ปัญหาวัยมหาลัย

กระทู้สนทนา
ผมรู้สึกหวาดกลัวกับคนรุ่นเดียวกัน ที่อ้างตัวว่าไม่เคยได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ไม่เคยได้รับประชาธิปไตยอะไรเลย เห็นในทวิตเตอร์แล้วบางทีรู้สึกว่าแอบเวทนาใจอยู่เหมือนกัน ส่วนใหญ่มีแต่แฟนคลับศิลปินต่างชาติ ไม่ก็แฟนหนังตะวันตกกันเสียทั้งนั้น
.
ก่อนอื่น ผมบอกก่อนว่าสำหรับรัฐบาลปัจจุบันนี้ ผมไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ เพราะเข้าใจว่าเป็นวัฏจักรการเมืองไทยมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรก ที่ใช้ทหารเข้ามาปฏิวัติ ยึดพระราชอำนาจลงมาแล้วบอกว่าจัดตั้งรัฐธรรมนูญ นั้นคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะนับตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ทหาร โดยเฉพาะทหารบก ต่างเข้ามามีส่วนในการอ้างเหตุผลในการทำรัฐประหารนับไม่ถ้วน แต่ 2 ครั้งหลัง มันมีความคลุมเครือบางอย่างให้เห็น แต่ขอละเว้นไว้ เอาเป็นว่า 2 ครั้งหลัง เกิดจากการอ้างความสงบเพราะกำลังเกิดความรุนแรงขึ้นโดยประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ที่คิดคนละอย่างกันในเชิงการเมือง แต่ท้ายสุด รัฐประหารก็ไม่ได้พิสูจน์ถึงความสามัคคีทางการเมือง เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หากแต่ต้นเหตุเบื้องหลัง มีสาเหตุมาจากเรื่องที่ผมละเว้นไว้นั้นเอง
.
ถามว่าทำไมผมถึงอยากย้ายหนี เพราะวันนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมยอมรับว่า ประเทศไทยถึงวิกฤติในระดับหนึ่ง ไม่ใช่เพราะรัฐบาล ถ้าเป็นรัฐบาลทหาร ผมให้เดา ไม่มีทางเกิน 10 ปีได้ที่พวกเขาจะครองอำนาจอยู่ในประเทศนี้ แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ หรือ นิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หรือ เมืองใหญ่ นั้นคือสิ่งที่ผมกำลังเป็นห่วงและหวาดกลัวอย่างแท้จริง หากพวกเขาไม่คิดจะย้ายหนีไปประเทศอื่น ด้วยจิตวิทยาของพวกเขา ผมกลัวว่าอีก 20-30 ปีข้างหน้า พวกเขาจะกลายเป็นมนุษย์ลุงมนุษย์ป้า ที่มีความคิดไม่ต่างกับผู้ใหญ่ในตอนนี้ที่พวกเขามองว่าหัวโบราณ และ ดื้อดึง หรืออาจจะมากกว่า เสียด้วยซ้ำ
.
