พระสุวิทย์(พุทธอิสระ) นั้น มีอุดมการณ์อย่างหนึ่งได้เคยประกาศออกมา ที่ชาวพุทธเถรวาทบ้านเราอาจจะไม่คุ้นชินนัก นั่นคือการประกาศ “ปรารถนาพุทธภูมิ” จึงขอเท้าความเกี่ยวกับอุดมการณ์ในพุทธศาสนาเสียหน่อย
อุดมการณ์อันนี้ ชาวพุทธมหายานนั้น เขาคุ้นเคยมากกว่า นั่นคือ แนวทางของพระโพธิสัตว์ เพื่อบำเพ็ญบารมี ช่วยเหลือมนุษย์ที่เดือดร้อน สะสมบารมีเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอีกหลายอสงไขย เรียกว่า“พุทธภูมิ”
ข้อความเด็ด ที่ชาวมหายานพูดกันบ่อยๆ ที่ทำให้เห็นภาพแนวคิดนี้ เช่น
“หากนรกไม่ว่าง ไม่เข้านิพพาน”
“หากเราไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก”
ในขณะที่เถรวาท มักคุ้นเคยแนวทาง สาวกภูมิมากกว่า นั่นคือปรารถนาการเป็น “พระอรหันต์” คือเป็นสาวก ปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อทำตัวเองให้รู้แจ้ง และบรรลุส่วนตน
เรียกได้ว่า “กระทำตนให้รู้แจ้ง จึงสั่งสอนผู้อื่น”
“ผู้ท่องไปผู้เดียว ดุจนอแรดเปลี่ยว”
ภาพ: พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ผู้ตั้งปณิธาน “หากนรกไม่ว่าง ไม่เข้านิพพาน”
ทั้งนี้พุทธศาสนิกชนทั้งสองนิกายนั้น ต่างมีอุดมการณ์ทั้งสองอย่าง ปะปนกันมากน้อยกันไป
ชาวมหายานเอง เน้นแนวทางโพธิสัตว์ แต่ก็มีบางส่วนที่เน้นขัดเกลาตนเพื่อรู้แจ้ง ยกตัวอย่างเช่น นิกายเซ็น
ในขณะที่ชาวเถรวาท ที่เน้นแนวทางสาวก เราก็ยังเห็นว่าพระหลายรูป ก็ดำรงตนดุจโพธิสัตว์เช่นกัน บางรูปก็เน้นคลุกคลีช่วยเหลือชาวบ้าน มากกว่าเน้นปฏิบัติธรรม ที่เราเรียกว่า พระนักพัฒนา หรือจนกระทั่งประกาศตนปรารถนาพุทธภูมิเลยก็มี
ทั้งสองแนวทาง ก็มีความเหมาะสมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ผู้นับถือแนวทางโพธิสัตว์ ย่อมถือว่า เขาช่วยเหลือมนุษย์ได้มากกว่า จึงเรียกว่า “มหายาน” คือยานอันใหญ่ และเรียกเหล่าอุดมการณ์สาวก ว่า “หินยาน” คือ ยานอันต่ำกว่า
และผู้ถืออุดมการณ์สาวก ย่อมถือว่า เขาปฏิบัติตรง มีแนวทางอันแน่นอน จึงเรียกตนว่า “เถรวาท” คือคำสอนของพระเถระผู้เป็นสายตรงจากพุทธโอวาท และเรียกเหล่า ผู้นับถือแนวทางโพธิสัตว์ ว่า “อาจาริยวาท” คือ คำสอนอันแล้วแต่อาจารย์ของตนจะสอนไปเรื่อย
ภาพ : สุขาวดีพุทธเกษตร ในนิกายสุขาวดีนั้นเชื่อว่า เพียงท่องบ่นนามพระอมิตาภะ ตายไปย่อมบังเกิดในสุขาวดีพุทธเกษตร
เถรวาท จึงดูเหมือนไม่เปิดกว้างเท่าไร เน้นพระวินัยเคร่งครัด
