สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
อยากเล่าถึงความแตกต่างของวิธีการเลี้ยงลูก ใน 2 กรณีที่เราได้พบเจอมา
กรณีแรก เรามีน้องชายที่อายุห่างกัน 10 ปี และได้ส่งเสียเค้าเรียน ก็เลยทำตัวคล้ายๆเป็นพ่อเป็นแม่ของเค้า
คาดหวังอยากให้เค้าได้เรียนในคณะที่คิดว่าน่าจะจบมามีงานทำ ตัวน้องเองก็ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร ก็เลยเลือกคณะตามที่เราแนะนำ
ปรากฎว่าเรียนไปได้เทอมเดียว ก็โดนรีไทร์ สงสารน้องมากๆ เค้าต้องเคว้งคว้างอยู่บ้าน ครึ่งปี พร้อมกับความรู้สึกแย่ๆที่ญาติๆคอยมาถามเรื่องที่จะเอาไงกับชีวิต หลังจากนั้น ก็ปล่อยให้เค้าเลือกทางเดินเอง ไม่ไปวุ่นวาย ไม่คาดหวังอะไร ช่วยในสิ่งที่น้องร้องขอมาเท่าที่ช่วยได้ ชีวิตมันก็ดำเนินมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ แม้น้องจะมีงานทำที่เงินเดิอนไม่ได้เยอะอะไร แต่เราก็เห็นว่าเค้ามีความสุขกับสิ่งที่เค้าเลือกและได้ลองผิดลองถูกเอง และมีความโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จากเรื่องนี้ทำให้คิดได้ว่า ขอเพียงให้ทำอะไรก็ตามด้วยความตั้งใจ และยิ่งเป็นสิ่งที่เค้าเลือกเองแล้ว เค้าก็ถือว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เลือกเอง เรียนรู้ที่จะสำเร็จและล้มเหลวด้วยการตัดสินใจของตัวเอง
กรณีที่ 2
เป็นน้องที่รู้จักกัน โตมาด้วยการเลี้ยงดูที่พ่อแม่จัดการชีวิตให้ทุกอย่าง เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลย พ่อแม่คิดให้หมด
ตัวน้องเองก็มีความอึดอัดอยากแหกกฎบ้าง แต่พอแหกกฏไปแล้วทำไม่สำเร็จ พ่อแม่ก็จะคอยซ้ำเติม "นี่ไง ไม่เชื่อพ่อแม่ แล้วเป็นไงดูสิ "
จนน้องเค้าก็เริ่มกลัว ไม่กล้าที่จะล้มเหลว ก็เลยเลื่อกที่จะเชื่อฟังพ่อแม่ เพราะถ้าล้มเหลวในสิ่งที่พ่อแม่เลือกให้แล้ว พ่อแม่จะไม่ว่าอะไร เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนแต่งงานมีลูก 1 คน ก็ยังต้องให้พ่อแม่ช่วยตัดสินใจในทุกเรื่อง เพราะไม่กล้าคิดเอง หรืออาจจะคิดไม่เป็นไปแล้ว เพราะไม่เคยชิน จะทำอะไรต้องให้พ่อแม่ตัดสินให้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ทำงานแล้วไม่มีความสุข ก็ไม่กล้าลาออก ถามพ่อแม่ ก็บอกว่าอย่าลาออกให้อดทน น้องเค้าก็นั่งอมทุกข์ จะไปทำอะไรต่อดีก็คิดไม่ออก เพราะชีวิต พ่อแม่วางแผนให้มาโดยตลอด เป็นชีวิตที่น่าสงสาร เพราะอายุ 30 กว่าแล้ว ดำเนินชีวิตมาด้วยการเดินตามเส้นที่คนอื่นขีดให้ การมีลูก ก็มีเพราะสามีอยากให้มี น้องเค้าก็ไม่รู้ว่า มีลูกแล้วจะลำบากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายจะเยอะขึ้น จะลาออกจากงานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว เพราะมีภาระที่ต้องช่วยกันเลี้ยงลูก และยิ่งตอนนี้ดูเหมือนพ่อแม่จะเลิกยุ่งกับชีวิตลูกละ เพราะตัวพ่อแม่เองก็แก่มากแล้ว เพิ่งจะมาคิดปล่อยลูกเอาตอนนี้ ลูกก็แทบจะเดินเองไม่เป็นแล้ว