ทำไมผมจึงคิดว่า วัยรุ่นเหล่านั้นจึงจะกลายเป็นปัญหาของสังคมได้ เพราะในยุค 2010s นี้ มหาวิทยาลัยต่างๆ เริ่มมีอาจารย์หลายๆคน โดยเฉพาะในคณะที่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือสังคม เช่น นิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ต่างมีพฤติการณ์ที่แปลกประหลาด สอนแนวคิดตะวันตกต่างๆ สอนเรื่องต่างๆจากตะวันตกโดยมีอคติเจือปนอยู่ ประกอบกับวิถีชีวิตภายนอก ที่กำเนิดขึ้นมาในตระกูลชนชั้นกลาง ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่ และดูจะมากเกินไป รวมถึงอิทธิพลของสื่อต่างชาติ สื่อออนไลน์ ทำให้วัยรุ่นใน Generation นี้ หรือหากกล่าวให้สะดวกกว่านี้ ก็คือ นิสิตนักศึกษาในระดับปริญญาตรีไทย ยุค 2010s หรือ ยุคนี้ แตกต่างกับยุคก่อนอย่างมาก เนื่องจากการเติบโตมาอย่างดีเกินไป ปราศจากการอบรมเลี้ยงดูที่มากพอ เนื่องจากเวลาทำงานที่มากขึ้นของบุพการี และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทยใน 20 ปีที่ผ่านมา การเลี้ยงดูที่ดีเกินไปวัยเด็กของพวกเขา จึงทำให้พวกเขามีพฤติกรรมที่ค่อนข้างดื้อดึงทุกครั้งที่ถูกบังคับให้กระทำสิ่งใด และทำให้มีนิสัยความเป็นเด็กดื้อโดยพื้นฐานและปราศจากการตักเตือนสั่งสอนที่ควร เมื่อโตขึ้นมา จึงทำให้มีความก้าวร้าว มีความอยากเป็นอิสระ มีความคิดเอาแต่ใจในช่วงวัยรุ่น เน้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล และเกิดความคลั่งไคล้ในกระแสนิยม และไหลไปตามโดยง่าย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขา เกิดความคิดต่อต้านทุกสิ่งที่มองว่าไม่เข้ากับตน เมื่อพวกเขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหรือได้อ่านโพสต์ออนไลน์ของเพจบางเพจที่มีแนวคิด 'ล้ำ' ทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ต่อต้านสังคม และทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง มีแนวคิดที่นอกกรอบมากๆ แต่ที่พวกเขายังทิ้งไม่ได้ก็คือ อารมณ์ที่นำเหตุผล ทำให้พวกเขามักจะแสดงความก้าวร้าวออกมาเสมอ หรือบางทีก็มักจะประชดเก่ง แสดงกิริยาแบบที่เราๆเรียกว่า 'ปากตลาด' กันนั้นเอง
.
สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ นิสิตนักศึกษาบางคน ซึ่งอยู่ระหว่างช่วงวัยรุ่นตอนปลาย กับ วัยรุ่นตอนต้น แตกต่างกับยุคก่อนเนื่องจากเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ค่อยตักเตือนมากมายนัก หรือค่อนข้างตามใจ ทำให้พวกเขายังไม่ค่อยมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เต็มร้อย พวกเขายังนิยมใช้อารมณ์ มองเห็นว่าการกระทำต่างๆ ที่ขัดต่อศีลธรรมในสายตาผู้ใหญ่ หรือ รบกวนต่อคนส่วนใหญ่ในสังคม เป็นสิทธิเสรีภาพของพวกเขา เช่น การมี sex ในวัยเรียน การแต่งตัววาบหวิว การรณรงค์ยกเลิกกฎระเบียบทรงผม หรือรวมไปถึง การทิ้งขยะไม่เป็นที่ ซึ่งพวกเขา เลือกที่จะตอบโต้มันด้วยอารมณ์ ปราศจากเหตุผล และบางครั้ง มักตามท้ายด้วยการพาดพิงประเทศชาติหรือสังคม หรือ คนในสังคมอยู่เสมอ และด้วยค่านิยมของการใช้ทวิตเตอร์ ด้วยเหตุผลว่า 'หนีพ่อแม่ หนีผู้ใหญ่ มาแสดงตัวตนจริงกัน' จึงทำให้ทวิตเตอร์ กลายสภาพจากห้องสื่อสารสาธารณะ กลายเป็น ห้องระบายความคิด หรือกลายเป็นเพียงไดอารี่สาธารณะไปแล้ว และในเวลานี้ มันก็กลายเป็นห้องแสดงการต่อต้านรัฐบาลไปแล้ว
.
