พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยโรคอะไร?
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2543
ผู้เขียน พระมโน เมตฺตานนฺโท, วท.บ., พ.บ. (จุฬาฯ), B.A., M.A. (Oxford), Th.M. (Harvard), Ph.D. (Hamburg)
เผยแพร่ วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2561
มหาปรินิพพานสูตรเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นเดียวเท่านั้นที่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับการปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ข้อมูลทั้งปวงที่ได้พรรณนาในพระสูตรนี้ มีความแตกต่างและขัดแย้งในรายละเอียด
จริงหรือที่พระพุทธองค์ปรินิพพานเพราะเสวย “สูกรมัททะวะ” พระองค์ประชวรและปรินิพพานด้วยโรคใดกันแน่? ความจริงแล้วพระองค์ปรินิพพานเมื่อใด และที่ไหน?
พระสูตรนี้ยังแสดงให้เห็นบุคลิกของพระพุทธเจ้าเป็น ๒ ประการ ที่ขัดแย้งกันเอง คือบุคลิกผู้วิเศษ และบุคลิกชายชราธรรมดา ซึ่งบุคลิกแรกบดบังบุคลิกหลังเกือบสนิท
เรื่องราวเหล่านี้แสดงนัยอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร
________________________________________
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเก่าแก่มีอายุยาวนานกว่า ๒,๕๐๐ ปี เป็นศาสนาที่กำเนิดในประเทศอินเดียซึ่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนมีความผูกพันในบุคลิกของผู้ก่อตั้งศาสนาอย่างมาก ไม่ว่าจะมีการประกอบพิธีครั้งใดก็ต้องมีการเริ่มต้นด้วยการแสดงนอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกครั้งไป ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขสูงสุดในศาสนา และเป็นบิดาแห่งพุทธบริษัททั้งหลาย
การจากไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมสร้างความสะเทือนใจแก่ศิษย์อย่างมทาก และการจากไปของพระบรมศาสดาในกาลครั้งนั้นได้เป็นเหตุให้ชาวพุทธเริ่มการจาริกแสวงบุญ ไปนมัสการสถานที่สำคัญในพุทธประวัติทั้งสี่แห่ง คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน และแสดงปฐมเทศนา แม้เป็นยุคสมัยที่การเขียนยังไม่เป็นที่แพร่หลาย การถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับคำสอนในหมู่สาวกยังคงใช้การท่องจำปากต่อปาก โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่นการเสียชีวิตของพระบรมศาสดาผู้เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดนี้ จึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดตั้งแต่ในยุคแรกของพระพุทธศาสนา
รายละเอียดที่โลกได้รับทราบเกี่ยวกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้นมาจากเอกสารในพระไตรปิฎกเพียงตอนเดียวเท่านั้นคือ มหาปรินิพพานสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่ยาวที่สุดสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎก ซึ่งนอกจากจะมีลีลาการพรรณนาแตกต่างไปจากพระสูตรอื่นๆ ทั่วไปแล้วยังทีอรรถาธิบายเชิงพรรณนาในเรื่องสำคัญอีกหลายประการทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ทางการเมืองและวัฒนธรรมอินเดีย ธรรมะในหมวดหมู่ที่สำคัญต่างๆ รวงทั้งปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าตอนใดๆ ในพระไตรปิฎกรวมกันทั้งหมด
กระนั้นเองผู้อ่านพระไตรปิฎกตอนนี้อาจเกิดการสับสนได้ง่าย หากพยายามที่จะแสวงหาความจริง ว่าสาเหตุที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงประชวรจนต้องถึงกับปรินิพพานนั้นคืออะไรแน่