เล่าสู่กันฟังนะคะ
กรณีแรก เรามีน้องชายที่อายุห่างกัน 10 ปี และได้ส่งเสียเค้าเรียน ก็เลยทำตัวคล้ายๆเป็นพ่อเป็นแม่ของเค้า
คาดหวังอยากให้เค้าได้เรียนในคณะที่คิดว่าน่าจะจบมามีงานทำ ตัวน้องเองก็ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร ก็เลยเลือกคณะตามที่เราแนะนำ
ปรากฎว่าเรียนไปได้เทอมเดียว ก็โดนรีไทร์ สงสารน้องมากๆ เค้าต้องเคว้งคว้างอยู่บ้าน ครึ่งปี พร้อมกับความรู้สึกแย่ๆที่ญาติๆคอยมาถามเรื่องที่จะเอาไงกับชีวิต หลังจากนั้น ก็ปล่อยให้เค้าเลือกทางเดินเอง ไม่ไปวุ่นวาย ไม่คาดหวังอะไร ช่วยในสิ่งที่น้องร้องขอมาเท่าที่ช่วยได้ ชีวิตมันก็ดำเนินมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ แม้น้องจะมีงานทำที่เงินเดิอนไม่ได้เยอะอะไร แต่เราก็เห็นว่าเค้ามีความสุขกับสิ่งที่เค้าเลือกและได้ลองผิดลองถูกเอง และมีความโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จากเรื่องนี้ทำให้คิดได้ว่า ขอเพียงให้ทำอะไรก็ตามด้วยความตั้งใจ และยิ่งเป็นสิ่งที่เค้าเลือกเองแล้ว เค้าก็ถือว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เลือกเอง เรียนรู้ที่จะสำเร็จและล้มเหลวด้วยการตัดสินใจของตัวเอง
กรณีที่ 2
เป็นน้องที่รู้จักกัน โตมาด้วยการเลี้ยงดูที่พ่อแม่จัดการชีวิตให้ทุกอย่าง เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลย พ่อแม่คิดให้หมด
ตัวน้องเองก็มีความอึดอัดอยากแหกกฎบ้าง แต่พอแหกกฏไปแล้วทำไม่สำเร็จ พ่อแม่ก็จะคอยซ้ำเติม "นี่ไง ไม่เชื่อพ่อแม่ แล้วเป็นไงดูสิ "
จนน้องเค้าก็เริ่มกลัว ไม่กล้าที่จะล้มเหลว ก็เลยเลื่อกที่จะเชื่อฟังพ่อแม่ เพราะถ้าล้มเหลวในสิ่งที่พ่อแม่เลือกให้แล้ว พ่อแม่จะไม่ว่าอะไร เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนแต่งงานมีลูก 1 คน ก็ยังต้องให้พ่อแม่ช่วยตัดสินใจในทุกเรื่อง เพราะไม่กล้าคิดเอง หรืออาจจะคิดไม่เป็นไปแล้ว เพราะไม่เคยชิน จะทำอะไรต้องให้พ่อแม่ตัดสินให้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ทำงานแล้วไม่มีความสุข ก็ไม่กล้าลาออก ถามพ่อแม่ ก็บอกว่าอย่าลาออกให้อดทน น้องเค้าก็นั่งอมทุกข์ จะไปทำอะไรต่อดีก็คิดไม่ออก เพราะชีวิต พ่อแม่วางแผนให้มาโดยตลอด เป็นชีวิตที่น่าสงสาร เพราะอายุ 30 กว่าแล้ว ดำเนินชีวิตมาด้วยการเดินตามเส้นที่คนอื่นขีดให้ การมีลูก ก็มีเพราะสามีอยากให้มี น้องเค้าก็ไม่รู้ว่า มีลูกแล้วจะลำบากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายจะเยอะขึ้น จะลาออกจากงานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว เพราะมีภาระที่ต้องช่วยกันเลี้ยงลูก และยิ่งตอนนี้ดูเหมือนพ่อแม่จะเลิกยุ่งกับชีวิตลูกละ เพราะตัวพ่อแม่เองก็แก่มากแล้ว เพิ่งจะมาคิดปล่อยลูกเอาตอนนี้ ลูกก็แทบจะเดินเองไม่เป็นแล้ว