ส่วนมหายานเมื่อต้องช่วยเหลือคนหมู่มาก พระวินัยและศีลจึงต้องย่อหย่อนลง เพื่อให้เอื้อกับการปฏิบัติภารกิจ
ก็เห็นตัวอย่างภิกษุในนิกายมหายานบางสำนัก ที่ย่อหย่อนวินัยลง เพื่อจะได้ช่วยเหลือคนได้มากขึ้น เรียกว่าขอรับแค่ “โพธิสัตว์ศีล” ก็พอ บางนิกายถึงขั้นไม่ต้องดำรงพรหมจรรย์ บางนิกายถึงขั้นเลยเถิด อนุญาตสามารถทำร้ายผู้คนได้หากคิดว่าเขาเป็นคนชั่วร้าย เพื่อจะได้ช่วยเหลือคนหมู่มาก
ภาพ : พระภิกษุนิกายเทนได ดำรงสถานะ “พระนักรบ” ภายหลังถูกกวาดล้างเผาอารามทั้งภูเขา
ทีนี้มาถึงกรณีพระสุวิทย์นั้น
พฤติการณ์ท่าน ชัดเจนว่า เน้นช่วยเหลือผู้คนที่นับถือท่าน และประกาศปรารถนาพุทธภูมิ ช่างคลับคล้ายไปหนทางแห่งพระโพธิสัตว์
กรณีพระสุวิทย์นั้น ได้ประกาศช่วยเหลือผู้คนชัดเจน ผู้คนที่ได้รับความช่วยเหลือนั้น จึงเคารพนับถือมากมาย มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ กระทั่งท่านนายกฯ และเหล่าทหารยศสูงๆ ก็ยังเคยกราบไหว้
แต่พฤติกรรมของเขา ก็มีความหมิ่นเหม่
**เลือกที่จะช่วยเหลือผู้คนก็จริง แต่กลับฝ่ายตรงข้ามก็ยังสามารถปะทะทำร้ายร่างกายกันได้
**เมื่อต้องออกช่วยเหลือคน ก็ย่อหย่อนพระวินัย ทั้งข้อใหญ่ เช่น ใช้ให้เขาทำร้ายผู้คนในการชุมนุม เรียกร้องทรัพย์สินจากโรงแรม ปลอมแปลงพระปรมาภิไธย
หรือข้อเล็กๆน้อยๆ ดังเห็นจากภาพต่างๆ เช่น ทำกับข้าว ปลูกผัก ปลุกเสกพระเครื่องโดยใช้เลือด ล่าสุดในการจับกุมก็เห็นว่าเขา นั่งนอนบนเตียงสี่เสาสูงใหญ่ ที่มิใช่ที่นอนที่เหมาะสมกับสมณเพศ
ภาพข่าว :



สังสารวัฎนี้ ขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยเภทภัย
หากท่านช่วยเหลือเหล่านักล่า แปลว่าเหล่าเหยื่อย่อมเป็นอันตราย แต่หากท่านเลือกจะช่วยเหลือสัตว์ที่เป็นเหยื่อ เหล่านักล่าก็ต้องอดตาย
ศีลและพระวินัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ออกแบบมาเพื่อคุ้มภัยเหล่านั้น เพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญบารมีได้อย่างปลอดภัย เมื่อเลือกที่จะละเมิดศีลและวินัยแล้ว ย่อมแปลว่า จะต้องถูก “ภัยแห่งสังสารวัฏ” เล่นงานเอาแน่นอน
ว่ากันว่า การบำเพ็ญบารมีของพระศากยมุนีพุทธนั้น ช่วงเวลาหลายอสงไขย หลายมหากัป ผ่านการลงนรกมากมายนับไม่วน การลงนรก อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของหนทางสู่พุทธภูมิหรือเปล่า เราไม่อาจทราบได้