นักการศาสนาส่วนหนึ่งมักมุ่งไปที่ประเด็นว่า พระพุทธเจ้าทรงบริโภค “สูกรมัททะวะ” (แปลตรงตัวว่าเนื้อหมูอ่อน) ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ทรงประชวรหนักจนต้องปรินิพพานในคืนวันที่ทรงขบฉันอาหารชนิดพิเศษนี้นั่นเอง การศึกษาในเชิงค้นคว้ามักจะสะดุดอยู่เพียงข้อความเท่านี้ แม้การศึกษาในทางวิชาการทางวิทยาศาสตร์ได้เกิดขึ้นแพร่หลาย นักวิชาการทั้งโลกตะวันตกและตะวันออกยังมิได้มีการนำข้อมูลทั้งหมดในพระสูตรนี้มาวิเคราะห์ให้ทราบถึงแก่นว่า ความจริงคืออะไร ที่ทำให้พระพุทธเจ้าต้องปรินิพพานในครั้งนั้น
ความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นสามารถให้ความกระจ่างนี้ได้ไม่มากก็น้อย วิทยาศาสตร์อาจเป็นเครื่องมือที่ดีประการหนึ่งในการวิเคราะห์สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของสิทธัตถะ โคตมะ นักบวชแห่งศากยสกุล ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์นี้อาจเป็นพื้นฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ในยุคแรกได้ต่อไป
ความสำคัญของมหาปรินิพพานสูตร
มหาปรินิพพานสูตรเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์นับตั้งแต่สามถึงสี่เดือนก่อนวันสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปจนถึงการแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุไปยังดินแดนต่างๆ ทั้งแปดแห่ง รวมถึงสถูปเจดีย์ทั้งหลายที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นๆ อีกด้วย
ผู้อ่านส่วนใหญ่มักจะประหลาดใจที่พระสูตรซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้านี้เริ่มเรื่องด้วยการดำริของพระเจ้าอชาตศัตรู ที่จะยึดครองแคว้นวัชชี ซึ่งเป็นรัฐเพื่อนบ้านที่เข้มแข็งอยู่ทางทิศตะวันตกและปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยหรือคณาธิปไตย มีจารีตประเพณีเป็นที่ยึดเหนี่ยวเรียกว่า “วัชชีธรรม” และในท้องเรื่องของพระสูตรตอนนี้ พระเจ้าอชาติศัตรูพระองค์นี้ได้มอบหมายให้วัสสะการพราหมณ์ (แปลตรงตัวว่าพราหมณ์ผู้สร้างฝน) ไปปรึกษาพระพุทธเจ้าว่าตนจะทำการใหญ่ครั้งนี้สำเร็จหรือไม่ และด้วยเหตุใด และก็น่าประหลาดใจว่า ทรงแนะนำวัสสะการพราหมณ์อ้อมผ่านทางการสนทนากับพระอานนท์ ให้วัสสะการพราหมณ์ได้ยิน (เรื่องตอนนี้ต่อมาเป็นมูลเหตุให้เกิดเป็นวรรณกรรมไทยเรื่องหนึ่ง คือ สามัคคีเภทคำฉันท์)
พราหมณ์ผู้นี้เมื่อได้ยินคำสนทนาเข้าแล้วสามารถนำมาสรุปเป็นกลยุทธ์ได้เลยว่า แคว้นวัชชีจะแตกได้โดยอาศัยการยุยงให้คนในแตกกันก่อน จึงได้ลากลับไป
เมื่อทรงเสร็จกิจที่เกี่ยวข้องพระเจ้าอชาตศัตรู พระพุทธเจ้าเสด็จต่อไปทางทิศเหนือ แวะตำบลนาลันทา บ้านเกิดของพระสารีบุตร (อัครสาวกฝ่ายขวาผู้เป็นเลิศทางปัญญา) ผู้ซึ่งออกมาต้อนรับโดยประกาศความศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลนในพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นข้อความที่ซ้ำซ้อนกับพระสูตรอีกตอนหนึ่ง และน่าเชื่อได้ว่าเป็นส่วนที่ผู้เรียบเรียงพระสูตรเกิดฟั่นเฟือน เพราะพระสูตรอีกตอนหนึ่งระบุว่า พระสารีบุตรได้นิพพานไปก่อนล่วงหน้านี้แล้ว
เสด็จแวะเมืองปาฏลีบุตร ก่อนที่จะแสดงปาฏิหาริย์ข้ามแม่น้ำคงคาที่เต็มปริ่มฝั่ง โดยการหายตัวจากฟากหนึ่งไปปรากฏตัวอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ พร้อมหมู่พระสงฆ์สาวกหลักจากที่พยากรณ์อนาคตของเมืองใหม่ที่อำมาตย์วัสสะการพราหมณ์สร้างไว้ โดยมีประตูเมืองด้านที่เสด็จผ่านนนั้นเรียกต่อไปว่า “ประตูโคตมะ”