เล่าสู่กันฟังนะคะ
ความคิดเห็นที่ 7
พ่อแม่เราไม่ได้เรียนเก่งจบสูงนะ เค้าจบป.4
แต่ก็คล้ายๆกับเธอ คือชอบกดดัน ญาติก็ชอบทำเหมือนเราเก่งมากมาย เป็นพระเจ้า เป็น the best ปากบอกชื่นชม แต่ตาจ้องเขม็งรอวันเราพลาดจะได้ซ้ำเติม
เราแค่บังเอิญสอบได้ที่1ทุกปีตอนประถม(จริงๆไม่ได้เก่งอะไรแค่เพื่อนเรียนไม่เก่งเท่านั้นเอง)
ตอนม.ต้นเลยไปสอบเข้าร.ร.ขึ้นชื่อของอำเภอ ห้องพิเศษ ก็ฟลุ๊กติด(อันดับท้ายๆ)
การเรียนถือว่าปานกลางสำหรับเราเลยอ่ะ คิดว่าตัวเองเกเร เกรดก็ยังดีอยู่ อยู่ที่3.7-3.9 (สนิทกับครู)
เราเลยหลงระเริงว่า เออเราเก่งนะ ไม่อ่านหนังสือเกรดยังเท่านี้เลย มั่นใจในความฉลาดของตัวเองมาก เลยตั้งใจอ่านหนังสือวิทย์(เฉี่อยๆหน่อย) เลยสอบโอเน็ตวิทย์ได้เท่าคนที่ได้ที่1ของร.ร. (80คะแนน หลังๆเพิ่งรู้ว่ามันเบๆ) พ่อกับแม่เอาไปโพทะนาสามบ้านแปดบ้าน
มันไม่ได้หยุดแค่นั้น เค้าให้เราไปสอบเข้าโดรงเรียนดังของอีกจังหวัด โอเคไปสอบ
ผลออกมาว่าไม่ติด อีป้าทั้งหลายมาเยี่ยมถึงบ้าน บอกหลานหัวดีทำไมไม่ติด พ่อกับแม่โทรมาถามว่าทำไมไม่ติด อายขายขี้หน้า
ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่ติดก็ไม่ติดสิวะ
แต่ผ่านไปสามวัน เค้าเรียกเราไปเป็นตัวสำรอง แต่เราก็เฟลจากพวกป้าๆ
หลังจากนั้นนรกก็เริ่มขึ้น
ในห้องมีแค่คนเรียนเก่ง คัดมาเน้นๆ
เริ่มเครียด เริ่มรู้ตัวว่าที่เรียนมามันพื้นฐานเกินไป และเรายังอ่อนในคณิตอังกฤษกับเคมีมาก พวกตารางธาตุ
คะแนนสอบย่อยคืออะไรที่หดหู่มาก ไม่อยากได้ยิน เพื่อนได้18-20 เราหลุดไป13งี้
เกรดก็ออกมาแย่มากกกกก เหลือ3.01 ไม่เคยเจออะไรแบบนี้
ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งเหงายิ่งหว้าเหว่ คิดมาก
จากวิชาที่ชอบ ก็เริ่มเกลียด
เคยอยากเป็นหมอ แต่เจอครูที่สอนถามว่า เรียนเกรดได้แค่นี้จะเรียนหมอไหวหรอ อ้ะไม่สิ จะสอบติดหรอ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับอะไรอีก เกลียดตัวเอง เกลียดครู
จบ ความฝัน จบ
ไม่อยากเป็นอะไร
อยากหายไปจากโลกนี้ อยากตายอยากไปให้พ้นๆ
ผ่านนานไปกี่เทอมๆเกรดก็ไม่ดีขึ้น วิชานี้เกรดดี อ้าวเคมีเกรดแย่ ฉุดให้อยู่แค่3.00
ไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากไปเจอคำถามว่า เกรดได้เท่าไหร่ จบแล้วไปเรียนที่ไหน
จนตอนนี้ ยังชอบวิทย์อยู่ ฟิสิกส์เคมีชีวะดาราศาสตร์ แต่ไม่อยากเรียน ไม่สนุกไปกับมันเลย
แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าเรามันขี้มดแค่ไหน รู้ว่ามีคนเก่งกว่า คนที่พยายามกว่า เริ่มทำมาก่อนเรา