การแสดงความคิดเห็นต่อรัฐบาล แม้จะไม่ผิดครรลองตามประชาธิปไตย ไม่ผิดวิถีในการอยู่สังคม แต่ในระยะเวลาที่ผ่านมา ชาวทวิตเตอร์ที่ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับศิลปินหรือแฟนหนังต่างชาติ ได้แสดงความไม่พอใจต่อรัฐบาลเป็นอย่างมาก ถึงขั้นรุมประณามกันอย่างรุนแรง ถึงกับปั่นแท็กคนอยากเลือกตั้ง จนกระทั่งตอนนี้ ขึ้นมาถึง 1 ล้านทวิตแล้ว โดยจุดมุ่งหมายในปัจจุบัน เพราะต้องการอยากให้ต่างชาติ หรือ องค์การสหประชาชาติ ได้เห็นสิ่งที่รัฐบาลทำต่อตนเอง และพยายามอยู่ต่อเนื่องโดยจุดมุ่งหมายเดียว คือ การสร้างประชาธิปไตยขึ้น และโค่นล้มรัฐบาลปัจจุบันให้ได้
.
อย่างไรก็ตาม ในหลายๆทวิต มักจะพูดเชียร์คนส่วนน้อยที่ออกมาทำหน้าที่ หรือ คิดอยากย้ายหนีไปต่างประเทศ หรือแม้กระทั่ง ดูถูกคนในชาติ เสียดสีประเทศและสังคม ซึ่งสามารถสะท้อนการเลี้ยงดูได้อีก 1 อย่างว่า สบายจนไม่กล้าแลกมาด้วยความลำบาก ซึ่งหากวัดดูจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ที่มีการแชร์การเรียนปริญญาตรีเพื่อทำงานหนักๆ จะพบว่าวัยรุ่นเหล่านี้ นิยมเชียร์กันเป็นจำนวนมาก และถึงกับมองเห็นความสะดวกสบาย ซึ่งก็คงไม่แปลกนักกับวิถีชีวิตความเป็นจริง ที่ว่า แม้เศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ก็ยังไปกินชาบู ไปกินร้านอาหาร ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือกระทำสิ่งใดต่อไปได้ในเวลาที่ไม่ได้คิดถึงความลำบากที่คิดว่ากำลังจะมาหาตัว บางครั้งก็ถึงกับทวิตแสดงความกังวลเกินเหตุ บางครั้งก็ทวิตโกหกว่าตัวเองกำลังจะลำบาก บางครั้งก็เกิดความกังวลใจเรื่องรายได้พ่อแม่ตัวเอง (จากที่ซื้อขนมได้ 2 ลัง กลายเป็น 1 ลัง) ทั้งหมดจึงถูกมองว่า เกิดจากการกลัวความลำบากนั้นเอง (แม้บางส่วนจะอ้างว่าเป็นห่วงประเทศหรือสังคมก็ตาม)
.
สรุปโดยคำถามก็คือ พวกเขา (วัยรุ่นที่ผมกล่าวถึงในย่อหน้าบนๆ) เมื่อแก่ตัวไปจะมีชีวิตสุขสบายหรือไม่? พวกเขาจะสามารถหางานที่ถูกใจได้หรือไม่? และพวกเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้หรือไม่? แต่จะว่าผู้ใหญ่ที่พวกเขาเกลียดถูกอย่างเดียวก็คงไม่แปลกนึก เพราะผู้ใหญ่เหล่านั้น ก็ล้วนเคยผ่านการอบรมที่เข้มงวดเกินไปจนกลายเป็นจริตจก้านที่ต้องระบายความเข้มงวดออกมานั้นเอง แต่สำหรับวัยรุ่นยุคนี้ ที่แน่ๆ หากพวกเขาแก่ตัวไป พยายามเรียกร้องเพียงเพื่อความสบายของตนเองโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น และอาศัยสิทธิเสรีภาพ อาศัยความเป็นส่วนตัว ใช้ไทยคำอังกฤษคำ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อความสบายของตนเอง (ยกเว้นต้องลำบากกาย) เขาอาจจะถูกคนรุ่นหลังรังเกียจไม่ต่างกับผู้ใหญ่ที่เขาเคยรังเกียจก็เป็นได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่