที่สำคัญ ราคาที่ "จอมทรัพย์" ซื้อมา เฉลี่ยที่ประมาณ 1.20 ทุบร่วงขนาดนี้ กระทบแน่ๆ กับเงินและสินทรัพย์ที่วางค้ำประกันกับธนาคารพาณิชย์
นี่คือข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าว
คำถามคือ แล้วใครเป็นไอ้โม่ง ที่ซ่อนตัวอยู่ ที่ดันมาตลอดหลังปล่อยข่าวว่าจะมีการขายบิ๊กล๊อตอีกรอบช่วง 1.50 บาท
ที่ผ่านมา ก็ทราบกันดีว่า มีการ "ช็อตหุ้น SUPER" ซึ่งคนช็อต ถ้าหุ้นไม่ลง มีแต่ตายกับตายเช่นกัน เราจึงได้เห็นกระบวนการเชื่อมโยง ว่ามีการวางแผน และดันราคาทะลุ 1.50 ก่อนจะพากันเทกดลงมา คือ ขายฝั่งบิด "ล่อจนนักลงทุนตกใจ" ขายตาม
เชื่อหรือไม่ว่า "คนส่วนใหญ่" เชื่อตามข่าวลือ "ซื้อหุ้นด้วยความโลภ ขายหุ้นด้วยความกลัว" และเจ้าความกลัวนี่เอง ที่ทำให้ราคาหุ้น SUPER ร่วงไม่เป็นท่า เพราะอดีตเคยมีมาแล้ว จึงทำให้ความกลัวที่ว่า "มันรุนแรงขึ้น" และหลายคนปลดล็อกกำไร แต่ถ้าบางรายติดตามตลาดตลอด ก็คงจะหนีกันได้ เพราะมีรายการวิทยุรายหนึ่งบอกว่า ถ้าหลุด 1.40 ให้ขายให้หมด
สุดท้าย ที่รอกันก็คือ "กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure Fund : IFF) ที่เลือนมาจากปีที่แล้ว เพราะทาง "สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์" หรือ ก.ล.ต. ได้มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ ตรงนี้ ก็เป็นเรื่องนโยบาย ยังไงก็ต้องทำ ล่าสุดทราบว่า ความคืบหน้า กระบวนการต่างๆ นั้นแล้วเสร็จไปแล้ว แค่รอยื่นไฟลิ่งเท่านั้นเอง
ทั้งหมดนี้ เป็นการชี้แจง พร้อมหลักฐาน แล้วแต่ว่า ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ แต่ถ้าหากว่า อยากรู้ว่ามีการโกหกหรือเปล่า ก็ลองอ่านเหตุผลที่ว่า แล้วตอบคำถามว่า ถ้าเป็นคุณ จะทำแบบนี้กันมั๊ย ทำแล้วได้อะไร เพราะการลงทุนกับ SUPER ต้องมองกันยาวๆ และเชื่อว่า ระยะยาวราคาหุ้นก็จะเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน และถ้าสามารถวิเคราะห์ได้จากงบการเงินของบริษัท และรายละเอียดข้อมูลธุกิจที่เกี่ยวข้อง ก็คงจะพอทราบกันว่า การขายออกครั้งนี้ มันก็แค่ "Money Game" ฝั่งช็อตชนะ ถือว่า ทำ "สำเร็จ" ความผิดเกิดขึ้นแล้ว
ถ้าจะตรวจสอบกันจริงๆ ทำได้ไม่ยาก แค่เช็ค transaction การซื้อขายแต่ละโบรกที่ต้องสงสัย ก็พอจะหาคนผิดได้ ขึ้นอยู่กับว่า จะทำหรือไม่ เพราะ "ตรรกะ" ที่ผ่านมาว่า หุ้นขึ้นต้องไล่หาคนผิด ทั้งที่หุ้นขึ้น คนเล่นหุ้น "มีความสุขกันถ้วนหน้า" ในทางกลับกันหุ้นลง กลับเฉยๆ ไม่สนใจ ถ้าแบบนี้ ก็ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ให้นักลงทุนผจญชะตากรรมกันเอาเอง
จบข่าว
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=2877