ตอนนี้ได้แค่วิ่งตามเพื่อนๆให้เร็วที่สุด ก่อนจะหลุดขอบไปจริงๆ
แต่ก็คล้ายๆกับเธอ คือชอบกดดัน ญาติก็ชอบทำเหมือนเราเก่งมากมาย เป็นพระเจ้า เป็น the best ปากบอกชื่นชม แต่ตาจ้องเขม็งรอวันเราพลาดจะได้ซ้ำเติม
เราแค่บังเอิญสอบได้ที่1ทุกปีตอนประถม(จริงๆไม่ได้เก่งอะไรแค่เพื่อนเรียนไม่เก่งเท่านั้นเอง)
ตอนม.ต้นเลยไปสอบเข้าร.ร.ขึ้นชื่อของอำเภอ ห้องพิเศษ ก็ฟลุ๊กติด(อันดับท้ายๆ)
การเรียนถือว่าปานกลางสำหรับเราเลยอ่ะ คิดว่าตัวเองเกเร เกรดก็ยังดีอยู่ อยู่ที่3.7-3.9 (สนิทกับครู)
เราเลยหลงระเริงว่า เออเราเก่งนะ ไม่อ่านหนังสือเกรดยังเท่านี้เลย มั่นใจในความฉลาดของตัวเองมาก เลยตั้งใจอ่านหนังสือวิทย์(เฉี่อยๆหน่อย) เลยสอบโอเน็ตวิทย์ได้เท่าคนที่ได้ที่1ของร.ร. (80คะแนน หลังๆเพิ่งรู้ว่ามันเบๆ) พ่อกับแม่เอาไปโพทะนาสามบ้านแปดบ้าน
มันไม่ได้หยุดแค่นั้น เค้าให้เราไปสอบเข้าโดรงเรียนดังของอีกจังหวัด โอเคไปสอบ
ผลออกมาว่าไม่ติด อีป้าทั้งหลายมาเยี่ยมถึงบ้าน บอกหลานหัวดีทำไมไม่ติด พ่อกับแม่โทรมาถามว่าทำไมไม่ติด อายขายขี้หน้า
ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่ติดก็ไม่ติดสิวะ
แต่ผ่านไปสามวัน เค้าเรียกเราไปเป็นตัวสำรอง แต่เราก็เฟลจากพวกป้าๆ
หลังจากนั้นนรกก็เริ่มขึ้น
ในห้องมีแค่คนเรียนเก่ง คัดมาเน้นๆ
เริ่มเครียด เริ่มรู้ตัวว่าที่เรียนมามันพื้นฐานเกินไป และเรายังอ่อนในคณิตอังกฤษกับเคมีมาก พวกตารางธาตุ
คะแนนสอบย่อยคืออะไรที่หดหู่มาก ไม่อยากได้ยิน เพื่อนได้18-20 เราหลุดไป13งี้
เกรดก็ออกมาแย่มากกกกก เหลือ3.01 ไม่เคยเจออะไรแบบนี้
ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งเหงายิ่งหว้าเหว่ คิดมาก
จากวิชาที่ชอบ ก็เริ่มเกลียด
เคยอยากเป็นหมอ แต่เจอครูที่สอนถามว่า เรียนเกรดได้แค่นี้จะเรียนหมอไหวหรอ อ้ะไม่สิ จะสอบติดหรอ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับอะไรอีก เกลียดตัวเอง เกลียดครู
จบ ความฝัน จบ
ไม่อยากเป็นอะไร
อยากหายไปจากโลกนี้ อยากตายอยากไปให้พ้นๆ
ผ่านนานไปกี่เทอมๆเกรดก็ไม่ดีขึ้น วิชานี้เกรดดี อ้าวเคมีเกรดแย่ ฉุดให้อยู่แค่3.00
ไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากไปเจอคำถามว่า เกรดได้เท่าไหร่ จบแล้วไปเรียนที่ไหน
จนตอนนี้ ยังชอบวิทย์อยู่ ฟิสิกส์เคมีชีวะดาราศาสตร์ แต่ไม่อยากเรียน ไม่สนุกไปกับมันเลย
แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าเรามันขี้มดแค่ไหน รู้ว่ามีคนเก่งกว่า คนที่พยายามกว่า เริ่มทำมาก่อนเรา
ตอนนี้ได้แค่วิ่งตามเพื่อนๆให้เร็วที่สุด ก่อนจะหลุดขอบไปจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
เมื่อพ่อแม่ผมอยู่สูงเกินไป?
