แก้ปัญหาน้ำม้นแพงตามเด็ก ป 3 ได้จริงหรือ

รู้แล้วจะอึ้ง! เด็ก ป.3 เสนอวิธีแก้ปัญหาน้ำมันแพงหูฉี่

https://mgronline.com/south/detail/9610000051312

เด็กนักเรียน ป.3 ให้คำตอบที่ยอดเยี่ยมมากๆ “ประเทศไทยไม่ต้องขุดน้ำมัน หรือผลิตน้ำมันเอง แต่ให้ไปซื้อน้ำมันจากประเทศมาเลเชียลิตรละ 17 บาท เพื่อนำมาขายให้ประชาชนคนไทยลิตรละ 20 บาท ก็ได้กำไรเยอะแยะแล้ว ประชาชนคนไทยได้ใช้น้ำราคาถูกกว่าเดิมด้วย สามารถแก้ปัญหาน้ำมันเถื่อนได้ด้วย”

..............................................
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ผู้ใหญ่ที่ทำเป็นไม่รู้ เอามาประชด เพื่อหวังผล น่าอายกว่าเยอะ
ความคิดเห็นที่ 9
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/635957
ข้างล่างสำหรับคนขี้เกียจกดเข้าลิงค์











ราคาน้ำมันไทยกับมาเลเซีย “ความเหมือนที่แตกต่าง”
ราคาน้ำมันหน้าปั๊มของประเทศมาเลเซีย เป็นตัวอย่างที่ถูกหยิบขึ้นมาเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันหน้าปั๊ม

ของประเทศไทยเสมอ เนื่องจากราคาน้ำมันหน้าปั๊มของไทยนั้น แพงกว่ามาเลเซีย จึงนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์กันไปอย่างแพร่หลายว่า ประชาชนคนไทยถูกเอาเปรียบหรือไม่ บริษัทน้ำมันค้ากำไรเกินควรหรือไม่ วันนี้ผมจึงเขียนให้ข้อมูลเพื่อพิจารณาถึงโครงสร้างราคาน้ำมันของทั้งสองประเทศครับ

วันที่ผมเริ่มเขียนบทความนี้ในวันที่ 14 ตุลาคม 2558 ผมได้ใช้ข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนในวันนั้นประกอบกับข้อมูลโครงสร้างราคาน้ำมันของประเทศไทย จากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.) และข้อมูลราคาน้ำมันของประเทศมาเลเซีย จากราคาประกาศหน้าปั๊มประจำเดือน กับโครงสร้างค่าการตลาดจาก The Economic Transformation Programme (ETP)of Malaysia ซึ่งจะมีอัตราประมาณลิตรละ 2.27 บาท เป็นอัตราคงที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงมาหลายปีแล้ว ส่วนราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นฯ เป็นราคาน้ำมันจากตลาดกลางสิงคโปร์ (MOPS) บวกค่าพรีเมียม (ในประเทศมาเลเซียเรียกว่า Alpha) ซึ่งคล้ายๆ สูตรคิดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นฯ ของประเทศไทย

ผมขอเปรียบเทียบราคาน้ำมันกลุ่ม “เบนซิน 95” ในวันที่ 14 ตุลาคม 2558 ได้แก่ เบนซิน 95 (ULG) แก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ของประเทศไทยกับเบนซิน 95 (RON 95) ของประเทศมาเลเซียมาเทียบกันนะครับ โดยราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น เบนซิน 95 ของไทยลิตรละ 15.69 บาท แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 16.95 บาท ส่วนเบนซิน 95 ของมาเลเซียลิตรละ 15.13 บาท จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นฯ ของทั้งสองประเทศใกล้เคียงกันมาก