SUPER แก้ตัว หรือของจริง? โดย มิตร กัลยาณมิตร เว็บ Share2Trade
คือ แม้จะเสี่ยง แต่ก็ขอลองดู
ล่าสุดหลังราคาต่ำกว่าบาท วิ่งขึ้นทางเดียวทะลุ 1.50 บาท ก่อนจะโดนทุบร่วงติดฟลอร์ กลายเป็นประเด็นใหญ่ ที่ถูกกล่าวถึงในโลกออนไลน์ จนไม่รู้ว่า ของใครจริง ของใครปลอม เพราะท้ายที่สุดก็จะมีคนบอกว่า "ไม่เชื่อ" โดยไม่ได้ฟังเหตุผล หรือดูเหตุประกอบ ความไม่เชื่อนี่เอง ทำให้นักลงทุนหลายคนตกรถ และยอมขึ้นรถเมื่อราคาหุ้นมันแพงแล้ว ล่าสุด เป็นตัวอย่างได้เลย
ที่บอกว่า เป็นตัวอย่างได้ เพราะมีรายการวิทยุรายการหนึ่ง เริ่มกลับมาเชียร์ทั้งแต่ก่อนจะทะลุบาท และให้วางจุดคัทเอาไว้ที่ 1 บาท กรณีหุ้นไปต่อไม่ได้ แต่ทางขึ้นนั้นปล่อยว่าง แม้จะพักบ้าง แต่ราคาหุ้นก็ถือว่าวิ่งดี เล่นดี ก่อนจะมาโดนทุบร่วงติดฟลอร์ พร้อมๆ กับมึข่าวลือก่อนหน้าถึง "นักลงทุนรายใหญ่" คนหนึ่งที่ชื่อว่า "ประเดช กิตติอิสรานนท์" ที่ผ่านมาเคยเป็นอดีตผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ SUPER
คนนี้ได้กลายเป็นแพะมาหลายครั้ง หลังราคาหุ้น SUPER ร่วงลง เอาเป็นว่า ที่ผ่านมา คงไม่ต้องกล่าวถึงมากนัก เพราะว่ากันด้วยเรื่องปัจจุบันว่า "ขายหรือเปล่า" นี่ต่างหากที่ทุกคนอยากรู้ความจริง และเชื่อว่า พูดไปก็หาคนเชื่อลำบาก
ภาพรวมเชิงปัจจัยพื้นฐาน ไม่มีอะไรเลวร้าย มีแต่เรื่องดีๆ ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด รวมถึงแผนการตั้ง "กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure Fund : IFF) ซึ่งมีกำหนดที่จะยื่นไฟลิ่งได้เร็วๆ นี้ และไม่มีแผนที่จะเพิ่มทุนอีกด้วย เพราะบริษัทฯได้มีการวางแผนและบริหารเงินเป็นอย่างดี ทำให้มีเงินทุนมากพอสำหรับการนำไปลงทุนเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เรื่องนี้หลายท่านก็คงทราบแล้ว
ต่อมาคือ อดีตผู้ถือหุ้นรายใหญ่ "ประเดช กิตติอิสรานนท์" ที่เป็นอดีตไปแล้ว เพราะขายหุ้นออกจำนวน 10% ให้กับ "จอมทรัพย์ โลจายะ" ประธานคณะกรรมการ บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) ในราคาล่าสุดที่ประมาณ 1.20 บาท และเงินที่ใช้มาซื้อ ก็เป็นเงินที่ใช้สินเชื่อธนาคารพาณิชย์เบอร์หนึ่งใน 3 ของกลุ่ม มาซื้อ โดยวางหุ้นเป็นประกัน เพราะฉะนั้น การขายออกจึงไร้เหตุผล และยังต้องรายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกด้วย ประเด็นนี้ก็ตีตกไปได้เลย เพราะการขายล็อตใหญ่ ก็มีการแจ้งจำนวน ราคา ทำให้พวกเราก็รู้กันว่า ขายกันที่ราคาเท่าไหร่