.
.
.
พ่อของผมท่านเป็นคนเก่งมาก ในความหมายที่ว่า"เก่ง" นี่คือเก่งจริงๆนะครับ ท่านเป็นคนที่เรียนรู้ไว้ ความจำดีเป็นเลิศ คิดเร็วทำเร็ว แถมยังเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงใจอันมากล้น ตอนท่านเรียนอยู่โรงเรียนประถม-มัธยมศึกษา ผลการเรียนที่น้อยที่สุดที่เคยได้คือ ที่ 2 ของห้อง จากนร.40 กว่าคน เป็นคนที่ขยันพากเพียรมาก จากลูกชาวนาต่างจังหวัดจนๆ ที่หาเลี้ยงชีพไปวันๆ ท่านสามารถพาตัวเองขึ้นมาถึงจุดที่สบายและมีความสุขที่สุดได้ หลังจากจบปริญญาเอกที่มหาลัยมหิดลที่กรุงเทพในวัยย่าง 35 ท่านก็ได้กับแม่ของผม ในวัย 30 ที่ดีกรีการเรียนก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย ผลการเรียนของท่านต่ำสุดคือที่4 ของห้องตอนมัธยมศึกษา ทั้ง 2 มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเข้าหากัน อาจจะด้วยชาติกำเนิด ชะตากรรมที่ปากกัดตีนถีบคล้ายๆกัน ไม่ว่าด้วยเหตุผลยังไงก็ตาม พวกเขาเลือก "แต่งงานกัน" ในท้ายที่สุด
.
.
.
คู่รักกิ่งท้องใบหยก เป็นเลิศทั้งสติปัญญา สมองดีเลิศ หน้าที่การงานที่มั่นคง พวกเขามีครบทั้งหมด ด้วยความสมบูรณ์แบบอันสูงส่งนี้ เหล่าบรรดามิตรสหาย ญาติผู้ใหญ่เลยคาดหวังถึง "ผลผลิตที่ดี" ที่จะเกิดขึ้นในอีก 9 เดือนข้างหน้านั่นคือ
"ผม" ครับ? ผมนี้แหละ สเปิร์มที่รอดมาได้!
ผมเป็นเด็กหัวไวและมีแววฉลาดมาตั้งแต่เกิด [อวยระดับ10] การเลี้ยงดูในครอบครัวผม เป็นแบบ "ดูแลตัวเอง" ทั้งพ่อและแม่จะฝึกผมให้ยืนอยู่บนลำแข็งตัวเอง ไม่ขีดเส้นกำลังทางเดินชีวิต ปล่อยให้เรียนรู้ และลองทำด้วยตัวเอง หลายๆครอบครัวอาจเจอปัญหาลูกติดพ่อ ลูกติดแม่ ไม่ยอมเข้าโรงเรียนอนุบาลเป็นต้น กลับกันพ่อแม่ผมท่านปล่อยลงหน้าโรงเรียน บอกห้ามดื้อห้ามซน ตอนเย็นมารับ ไม่รู้ทำไม แต่ผมไม่ร้อง งอแงมีปัญหาเลย สักนิดเดียว(ดีจริงๆ🤗🤗)
ขึ้นชั้นประถมมา ผลการเรียนอยู่ในระดับที่ 1-5 ของห้อง อาจจะไม่เท่าของพ่อหรือแม่ แต่ได้ขนาดนี้มันต้องมีของอยู่แหละหน่าาาา ฉะนั้นมาตราฐานที่ว่าสูงแล้ว สำหรับที่นี่มันต้องสูงไปอีกขั้น และตอนป.4 ผมก็ได้ที่ 1 [ดีใจสุดไปเลย น้าพาไปเลี้ยงกินเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่ฮ่องกง สนุกสมหวังสุดๆ ชีวิตแฮปปี้]
แล้วปัญหาล่ะ?