ภาพสังสารวัฏของนิกายวัชรยาน
แต่เราควรจะรู้ฐานะของตนให้ดี หากจะเป็นบรรพชิต เลือกที่จะนุ่งผ้าเหลืองเป็นเครื่องคุ้มภัยวัฎสงสาร ก็ควรจะต้องดำรงศีลวินัยเคร่งครัด ไม่ควรทำตัวแบบคฤหัสถ์ชาวบ้านร้านตลาด
หากช่วยเหลือผู้คนด้วยกลวิธีต่างๆ ด้วยวิธีการอย่างชาวบ้าน ที่ไม่สามารถดำรงพระวินัยไว้ได้ ก็ควรจะออกมาเป็นชาวบ้านธรรมดาแล้วช่วยเหลือผู้คนไปตามกำลัง เช่น ถ้าอยากเล่นการเมือง ก็มาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง
แต่สิ่งที่เห็นคือ ก็อยากจะช่วยเหลือผู้คนด้วยกลวิธีมากมาก จึงต้องทำตัวไม่ต่างกับชาวบ้านธรรมดา แต่ก็อยากใช้ผ้าเหลืองคุ้มตัวเองด้วย
คือเอาแต่จะได้อย่างเดียว เมื่อทำตัวแบบนี้ ก็เรียกว่า เอาเปรียบชาวบ้าน แถมยังทำพระวินัยเสื่อมเสีย
เรื่องนี้ไม่ใช่แต่พระสุวิทย์อย่างเดียวหรอก
ท่านเจ้าคุณทั้งหลายที่โดนออกหมายจับนี้ ก็ด้วยว่าบวชเป็นพระ แต่ยังทำตัวเหมือนชาวบ้าน ถือเงินถือทอง ถืออำนาจวาสนา
พอไม่สามารถดำรงพระวินัยไว้ได้ อันเป็นเครื่องคุ้มภัยอย่างดีแล้ว มันเป็นธรรมดาที่ สังสารวัฏจะเล่นงานเอาด้วยเภทภัยต่างๆนานา
ดังนั้นไม่ว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือจะเป็นสาวกนั้น
สิ่งที่ควรจะทำนั้น ควรจะ “ซื่อตรงต่ออุดมการณ์ของตน”
วิเคราะห์พฤติการณ์และอุดมการณ์ของพระสุวิทย์(พุทธอิสระ) ว่าด้วยการปรารถนาพุทธภูมิ
อุดมการณ์อันนี้ ชาวพุทธมหายานนั้น เขาคุ้นเคยมากกว่า นั่นคือ แนวทางของพระโพธิสัตว์ เพื่อบำเพ็ญบารมี ช่วยเหลือมนุษย์ที่เดือดร้อน สะสมบารมีเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอีกหลายอสงไขย เรียกว่า“พุทธภูมิ”
ข้อความเด็ด ที่ชาวมหายานพูดกันบ่อยๆ ที่ทำให้เห็นภาพแนวคิดนี้ เช่น
“หากนรกไม่ว่าง ไม่เข้านิพพาน”
“หากเราไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก”
ในขณะที่เถรวาท มักคุ้นเคยแนวทาง สาวกภูมิมากกว่า นั่นคือปรารถนาการเป็น “พระอรหันต์” คือเป็นสาวก ปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อทำตัวเองให้รู้แจ้ง และบรรลุส่วนตน
เรียกได้ว่า “กระทำตนให้รู้แจ้ง จึงสั่งสอนผู้อื่น”
“ผู้ท่องไปผู้เดียว ดุจนอแรดเปลี่ยว”
ภาพ: พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ผู้ตั้งปณิธาน “หากนรกไม่ว่าง ไม่เข้านิพพาน”
ทั้งนี้พุทธศาสนิกชนทั้งสองนิกายนั้น ต่างมีอุดมการณ์ทั้งสองอย่าง ปะปนกันมากน้อยกันไป