ก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง มีข่าวลือมาจากโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเบอร์ใหญ่อันดับต้นๆ ของไทย กระจายในห้องไลน์หลายห้อง บอกว่าถ้าหุ้นขึ้นไปถึง 1.50 "ประเดช" จะเทขายอีกรอบ ทำให้คนที่ได้รับข่าวตกใจ และเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมากเมื่อราคาหุ้นวิ่งทะลุเป้า ข่าวนี้มีการชี้แจงว่า "ไม่เป็นความจริง" เพราะเขาได้ขายให้กับ "จอมทรัพย์" ไปแล้ว
ในทางกลับกัน วันที่เกิดเรื่อง คือเมื่อวันศุกร์ที่ผ่าน บรรดาลูกๆ ทั้งสองคน ของ "ประเดช" ออกมายืนยันว่า "คุณพ่อไม่ได้ขาย" และลูก 2 คนนี่แหละ ที่ไปรับหุ้นที่มีการขายถล่มลงมา ซึ่งหุ้นทั้งหมดของคุณประเดชมีจำนวน 2,999,043,728 หุ้น ขายออกไป 10% จำนวน 2,677,000,000 หุ้น คือ 24 เมษายน 61 จำนวน 380 ล้านหุ้นที่ราคา 1.15 บาท วันที่ 30 เมษายน 61 ที่จำนวน 680 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.15 บาท วันที่ 16 พฤษภาคม 61 จำนวน 507 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.20 และ 22 พฤษภาคม 61 จำนวน 1,110 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.20 บาท รวมๆ แล้วได้เงินมาทั้งหมด 3,159 ล้านบาท เป็นการขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ จากที่กู้เงินไปซื้อหุ้น "วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง" และนำไปใช้อย่างอื่น ซึ่งก็ยังมีธุรกิจอื่น ที่เขาเป็นเจ้าของ เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
วันเกิดเหตุ คือ 1 มิถุนายน 61 หุ้นถูกขายร่วงติดฟลอร์ พร้อมๆ กับ "คำลือ" เหมือนจะกลายเป็นจริง นักลงทุนตกใจ พากันขายหุ้นออกมาจำนวนมาก "นัยยะ" คือ เป็นการทำให้ข่าวลือที่ว่านั่นเป็นจริง ส่วนจะเป็นใคร ก็ต้องรอดูว่า "ก.ล.ต." จะว่าไง เพราะเป็นขบวนการ
อีกมุมหนึ่ง เมื่อราคาหุ้นร่วงแรง ปรากฎว่า ลูกชาย และลูกสาวของ "ประเดช กิตติอิสรานนท์" ออกมายืนยันว่า "พ่อไม่ได้ขายหุ้น" ก่อนจะย้ำว่า หุ้นเยอะขนาดนั้นไม่ใช่ของพ่อแน่นอน เพราะพ่อขายบิ๊กลอตให้คุณจอมทรัพย์ไปแล้ว 10% และที่สำคัญราคาที่พวกเขาซื้อกัน "กำธร กิตติอิสรานนท์" ซื้อไป 47 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.50 บาท และ นางสาวเจนจิรา กิตติอิสรานนท์" ซื้อไป 157 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.45 บาท รวมแล้ว 204 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 1.47 บาท
ถ้ารู้ว่า ราคาจะร่วงลงไปแรงขนาดนี้ มีหรือพวกเขาทั้งสองจะซื้อกันหรือ คือ ถ้ารู้ว่าจะลงขนาดนี้จะซื้อตอนแพงทำไม ต้องใช้ "ตรรกะ" ที่ถูกต้องกันด้วยนะครับ และที่สำคัญ ราคาที่ "จอมทรัพย์" ซื้อมา เฉลี่ยที่ประมาณ 1.20 ทุบร่วงขนาดนี้ กระทบแน่ๆ กับเงินและสินทรัพย์ที่วางค้ำประกันกับธนาคารพาณิชย์