ทุกอย่างก็ดูราบรื่นดีนี่?
ใช่ครับทุกอย่างมันดำเนินมาด้วยดี จนกระทั่งผมขึ้นป.5 การเริ่มเข้าสังคมในกลุ่มเพื่อนเป็นสิ่งที่พ่อแม่ผมไม่ค่อยสันทัด ประมาณว่าชีวิตตอนเรียน ก็มีแต่เรียนกับเรียน มักปลีกตัวอยู่คนเดียว ไม่สุงสิงกับใคร ความเป็นวัยรุ่นชายในตัวผมมันลุกโชน ด้วยฮอร์โมนที่พุ่งพล่านหรือที่เรียกกันง่ายๆว่า [เห่อ
สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือ "วันรวมญาติ" วันที่เหล่าผปค.สามารถอวดอ้างสรรพของลูกตนได้มากที่สุดในรอบปี โดยเปรียบกับ "ผม"เป็นเหมือนพระเจ้าผู้แตะต้องไม่ได้ ผมไม่ได้เกลียดหรือรู้สึกมากเท่าไหร่กับสิงที่พวกเขาพูดถึงผมหรือ พ่อแม่ผม สิ่งที่ผมไม่ชอบและเกลียดวิธีคิดแบบนี้คือ "ความรู้สึกของคนที่โดนเปรียบเทียบ" ญาติฝั่งพ่อก็ไม่ใช่น้อยๆ ญาติในรุ่นเดียวกันมักมองผมและยกขึ้นหิ้งเหมือนบูชา ไม่ก็เกลียดและสาปแช่งเลย [เห้อ!😑😑]
จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงชั้นม.2 ขณะนั้นผมเรียนอยู่ห้องพิเศษวิทยาศาสตร์ เหล่าหัวกะทิทั้งจังหวัดอยู่ในห้องนี้หมด สังคมแวดล้อมมันจึงดีมาก ทุกคนช่วยส่งเสริมกันหมด ผลการเรียนที่ได้ตอนม.1 คือ 3.75 เกือบต่ำสุดใน 30 คน[แม่เจ้าอะไรจะขนาดนั้น!!] ช่วงนั้นผมท้อ ด้วยความที่อยู่สูงมานาน อยู่ๆตกลงมามันเจ็บมาก เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าจริงๆ ในช่วงนั้นผมไม่ทำการบ้านคณิต ทำให้มีงานค้างอยู่ 2 งาน คาดว่าคงไม่เคยมีใครในห้องพิเศษไม่เคยค้างการบ้านมาก่อน คุณครูเลยโทรเรียกผู้ปกครองมาพบ
พ่อผมท่านชี้หน้า และด่าผมคาห้องพักครู ผมเข้าใจเหตุผลและผลลัพธ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น อันนี้ไม่เถียง แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจ คือการด่าเกินเหตุ เหมือนว่าเขาลืมทุกอย่างที่ผมเคยตั้งใจทำมาเมื่อก่อนจนหมดสิ้น ทำเหมือนกับผมทำผิดร้ายแรงมากๆ ทำเหมือนของเล่นที่เมื่อเสียก็โยนทิ้ง และตบท้ายด้วยคำพูดสุดเจ็บปวดที่ยังจำฝังใจอยู่ตอนนี้
"ทำตัวให้สมกับเป็นลูกกู ถ้าอยากโง่นัก เดี๋ยวกูจะพาไปลาออกเดี๋ยวนี้! อย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก กูไม่ได้อยากมีลูกแบบนักหรอก ไอ่เด็กโง่!"