ชาวมหายานเอง เน้นแนวทางโพธิสัตว์ แต่ก็มีบางส่วนที่เน้นขัดเกลาตนเพื่อรู้แจ้ง ยกตัวอย่างเช่น นิกายเซ็น
ในขณะที่ชาวเถรวาท ที่เน้นแนวทางสาวก เราก็ยังเห็นว่าพระหลายรูป ก็ดำรงตนดุจโพธิสัตว์เช่นกัน บางรูปก็เน้นคลุกคลีช่วยเหลือชาวบ้าน มากกว่าเน้นปฏิบัติธรรม ที่เราเรียกว่า พระนักพัฒนา หรือจนกระทั่งประกาศตนปรารถนาพุทธภูมิเลยก็มี
ทั้งสองแนวทาง ก็มีความเหมาะสมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ผู้นับถือแนวทางโพธิสัตว์ ย่อมถือว่า เขาช่วยเหลือมนุษย์ได้มากกว่า จึงเรียกว่า “มหายาน” คือยานอันใหญ่ และเรียกเหล่าอุดมการณ์สาวก ว่า “หินยาน” คือ ยานอันต่ำกว่า
และผู้ถืออุดมการณ์สาวก ย่อมถือว่า เขาปฏิบัติตรง มีแนวทางอันแน่นอน จึงเรียกตนว่า “เถรวาท” คือคำสอนของพระเถระผู้เป็นสายตรงจากพุทธโอวาท และเรียกเหล่า ผู้นับถือแนวทางโพธิสัตว์ ว่า “อาจาริยวาท” คือ คำสอนอันแล้วแต่อาจารย์ของตนจะสอนไปเรื่อย
ภาพ : สุขาวดีพุทธเกษตร ในนิกายสุขาวดีนั้นเชื่อว่า เพียงท่องบ่นนามพระอมิตาภะ ตายไปย่อมบังเกิดในสุขาวดีพุทธเกษตร
เถรวาท จึงดูเหมือนไม่เปิดกว้างเท่าไร เน้นพระวินัยเคร่งครัด
ส่วนมหายานเมื่อต้องช่วยเหลือคนหมู่มาก พระวินัยและศีลจึงต้องย่อหย่อนลง เพื่อให้เอื้อกับการปฏิบัติภารกิจ
ก็เห็นตัวอย่างภิกษุในนิกายมหายานบางสำนัก ที่ย่อหย่อนวินัยลง เพื่อจะได้ช่วยเหลือคนได้มากขึ้น เรียกว่าขอรับแค่ “โพธิสัตว์ศีล” ก็พอ บางนิกายถึงขั้นไม่ต้องดำรงพรหมจรรย์ บางนิกายถึงขั้นเลยเถิด อนุญาตสามารถทำร้ายผู้คนได้หากคิดว่าเขาเป็นคนชั่วร้าย เพื่อจะได้ช่วยเหลือคนหมู่มาก
ภาพ : พระภิกษุนิกายเทนได ดำรงสถานะ “พระนักรบ” ภายหลังถูกกวาดล้างเผาอารามทั้งภูเขา
ทีนี้มาถึงกรณีพระสุวิทย์นั้น
พฤติการณ์ท่าน ชัดเจนว่า เน้นช่วยเหลือผู้คนที่นับถือท่าน และประกาศปรารถนาพุทธภูมิ ช่างคลับคล้ายไปหนทางแห่งพระโพธิสัตว์
กรณีพระสุวิทย์นั้น ได้ประกาศช่วยเหลือผู้คนชัดเจน ผู้คนที่ได้รับความช่วยเหลือนั้น จึงเคารพนับถือมากมาย มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ กระทั่งท่านนายกฯ และเหล่าทหารยศสูงๆ ก็ยังเคยกราบไหว้
แต่พฤติกรรมของเขา ก็มีความหมิ่นเหม่