นี่คือข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าว
คำถามคือ แล้วใครเป็นไอ้โม่ง ที่ซ่อนตัวอยู่ ที่ดันมาตลอดหลังปล่อยข่าวว่าจะมีการขายบิ๊กล๊อตอีกรอบช่วง 1.50 บาท
ที่ผ่านมา ก็ทราบกันดีว่า มีการ "ช็อตหุ้น SUPER" ซึ่งคนช็อต ถ้าหุ้นไม่ลง มีแต่ตายกับตายเช่นกัน เราจึงได้เห็นกระบวนการเชื่อมโยง ว่ามีการวางแผน และดันราคาทะลุ 1.50 ก่อนจะพากันเทกดลงมา คือ ขายฝั่งบิด "ล่อจนนักลงทุนตกใจ" ขายตาม
เชื่อหรือไม่ว่า "คนส่วนใหญ่" เชื่อตามข่าวลือ "ซื้อหุ้นด้วยความโลภ ขายหุ้นด้วยความกลัว" และเจ้าความกลัวนี่เอง ที่ทำให้ราคาหุ้น SUPER ร่วงไม่เป็นท่า เพราะอดีตเคยมีมาแล้ว จึงทำให้ความกลัวที่ว่า "มันรุนแรงขึ้น" และหลายคนปลดล็อกกำไร แต่ถ้าบางรายติดตามตลาดตลอด ก็คงจะหนีกันได้ เพราะมีรายการวิทยุรายหนึ่งบอกว่า ถ้าหลุด 1.40 ให้ขายให้หมด
สุดท้าย ที่รอกันก็คือ "กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure Fund : IFF) ที่เลือนมาจากปีที่แล้ว เพราะทาง "สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์" หรือ ก.ล.ต. ได้มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ ตรงนี้ ก็เป็นเรื่องนโยบาย ยังไงก็ต้องทำ ล่าสุดทราบว่า ความคืบหน้า กระบวนการต่างๆ นั้นแล้วเสร็จไปแล้ว แค่รอยื่นไฟลิ่งเท่านั้นเอง
ทั้งหมดนี้ เป็นการชี้แจง พร้อมหลักฐาน แล้วแต่ว่า ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ แต่ถ้าหากว่า อยากรู้ว่ามีการโกหกหรือเปล่า ก็ลองอ่านเหตุผลที่ว่า แล้วตอบคำถามว่า ถ้าเป็นคุณ จะทำแบบนี้กันมั๊ย ทำแล้วได้อะไร เพราะการลงทุนกับ SUPER ต้องมองกันยาวๆ และเชื่อว่า ระยะยาวราคาหุ้นก็จะเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน และถ้าสามารถวิเคราะห์ได้จากงบการเงินของบริษัท และรายละเอียดข้อมูลธุกิจที่เกี่ยวข้อง ก็คงจะพอทราบกันว่า การขายออกครั้งนี้ มันก็แค่ "Money Game" ฝั่งช็อตชนะ ถือว่า ทำ "สำเร็จ" ความผิดเกิดขึ้นแล้ว
ถ้าจะตรวจสอบกันจริงๆ ทำได้ไม่ยาก แค่เช็ค transaction การซื้อขายแต่ละโบรกที่ต้องสงสัย ก็พอจะหาคนผิดได้ ขึ้นอยู่กับว่า จะทำหรือไม่ เพราะ "ตรรกะ" ที่ผ่านมาว่า หุ้นขึ้นต้องไล่หาคนผิด ทั้งที่หุ้นขึ้น คนเล่นหุ้น "มีความสุขกันถ้วนหน้า" ในทางกลับกันหุ้นลง กลับเฉยๆ ไม่สนใจ ถ้าแบบนี้ ก็ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ให้นักลงทุนผจญชะตากรรมกันเอาเอง
จบข่าว
ขอบคุณบทความจาก www.facebook.com/Share2Trade/
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=2877