ทางการแพทย์ เหตุการณ์ที่สำคัญระหว่างพรรษาคือ การประชวรด้วยอาการปวดอย่างรุนแรงจนเกือบสิ้นพระชนม์ แต่ทรงเอาชนะความเจ็บปวดด้วยความอดทน และระลึกว่ายังไม่ได้ตรัสอำลาสาวกพุทธบริษัททั้งหลาย แต่ทรงปลงอายุสังขารที่จะเสด็จปรินิพพานตามคำเชิญของพญามาร จนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ภายหลังจากที่พระอานนท์ลืมที่จะทูลอาราธนาให้เจริญเจโตสมาธิในอิทธิบาท ๔ แต่ทว่าพระอานนท์ไม่อาจระลึกได้ในนัยที่ทรงบอกใบ้ให้กระทำ (ข้อความที่ทรงตำหนิพระอานนท์ในตอนนี้ค่อนข้างจะรุนแรง)
ต่อมาทรงรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ กัมมาบุตร ผู้ตั้งใจถวายอาหารจานพิเศษ มีชื่อว่า “เนื้อหมูอ่อน” (สูกรมัททวะ) ซึ่งภายหลังที่รับประเคนไปแล้ว ดำริกับนายจุนทะว่า ไม่ทรงเห็นผู้ใดเลยในโลกนี้ที่จะสามารถย่อยอาหารนี้ได้ นอกจากพระองค์เอง จึงสั่งให้นายจุนทะนำอาหารทั้งหมดที่เหลือไปฝังดินทิ้งเสีย
หลังจากที่ฉันอาหารนั้นแล้วทรงประชวรถ่ายออกมาเป็นเลือด (โลหิตปักขันทิกา) ซึ่งจากคำศัพท์หมายถึงการพรั่งพรูของเลือดออกมาจากทางทวารหนัก จนรับสั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาให้เสวย แต่พระอานนท์รีรอ เนื่องจากเห็นน้ำในลำธารขุ่นมาก เนื่องด้วยเกวียนจำนวนมากเพิ่งข้ามลำธารนี้ไป แต่พระพุทธเจ้าคะยั้นคะยอถึง ๓ ครั้ง และยังสั่งให้ปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ขั้นถวายเพื่อประทับ
ต่อจากนั้นเป็นเรื่องราวของปาฏิหาริย์ ของการถวายผ้าสิงคิวรรณ อันเป็นผ้าสีเหมือนทองของนายกองเกวียนสองคน เมื่อทรงห่มผ้านี้แล้วพระฉวีวรรณเกิดผุดผ่องขึ้นเอง ซึ่งทรงอธิบายว่า เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะมีผิวพรรณสว่างไสว หลังจากตรัสรู้ใหม่ และก่อนที่จะเสด็จเข้ามหาปรินิพพาน
วันเวลาที่ปรินิพพาน
เป็นประเพณีที่ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทเชื่อกันสืบๆ มาว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันเดียวกัน คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (ประมาณวันเพ็ญกลางเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน) แต่ความในมหาปรินิพพานสูตรระบุไว้ชัดเจนว่า พระพุทธองค์ปรินิพพานหลังออกพรรษาใหม่ๆ คือประมาณเดือน ๑๑-๑๒ หรืออาจล่วงเลยได้ถึงเดือน ๑ ของปีจันทรคติต่อมา ซึ่งเป็นฤดูหนาว หรือฤดูใบไม้ร่วงตอนปลาย ความตอนหนึ่งยืนยันว่าเป็นฤดูดังกล่าว คือ ปาฏิหาริย์ของต้นสาละ เมื่อดทรงเอนพระองค์ลงนอนระหว่างต้นสาละทั้งคู่ว่า ต้นสาละทั้งสอง (ซึ่งเป็นไม้ผลัดใบ) ผลิใบและดอกซึ่งเป็น “อกาล” คือ “นอกฤดูกาล” ออกมา
ความทั้งหมดของปาฏิหาริย์ที่ต้นสาละคู่นี้อาจเป็นเรื่องราวที่ต่อเติมในภายหลัง แต่อาจยืนยันได้ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานใหม่ๆ นั้น ชาวพุทธยังจดจำได้ดีว่าเป็นฤดูหนาว หรือฤดูใบไม้ร่วงตอนปลาย ซึ่งต้นสาละในป่าสลัดใบร่วงหล่นไปหมดแล้ว
สมมติฐานการเจ็บป่วยของพระพุทธเจ้า
นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มักมุ่งไปที่อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสาเหตุทั้งหมดของการประชวรที่นำไปสู่การปรินิพพาน จนนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าอาหารนั้นน่าจะเป็นพิษในตัวของมันเอง เป็นต้นว่า เป็นอาหารที่ทำมาจากเห็ดชนิดหนึ่งที่เป็นพิษ การที่มีสมมติฐานว่า “สูกรมัททวะ”เป็นเห็ดชนิดหนึ่ง ก็เนื่องจากรากศัพท์ว่า “สุกรได้แก่หมู” และ “มัททวะแปลว่าอ่อนหรือนิ่ม” เมื่อนำมาสมาสกันทำให้ได้อีกความว่า “นิ่มสำหรับหมู” คือเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่หมูชอบ เพราะความนิ่มของมัน การตีความในลักษณะนี้เข้ากันได้กับทิฐิของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานสายจีนซึ่งเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นมังสวิรัติ
ทางการแพทย์นั้นการจะสรุปว่าพยาธิสภาพที่ทำให้พระพุทธองค์ปรินิพพานนั้นมาจากลำพังอาหารที่เสวยอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ และอาหารจานสุดท้ายนี้อาจเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยซึ่งสุกงอมมาเต็มที่แล้วเกิดปะทุขึ้น โดยเฉำพาะเมื่อมีประวัติการเจ็บป่วยอย่างหนักครั้งหนึ่งมาก่อนหน้านี้แล้ว ข้อมูลที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งคืออายุของพระองค์ท่านในขณะนั้นคือ ๘๐ ปี ซึ่งเป็นวัยที่สังขารร่วงโรคเพราะความเสื่อมของอวัยวะภายในหลายอย่าง
เราทราบจากข้อมูลหลายแห่งในพระไตรปิฎกว่า ทรงมีโรคประจำตัว เช่น โรคปวดหลังจนถึงกับไม่อาจเทศน์ต่อไปได้ และตรัสเปรียบกายสังขารของพระองค์เหมือนเกวียนที่เก่าคร่ำคร่า การใช้ชีวิตของพระองค์ตระเวนในแว่นแคว้นต่างๆ ของอินเดีย เทศนาโปรดสัตว์โลกตลอด ๔๕ ปีหลังตรัสรู้ ดำรงพระชนม์ด้วยอาหารยิณฑบาตหลากชนิดที่ไม่อาจเลือกได้ ก็สามารถเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้สังขารของพระองค์เสื่อมลงได้เร็ว
อาการเจ็บป่วยระหว่างพรรษาสุดท้ายนั้น มหาปรินิพพานสูตรกล่าวไว้เพียงสั้นๆ ว่า ทรงมีอาการปวดอย่างรุนแรงจนเกือบต้องมรณภาพ แต่ไม่ได้ให้อาการร่วมอย่างอื่นที่ระบุว่าเป็นการปวดที่เกิดที่อวัยวะใด
อาจเป็นการปวดที่หน้าอกอันเนื่องมาจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง อันมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดตีบตันซึ่งเป็นโรคแห่งความชราที่พบกันบ่อยอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดได้มาก และผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
อาการป่วยในครั้งนี้ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเป็นอะไรก็ตาม แต่อาการทั้งหมดนั้นหายไป จนทำให้เสด็จจาริกต่อไปได้หลังออกพรรกษาเหมือนปกติ หากอาการไม่ปกติ นายจุนทะเองคงไม่กล้าที่จะนิมนต์ให้ไปรับบิณฑบาตเป็นแน่ กระนั้นเองพยาธิสภาพดั้งเดิมก็คงเหลืออยู่ แต่อาการที่ระบุในการประชวรครั้งสุดท้ายที่ว่ามีอาการลงพระโลหิต หรือถ่ายเป็นเลือดนั้นเป็นอาการที่เนื่องด้วยระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความยาวมาก ตั้งแต่หลอดคอไปจนถึงทวารหนัก
โรคกระเพาะอาหาร เป็นโรคหนึ่งที่น่าสงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำมห้สิ้นพระชนม์ได้ เนื่องจากทำให้เกิดการปวดได้มาก โดยเฉพาะหลังอาหารใหม่ๆ และแผลในกระเพาะอาหารนั้นอาจมีขนาดใหญ่และลึกมาก จนทำให้ทะลุไปถึงเส้นเลือด ทำให้เกิดการลงพระโลหิตได้
https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_10377
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
๓. มหาปรินิพพานสูตร (๑๖)
....................
พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยโรคอะไร? (บทความ)
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2543
ผู้เขียน พระมโน เมตฺตานนฺโท, วท.บ., พ.บ. (จุฬาฯ), B.A., M.A. (Oxford), Th.M. (Harvard), Ph.D. (Hamburg)
เผยแพร่ วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2561
มหาปรินิพพานสูตรเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นเดียวเท่านั้นที่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับการปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ข้อมูลทั้งปวงที่ได้พรรณนาในพระสูตรนี้ มีความแตกต่างและขัดแย้งในรายละเอียด
จริงหรือที่พระพุทธองค์ปรินิพพานเพราะเสวย “สูกรมัททะวะ” พระองค์ประชวรและปรินิพพานด้วยโรคใดกันแน่? ความจริงแล้วพระองค์ปรินิพพานเมื่อใด และที่ไหน?
พระสูตรนี้ยังแสดงให้เห็นบุคลิกของพระพุทธเจ้าเป็น ๒ ประการ ที่ขัดแย้งกันเอง คือบุคลิกผู้วิเศษ และบุคลิกชายชราธรรมดา ซึ่งบุคลิกแรกบดบังบุคลิกหลังเกือบสนิท
เรื่องราวเหล่านี้แสดงนัยอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร
________________________________________
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเก่าแก่มีอายุยาวนานกว่า ๒,๕๐๐ ปี เป็นศาสนาที่กำเนิดในประเทศอินเดียซึ่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนมีความผูกพันในบุคลิกของผู้ก่อตั้งศาสนาอย่างมาก ไม่ว่าจะมีการประกอบพิธีครั้งใดก็ต้องมีการเริ่มต้นด้วยการแสดงนอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกครั้งไป ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขสูงสุดในศาสนา และเป็นบิดาแห่งพุทธบริษัททั้งหลาย
การจากไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมสร้างความสะเทือนใจแก่ศิษย์อย่างมทาก และการจากไปของพระบรมศาสดาในกาลครั้งนั้นได้เป็นเหตุให้ชาวพุทธเริ่มการจาริกแสวงบุญ ไปนมัสการสถานที่สำคัญในพุทธประวัติทั้งสี่แห่ง คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน และแสดงปฐมเทศนา แม้เป็นยุคสมัยที่การเขียนยังไม่เป็นที่แพร่หลาย การถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับคำสอนในหมู่สาวกยังคงใช้การท่องจำปากต่อปาก โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่นการเสียชีวิตของพระบรมศาสดาผู้เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดนี้ จึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดตั้งแต่ในยุคแรกของพระพุทธศาสนา
รายละเอียดที่โลกได้รับทราบเกี่ยวกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้นมาจากเอกสารในพระไตรปิฎกเพียงตอนเดียวเท่านั้นคือ มหาปรินิพพานสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่ยาวที่สุดสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎก ซึ่งนอกจากจะมีลีลาการพรรณนาแตกต่างไปจากพระสูตรอื่นๆ ทั่วไปแล้วยังทีอรรถาธิบายเชิงพรรณนาในเรื่องสำคัญอีกหลายประการทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ทางการเมืองและวัฒนธรรมอินเดีย ธรรมะในหมวดหมู่ที่สำคัญต่างๆ รวงทั้งปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าตอนใดๆ ในพระไตรปิฎกรวมกันทั้งหมด
กระนั้นเองผู้อ่านพระไตรปิฎกตอนนี้อาจเกิดการสับสนได้ง่าย หากพยายามที่จะแสวงหาความจริง ว่าสาเหตุที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงประชวรจนต้องถึงกับปรินิพพานนั้นคืออะไรแน่
