ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 2
เข้าใจละค่ะ
ในเมื่อตัดรังไข่ออกทั้งสองข้างตั้งแต่อายุยังน้อย จำเป็นต้องให้ฮอร์โมทนทดแทน
เพราะถ้าปล่อยให้อยู่ในสภาพขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนจากรังไข่ จะเกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมามากมาย โดยที่บางอย่างไม่มีอาการ
ได้แก่
1. อาการที่เรียกว่า vasomotor คือร้อนวูบวาบ เหงื่ออกมาก หงุดหงิด นอนไม่หลับ ผลตามมาคืออาการอ่อนเพลีย ความต้านทานโรคต่ำ
2. การฝ่อลีบของเยื่อบุอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ ได้แก่ช่องคลอด มดลูก เส้นเอ็นพยุงมดลูก ผลตามมาคือช่องคลอดแห้ง อักเสบติดเชื้อง่าย
ถ้ามีเพศสัมพันธ์จะแสบมาก มดลูกหย่อน เกิดอาการปวดถ่วงๆ
3. การฝ่อลีบของเยื่อบุอวัยวะในระบบปัสสาวะ ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดปัสสาวะเล็ดราดได้ง่าย ปัสสาวะบ่อย ทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ
ชีวิตไม่มีความสุข
4. ตับสร้าง cholesterol รวม และ cholesterol ชนิดเลวมากขึ้น เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดตีบตัน ถ้าเกิดที่กล้ามเนื้อหัวใจ หรือสมอง จะเกิดอันตรายต่อชีวิตมาก
5. การสลายกระดูกเพิ่มขึ้น การสร้างทดแทนน้อย ส่งผลให้เกิดกระดูกบาง และกระดูกพรุนในที่สุด กระดูกหักง่าย กระดูกสันหลังยุบตัว ทำให้ตัวเตี้ยลง หลังโกง ช่องปอดเล็กลง ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่เป็นโรคปอดได้ง่าย ช่องท้องก็เล็กลงเกิดท้องอืดท้องเฟ้อ กรดไหลย้อนได้ง่าย
6. เกิดความเสื่อมต่างๆ กับอวัยวะที่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน ได้แก่ สมอง จะเกิดความจำเสื่อมได้ง่าย ผิวหนังเหี่ยว กล้ามเนื้อเล็กลง ฯลฯ
ต้องได้ฮอร์โมนไปจนถึงอายุหมดประจำเดือน โดยเฉลี่ยคือ 50 ปี
เพราะยังมีมดลูกอยู่ ฮอร์โมนที่ได้รับต้องเป็นฮอร์โมนรวมมีทั้งเอสโตรเจน และโปรเจสติน เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งเยื่อบุมดลูก
ในอนาคต เมื่อมั่นใจว่าไม่ใช่มะเร็งแน่ อยากจะมีลูกก็ได้ โดยใช้ไข่บริจาค
อันตรายของฮอร์โมน
มีแน่นอน ถ้าใช้โดยไม่ได้รับการตรวจติดตามดูแลจากสูตินรีแพทย์ด้านฮอร์โมน
ถ้าดูแลอย่างเป็นระบบถูกต้อง อันตรายก็จะน้อยลงจนไม่เกิดได้
ถ้ากลัวฮอร์โมน ไม่ยอมใช้ อันตรายเกิดแน่กว่าถ้าจะใช้ฮอร์โมนแล้วเกิดอันตรายจากฮอร์โมนอีก หลายเท่านัก
ในเมื่อตัดรังไข่ออกทั้งสองข้างตั้งแต่อายุยังน้อย จำเป็นต้องให้ฮอร์โมทนทดแทน
เพราะถ้าปล่อยให้อยู่ในสภาพขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนจากรังไข่ จะเกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมามากมาย โดยที่บางอย่างไม่มีอาการ
ได้แก่
1. อาการที่เรียกว่า vasomotor คือร้อนวูบวาบ เหงื่ออกมาก หงุดหงิด นอนไม่หลับ ผลตามมาคืออาการอ่อนเพลีย ความต้านทานโรคต่ำ
2. การฝ่อลีบของเยื่อบุอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ ได้แก่ช่องคลอด มดลูก เส้นเอ็นพยุงมดลูก ผลตามมาคือช่องคลอดแห้ง อักเสบติดเชื้อง่าย
ถ้ามีเพศสัมพันธ์จะแสบมาก มดลูกหย่อน เกิดอาการปวดถ่วงๆ
3. การฝ่อลีบของเยื่อบุอวัยวะในระบบปัสสาวะ ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดปัสสาวะเล็ดราดได้ง่าย ปัสสาวะบ่อย ทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ
ชีวิตไม่มีความสุข
4. ตับสร้าง cholesterol รวม และ cholesterol ชนิดเลวมากขึ้น เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดตีบตัน ถ้าเกิดที่กล้ามเนื้อหัวใจ หรือสมอง จะเกิดอันตรายต่อชีวิตมาก
5. การสลายกระดูกเพิ่มขึ้น การสร้างทดแทนน้อย ส่งผลให้เกิดกระดูกบาง และกระดูกพรุนในที่สุด กระดูกหักง่าย กระดูกสันหลังยุบตัว ทำให้ตัวเตี้ยลง หลังโกง ช่องปอดเล็กลง ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่เป็นโรคปอดได้ง่าย ช่องท้องก็เล็กลงเกิดท้องอืดท้องเฟ้อ กรดไหลย้อนได้ง่าย
6. เกิดความเสื่อมต่างๆ กับอวัยวะที่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน ได้แก่ สมอง จะเกิดความจำเสื่อมได้ง่าย ผิวหนังเหี่ยว กล้ามเนื้อเล็กลง ฯลฯ
ต้องได้ฮอร์โมนไปจนถึงอายุหมดประจำเดือน โดยเฉลี่ยคือ 50 ปี
เพราะยังมีมดลูกอยู่ ฮอร์โมนที่ได้รับต้องเป็นฮอร์โมนรวมมีทั้งเอสโตรเจน และโปรเจสติน เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งเยื่อบุมดลูก
ในอนาคต เมื่อมั่นใจว่าไม่ใช่มะเร็งแน่ อยากจะมีลูกก็ได้ โดยใช้ไข่บริจาค
อันตรายของฮอร์โมน
มีแน่นอน ถ้าใช้โดยไม่ได้รับการตรวจติดตามดูแลจากสูตินรีแพทย์ด้านฮอร์โมน
ถ้าดูแลอย่างเป็นระบบถูกต้อง อันตรายก็จะน้อยลงจนไม่เกิดได้
ถ้ากลัวฮอร์โมน ไม่ยอมใช้ อันตรายเกิดแน่กว่าถ้าจะใช้ฮอร์โมนแล้วเกิดอันตรายจากฮอร์โมนอีก หลายเท่านัก
แสดงความคิดเห็น
อายุน้อย=ผ่าตัดรังไข่=วัยทองก่อนวัย=ยาฮอร์โมน??
ตอนนี้ผ่าตัดมาได้7เดือนแล้วค่ะ คุณหมอเลยให้ยาเพิ่มฮอร์โมนมาทานซึ่งเราอยากทราบว่าถ้ากินจะมีผลเสียอะไรบ้างค่ะ??
ตอนนี้เหมือนวัยทองเลยจิงๆค่ะ
ร้อนวูบวาบ แก้ยังไง(อันนี้เป็นบ่อยแล้วโมโหตัวเองมากๆค่ะ)