จากนั้นทุกอย่าง " ก็ เ ริ่ ม แ ย่ ล ง "
ตอนม.3 จะขึ้นม.4 ผมเลือกเรียนต่อสายวิทย์-คณิตและหวังห้องพิเศษเหมือนเดิม เกณฑ์ในการสอบเข้สคือเกรดวิทย์และคณิตไม่ต่ำกว่า 3 ตอนที่อ่านมันยังไม่มีอะไร แต่พอลองยื่นใบสมัครไปส่งคณะกรรมการ สิ่งที่ได้กลับมาคือสอบไม่ได้เพราะเกรดคณิตได้ 2.9 ไม่ถึง 3 และคำพูดแทงใจดำของกรรมการคือ "เอ้า!ลูกของ(ชื่อพ่อผม)หรอกหรอ ทำไมได้แค่นี้อะ อยู่ห้องพิเศษด้วยนี้ น่าจะทำได้มากกว่านี้นะ" เท่านั้นแหละน้ำตาผมไหลพรากออกมาเลย ทุกอย่างมันเหมือนเคว้งไปหมด ทุกคนที่อยู่รอบข้างซ้ำเติมพร้อมทับถมกันทุกคน ในวันนั้นผมหวังเพียงคำปลอบใจของพ่อแม่
"อีกแค่ 0.1 เอง แม่มเอ่ย"
"แค่ 0.1 ยังทำไม่ได้ แล้วยังนี้จะทำอะไรให้สำเร็จได้ละ ลาออกแล้วมาทำนาเลยเหอะ"
ม.4 ยุคที่มืดที่สุดในชีวิตผม
ความรู้สึกตอนที่จากเพื่อน และพบกับสภาพแวดล้อมใหม่อีกห้องนึงมันทำร้ายผมมาก อาจด้วยความหลากหลายของคน นิสัย พฤติกรรมของคนบางคนมันจึงเหลือขอได้ขนาดนี้ มันเปลี่ยนให้ผมจมอยู่กับความเศร้าเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธแค้นตัวเอง เกลียด และหลงทาง ผมตื่นนอนทุกเช้าด้วยความรู้สึกว่าทำไมถึงไม่ตายไปตั้งแต่เมื่อคืน ไม่เคยหลับเต็มอิ่ม ผมปลีกตัวอยู่คนเดียว ไม่ก็จับกลุ่มกับloserในห้อง คนที่ไม่มีใครสนใจ ผมไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว อนาคตที่เคยวาดฝันไว้ก็ไม่มี เหมือนเราเดินอยู่กลางที่มืดที่ไร้แสงไฟ
เกรดหรอ? ตกแน่นอน ลงมาอยู่ประมาณ 2.8 รั้งท้ายของห้อง ไม่มีกะจิกะใจจะเรียน มานั่งเหมือนนั่งเฉยๆ ร้องไห้ฟูมฟายกับตัวเองก่อนนอนทุกวัน รู้สึกปวดหัวทุกครั้งที่คิดถึงมัน เรื่องราวที่ผ่านมา แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรได้อีกหละ "โรคซึมเศร้า" ไง
วันรวมญาติตอนปิดเทอม ผมกลายเป็นตัวตลกที่เหล่าให้คนที่เกลียดรุมทึ้ง และซ้ำเติมผม พ่อผมไม่สนในผมอีกต่อไป เขามองผมเป็นเหมือนความผิดพลาดในชีวิต แม้แต่คำปลอบใจหรือให้กำลังใจแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี +ปัญหาในครอบครัวตอนนั้นด้วย ความรู้สึกเหมือนต่างคนต่างอยู่กันทั้งบ้าน เพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ในห้องใหม่ก็ไม่มี กลายเป็นเก็บกด ปลีกตัวออกจากสังคม และนั่งรอเพียงแต่ความตาย
กระทู้นี้ผมจะบอกถึงปัญหาในชีวิตผมเป็นพอ แต่ยังไงซะตอนนี้ทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทางมาก ชีวิตมีความสุข ผมผ่านเรื่องในตอนนั้นมานานละ หาอนาคตเจอปุ๊บ เหมือนมีไฟผุดสว่างขึ้นกลางห้อง คราวนี่ผมแน่วแน่คิดถึงอนาคตที่ตนกำลังก้าวไป ส่วนเรื่องที่ผมก้าวผ่านมาได้อย่างไร เดี๋ยวว่างๆจะเขียนเล่าใหม่ละกัน ตอนนี่พอก่อนเมื่อย 555555