นักการศาสนาส่วนหนึ่งมักมุ่งไปที่ประเด็นว่า พระพุทธเจ้าทรงบริโภค “สูกรมัททะวะ” (แปลตรงตัวว่าเนื้อหมูอ่อน) ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ทรงประชวรหนักจนต้องปรินิพพานในคืนวันที่ทรงขบฉันอาหารชนิดพิเศษนี้นั่นเอง การศึกษาในเชิงค้นคว้ามักจะสะดุดอยู่เพียงข้อความเท่านี้ แม้การศึกษาในทางวิชาการทางวิทยาศาสตร์ได้เกิดขึ้นแพร่หลาย นักวิชาการทั้งโลกตะวันตกและตะวันออกยังมิได้มีการนำข้อมูลทั้งหมดในพระสูตรนี้มาวิเคราะห์ให้ทราบถึงแก่นว่า ความจริงคืออะไร ที่ทำให้พระพุทธเจ้าต้องปรินิพพานในครั้งนั้น
ความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นสามารถให้ความกระจ่างนี้ได้ไม่มากก็น้อย วิทยาศาสตร์อาจเป็นเครื่องมือที่ดีประการหนึ่งในการวิเคราะห์สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของสิทธัตถะ โคตมะ นักบวชแห่งศากยสกุล ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์นี้อาจเป็นพื้นฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ในยุคแรกได้ต่อไป
ความสำคัญของมหาปรินิพพานสูตร
มหาปรินิพพานสูตรเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์นับตั้งแต่สามถึงสี่เดือนก่อนวันสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปจนถึงการแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุไปยังดินแดนต่างๆ ทั้งแปดแห่ง รวมถึงสถูปเจดีย์ทั้งหลายที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นๆ อีกด้วย
ผู้อ่านส่วนใหญ่มักจะประหลาดใจที่พระสูตรซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้านี้เริ่มเรื่องด้วยการดำริของพระเจ้าอชาตศัตรู ที่จะยึดครองแคว้นวัชชี ซึ่งเป็นรัฐเพื่อนบ้านที่เข้มแข็งอยู่ทางทิศตะวันตกและปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยหรือคณาธิปไตย มีจารีตประเพณีเป็นที่ยึดเหนี่ยวเรียกว่า “วัชชีธรรม” และในท้องเรื่องของพระสูตรตอนนี้ พระเจ้าอชาติศัตรูพระองค์นี้ได้มอบหมายให้วัสสะการพราหมณ์ (แปลตรงตัวว่าพราหมณ์ผู้สร้างฝน) ไปปรึกษาพระพุทธเจ้าว่าตนจะทำการใหญ่ครั้งนี้สำเร็จหรือไม่ และด้วยเหตุใด และก็น่าประหลาดใจว่า ทรงแนะนำวัสสะการพราหมณ์อ้อมผ่านทางการสนทนากับพระอานนท์ ให้วัสสะการพราหมณ์ได้ยิน (เรื่องตอนนี้ต่อมาเป็นมูลเหตุให้เกิดเป็นวรรณกรรมไทยเรื่องหนึ่ง คือ สามัคคีเภทคำฉันท์)
พราหมณ์ผู้นี้เมื่อได้ยินคำสนทนาเข้าแล้วสามารถนำมาสรุปเป็นกลยุทธ์ได้เลยว่า แคว้นวัชชีจะแตกได้โดยอาศัยการยุยงให้คนในแตกกันก่อน จึงได้ลากลับไป
เมื่อทรงเสร็จกิจที่เกี่ยวข้องพระเจ้าอชาตศัตรู พระพุทธเจ้าเสด็จต่อไปทางทิศเหนือ แวะตำบลนาลันทา บ้านเกิดของพระสารีบุตร (อัครสาวกฝ่ายขวาผู้เป็นเลิศทางปัญญา) ผู้ซึ่งออกมาต้อนรับโดยประกาศความศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลนในพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นข้อความที่ซ้ำซ้อนกับพระสูตรอีกตอนหนึ่ง และน่าเชื่อได้ว่าเป็นส่วนที่ผู้เรียบเรียงพระสูตรเกิดฟั่นเฟือน เพราะพระสูตรอีกตอนหนึ่งระบุว่า พระสารีบุตรได้นิพพานไปก่อนล่วงหน้านี้แล้ว
เสด็จแวะเมืองปาฏลีบุตร ก่อนที่จะแสดงปาฏิหาริย์ข้ามแม่น้ำคงคาที่เต็มปริ่มฝั่ง โดยการหายตัวจากฟากหนึ่งไปปรากฏตัวอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ พร้อมหมู่พระสงฆ์สาวกหลักจากที่พยากรณ์อนาคตของเมืองใหม่ที่อำมาตย์วัสสะการพราหมณ์สร้างไว้ โดยมีประตูเมืองด้านที่เสด็จผ่านนนั้นเรียกต่อไปว่า “ประตูโคตมะ”