**เลือกที่จะช่วยเหลือผู้คนก็จริง แต่กลับฝ่ายตรงข้ามก็ยังสามารถปะทะทำร้ายร่างกายกันได้
**เมื่อต้องออกช่วยเหลือคน ก็ย่อหย่อนพระวินัย ทั้งข้อใหญ่ เช่น ใช้ให้เขาทำร้ายผู้คนในการชุมนุม เรียกร้องทรัพย์สินจากโรงแรม ปลอมแปลงพระปรมาภิไธย
หรือข้อเล็กๆน้อยๆ ดังเห็นจากภาพต่างๆ เช่น ทำกับข้าว ปลูกผัก ปลุกเสกพระเครื่องโดยใช้เลือด ล่าสุดในการจับกุมก็เห็นว่าเขา นั่งนอนบนเตียงสี่เสาสูงใหญ่ ที่มิใช่ที่นอนที่เหมาะสมกับสมณเพศ
ภาพข่าว :
สังสารวัฎนี้ ขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยเภทภัย
หากท่านช่วยเหลือเหล่านักล่า แปลว่าเหล่าเหยื่อย่อมเป็นอันตราย แต่หากท่านเลือกจะช่วยเหลือสัตว์ที่เป็นเหยื่อ เหล่านักล่าก็ต้องอดตาย
ศีลและพระวินัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ออกแบบมาเพื่อคุ้มภัยเหล่านั้น เพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญบารมีได้อย่างปลอดภัย เมื่อเลือกที่จะละเมิดศีลและวินัยแล้ว ย่อมแปลว่า จะต้องถูก “ภัยแห่งสังสารวัฏ” เล่นงานเอาแน่นอน
ว่ากันว่า การบำเพ็ญบารมีของพระศากยมุนีพุทธนั้น ช่วงเวลาหลายอสงไขย หลายมหากัป ผ่านการลงนรกมากมายนับไม่วน การลงนรก อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของหนทางสู่พุทธภูมิหรือเปล่า เราไม่อาจทราบได้
ภาพสังสารวัฏของนิกายวัชรยาน
แต่เราควรจะรู้ฐานะของตนให้ดี หากจะเป็นบรรพชิต เลือกที่จะนุ่งผ้าเหลืองเป็นเครื่องคุ้มภัยวัฎสงสาร ก็ควรจะต้องดำรงศีลวินัยเคร่งครัด ไม่ควรทำตัวแบบคฤหัสถ์ชาวบ้านร้านตลาด
หากช่วยเหลือผู้คนด้วยกลวิธีต่างๆ ด้วยวิธีการอย่างชาวบ้าน ที่ไม่สามารถดำรงพระวินัยไว้ได้ ก็ควรจะออกมาเป็นชาวบ้านธรรมดาแล้วช่วยเหลือผู้คนไปตามกำลัง เช่น ถ้าอยากเล่นการเมือง ก็มาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง
แต่สิ่งที่เห็นคือ ก็อยากจะช่วยเหลือผู้คนด้วยกลวิธีมากมาก จึงต้องทำตัวไม่ต่างกับชาวบ้านธรรมดา แต่ก็อยากใช้ผ้าเหลืองคุ้มตัวเองด้วย
คือเอาแต่จะได้อย่างเดียว เมื่อทำตัวแบบนี้ ก็เรียกว่า เอาเปรียบชาวบ้าน แถมยังทำพระวินัยเสื่อมเสีย
เรื่องนี้ไม่ใช่แต่พระสุวิทย์อย่างเดียวหรอก
ท่านเจ้าคุณทั้งหลายที่โดนออกหมายจับนี้ ก็ด้วยว่าบวชเป็นพระ แต่ยังทำตัวเหมือนชาวบ้าน ถือเงินถือทอง ถืออำนาจวาสนา
พอไม่สามารถดำรงพระวินัยไว้ได้ อันเป็นเครื่องคุ้มภัยอย่างดีแล้ว มันเป็นธรรมดาที่ สังสารวัฏจะเล่นงานเอาด้วยเภทภัยต่างๆนานา
ดังนั้นไม่ว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือจะเป็นสาวกนั้น
สิ่งที่ควรจะทำนั้น ควรจะ “ซื่อตรงต่ออุดมการณ์ของตน”