ทางการแพทย์ เหตุการณ์ที่สำคัญระหว่างพรรษาคือ การประชวรด้วยอาการปวดอย่างรุนแรงจนเกือบสิ้นพระชนม์ แต่ทรงเอาชนะความเจ็บปวดด้วยความอดทน และระลึกว่ายังไม่ได้ตรัสอำลาสาวกพุทธบริษัททั้งหลาย แต่ทรงปลงอายุสังขารที่จะเสด็จปรินิพพานตามคำเชิญของพญามาร จนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ภายหลังจากที่พระอานนท์ลืมที่จะทูลอาราธนาให้เจริญเจโตสมาธิในอิทธิบาท ๔ แต่ทว่าพระอานนท์ไม่อาจระลึกได้ในนัยที่ทรงบอกใบ้ให้กระทำ (ข้อความที่ทรงตำหนิพระอานนท์ในตอนนี้ค่อนข้างจะรุนแรง)
ต่อมาทรงรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ กัมมาบุตร ผู้ตั้งใจถวายอาหารจานพิเศษ มีชื่อว่า “เนื้อหมูอ่อน” (สูกรมัททวะ) ซึ่งภายหลังที่รับประเคนไปแล้ว ดำริกับนายจุนทะว่า ไม่ทรงเห็นผู้ใดเลยในโลกนี้ที่จะสามารถย่อยอาหารนี้ได้ นอกจากพระองค์เอง จึงสั่งให้นายจุนทะนำอาหารทั้งหมดที่เหลือไปฝังดินทิ้งเสีย
หลังจากที่ฉันอาหารนั้นแล้วทรงประชวรถ่ายออกมาเป็นเลือด (โลหิตปักขันทิกา) ซึ่งจากคำศัพท์หมายถึงการพรั่งพรูของเลือดออกมาจากทางทวารหนัก จนรับสั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาให้เสวย แต่พระอานนท์รีรอ เนื่องจากเห็นน้ำในลำธารขุ่นมาก เนื่องด้วยเกวียนจำนวนมากเพิ่งข้ามลำธารนี้ไป แต่พระพุทธเจ้าคะยั้นคะยอถึง ๓ ครั้ง และยังสั่งให้ปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ขั้นถวายเพื่อประทับ
ต่อจากนั้นเป็นเรื่องราวของปาฏิหาริย์ ของการถวายผ้าสิงคิวรรณ อันเป็นผ้าสีเหมือนทองของนายกองเกวียนสองคน เมื่อทรงห่มผ้านี้แล้วพระฉวีวรรณเกิดผุดผ่องขึ้นเอง ซึ่งทรงอธิบายว่า เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะมีผิวพรรณสว่างไสว หลังจากตรัสรู้ใหม่ และก่อนที่จะเสด็จเข้ามหาปรินิพพาน
วันเวลาที่ปรินิพพาน
เป็นประเพณีที่ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทเชื่อกันสืบๆ มาว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันเดียวกัน คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (ประมาณวันเพ็ญกลางเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน) แต่ความในมหาปรินิพพานสูตรระบุไว้ชัดเจนว่า พระพุทธองค์ปรินิพพานหลังออกพรรษาใหม่ๆ คือประมาณเดือน ๑๑-๑๒ หรืออาจล่วงเลยได้ถึงเดือน ๑ ของปีจันทรคติต่อมา ซึ่งเป็นฤดูหนาว หรือฤดูใบไม้ร่วงตอนปลาย ความตอนหนึ่งยืนยันว่าเป็นฤดูดังกล่าว คือ ปาฏิหาริย์ของต้นสาละ เมื่อดทรงเอนพระองค์ลงนอนระหว่างต้นสาละทั้งคู่ว่า ต้นสาละทั้งสอง (ซึ่งเป็นไม้ผลัดใบ) ผลิใบและดอกซึ่งเป็น “อกาล” คือ “นอกฤดูกาล” ออกมา
ความทั้งหมดของปาฏิหาริย์ที่ต้นสาละคู่นี้อาจเป็นเรื่องราวที่ต่อเติมในภายหลัง แต่อาจยืนยันได้ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานใหม่ๆ นั้น ชาวพุทธยังจดจำได้ดีว่าเป็นฤดูหนาว หรือฤดูใบไม้ร่วงตอนปลาย ซึ่งต้นสาละในป่าสลัดใบร่วงหล่นไปหมดแล้ว
สมมติฐานการเจ็บป่วยของพระพุทธเจ้า
นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มักมุ่งไปที่อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสาเหตุทั้งหมดของการประชวรที่นำไปสู่การปรินิพพาน จนนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าอาหารนั้นน่าจะเป็นพิษในตัวของมันเอง เป็นต้นว่า เป็นอาหารที่ทำมาจากเห็ดชนิดหนึ่งที่เป็นพิษ การที่มีสมมติฐานว่า “สูกรมัททวะ”เป็นเห็ดชนิดหนึ่ง ก็เนื่องจากรากศัพท์ว่า “สุกรได้แก่หมู” และ “มัททวะแปลว่าอ่อนหรือนิ่ม” เมื่อนำมาสมาสกันทำให้ได้อีกความว่า “นิ่มสำหรับหมู” คือเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่หมูชอบ เพราะความนิ่มของมัน การตีความในลักษณะนี้เข้ากันได้กับทิฐิของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานสายจีนซึ่งเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นมังสวิรัติ
ทางการแพทย์นั้นการจะสรุปว่าพยาธิสภาพที่ทำให้พระพุทธองค์ปรินิพพานนั้นมาจากลำพังอาหารที่เสวยอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ และอาหารจานสุดท้ายนี้อาจเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยซึ่งสุกงอมมาเต็มที่แล้วเกิดปะทุขึ้น โดยเฉำพาะเมื่อมีประวัติการเจ็บป่วยอย่างหนักครั้งหนึ่งมาก่อนหน้านี้แล้ว ข้อมูลที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งคืออายุของพระองค์ท่านในขณะนั้นคือ ๘๐ ปี ซึ่งเป็นวัยที่สังขารร่วงโรคเพราะความเสื่อมของอวัยวะภายในหลายอย่าง
เราทราบจากข้อมูลหลายแห่งในพระไตรปิฎกว่า ทรงมีโรคประจำตัว เช่น โรคปวดหลังจนถึงกับไม่อาจเทศน์ต่อไปได้ และตรัสเปรียบกายสังขารของพระองค์เหมือนเกวียนที่เก่าคร่ำคร่า การใช้ชีวิตของพระองค์ตระเวนในแว่นแคว้นต่างๆ ของอินเดีย เทศนาโปรดสัตว์โลกตลอด ๔๕ ปีหลังตรัสรู้ ดำรงพระชนม์ด้วยอาหารยิณฑบาตหลากชนิดที่ไม่อาจเลือกได้ ก็สามารถเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้สังขารของพระองค์เสื่อมลงได้เร็ว
อาการเจ็บป่วยระหว่างพรรษาสุดท้ายนั้น มหาปรินิพพานสูตรกล่าวไว้เพียงสั้นๆ ว่า ทรงมีอาการปวดอย่างรุนแรงจนเกือบต้องมรณภาพ แต่ไม่ได้ให้อาการร่วมอย่างอื่นที่ระบุว่าเป็นการปวดที่เกิดที่อวัยวะใด
อาจเป็นการปวดที่หน้าอกอันเนื่องมาจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง อันมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดตีบตันซึ่งเป็นโรคแห่งความชราที่พบกันบ่อยอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดได้มาก และผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
อาการป่วยในครั้งนี้ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเป็นอะไรก็ตาม แต่อาการทั้งหมดนั้นหายไป จนทำให้เสด็จจาริกต่อไปได้หลังออกพรรกษาเหมือนปกติ หากอาการไม่ปกติ นายจุนทะเองคงไม่กล้าที่จะนิมนต์ให้ไปรับบิณฑบาตเป็นแน่ กระนั้นเองพยาธิสภาพดั้งเดิมก็คงเหลืออยู่ แต่อาการที่ระบุในการประชวรครั้งสุดท้ายที่ว่ามีอาการลงพระโลหิต หรือถ่ายเป็นเลือดนั้นเป็นอาการที่เนื่องด้วยระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความยาวมาก ตั้งแต่หลอดคอไปจนถึงทวารหนัก
โรคกระเพาะอาหาร เป็นโรคหนึ่งที่น่าสงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำมห้สิ้นพระชนม์ได้ เนื่องจากทำให้เกิดการปวดได้มาก โดยเฉพาะหลังอาหารใหม่ๆ และแผลในกระเพาะอาหารนั้นอาจมีขนาดใหญ่และลึกมาก จนทำให้ทะลุไปถึงเส้นเลือด ทำให้เกิดการลงพระโลหิตได้
https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_10377
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
๓. มหาปรินิพพานสูตร (๑๖)
....................