ราคาหน้าโรงกลั่นฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 ของไทยแพงกว่ามาเลเซียเล็กน้อย ประมาณลิตรละ 50 สตางค์ จากคุณภาพน้ำมันของไทย (ยูโร 4) สูงกว่ามาเลเซีย (ยูโร 2) และผลของอัตราแลกเปลี่ยนเล็กน้อย ราคาเนื้อน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 แพงกว่าน้ำมันเบนซิน 95 เล็กน้อย ก็เพราะส่วนผสมที่เป็นเอทานอลมีราคาสูงกว่า โดยมีราคาลิตรละ 26.33 บาท ค่าการตลาดในส่วนของแก๊สโซฮอล์ 95 กับเบนซิน 95 ของมาเลเซียแทบไม่ต่างกัน ประมาณลิตรละ 2.25-2.27 บาท แต่เบนซิน 95 ของไทยค่าการตลาดจะแพงกว่านิดหน่อย เพราะหัวจ่ายน้อย มีปริมาณการใช้น้อย ทำให้ต้นทุนการดำเนินการต่อหน่วยสูงกว่า

ส่วนราคาขายปลีกหน้าปั๊มของไทยนั้น น้ำมันเบนซิน 95 จะแพงที่สุด ที่ราคาลิตรละ 33.76 บาท สาเหตุหลักก็คือ รัฐเก็บภาษีและกองทุนฯ เพิ่มเติมถึงลิตรละ 14.77 บาท สำหรับแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ลิตรละ 26.80 บาท เพราะรัฐจัดเก็บภาษีฯและกองทุนฯเพิ่มเติมอีกลิตรละ 7.60 บาท แต่เก็บน้อยกว่าเบนซิน 95 เพราะนโยบายรัฐที่สนับสนุนพลังงานทดแทน

ขณะที่ปั๊มน้ำมันของมาเลเซียมีราคาน้ำมันเบนซิน 95 ขายปลีกลิตรละ 17.40 บาท (RM 2.05) ซึ่งมีราคาถูกกว่าของไทย เพราะรัฐบาลมาเลเซียไม่เก็บภาษีเลย ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศส่งออกพลังงานสุทธิ และเป็นประเทศส่งออก LNG รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ทำให้รัฐมีรายได้มาก ก่อนหน้านี้ในแต่ละปีประเทศมาเลเซียเคยเอางบประมาณหลายแสนล้านบาท ไปช่วยอุดหนุนหรือจ่ายค่าน้ำมันบางส่วนให้ เพื่อควบคุมให้ราคาน้ำมันอยู่ในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้มีการใช้น้ำมันอย่างฟุ่มเฟือย แทนที่จะเก็บภาษีน้ำมันมาเป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ

แต่ต่อมาทางรัฐบาลมาเลเซีย อาศัยจังหวะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก ในการทยอยลดการอุดหนุนราคาน้ำมันลง และในที่สุดก็ได้ยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 และเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัวราคาน้ำมันตามตลาดโลก โดยจะพิจารณาปรับราคาเป็นรายเดือน เพราะต้องการนำงบประมาณส่วนนี้ไปพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ และส่งเสริมให้ประชาชนประหยัดน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย แต่ยังไม่เก็บภาษีสินค้าและบริการ (GST) เพิ่มเติมในน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล แต่สำหรับน้ำมันเบนซิน 97 ได้มีการเก็บภาษี GST ในอัตราร้อยละ 6 มาสักระยะแล้ว

ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิ แต่ละปีมีการนำเข้าพลังงานสุทธิถึงมากกว่าหนึ่งล้านล้านบาท โดยส่วนมากประเทศผู้นำเข้าน้ำมันจะมีมาตรการประหยัดพลังงาน และสนับสนุนพลังงานทดแทน ที่ได้จากภาคการเกษตรในประเทศ จึงมีการเก็บภาษีส่วนเพิ่มแทน แต่เดิมภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงจะใช้หลักการแบบ Road Tax แปลง่ายๆ ว่า "ภาษีถนน" คือเป็นเงินเอาไว้ใช้สร้างถนน บำรุงรักษาถนน เพราะคนใช้น้ำมันก็คือคนใช้รถใช้ถนนนั่นเอง ก็ควรจะต้องรับผิดชอบภาระตรงส่วนนี้

แต่ปัจจุบันรัฐใช้กลไกทางภาษีร่วมกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นเครื่องมือในการสร้างส่วนต่างของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนคนไทยหันมาใช้พลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ E10 E20 E85เพราะเอทานอลที่เป็นส่วนผสมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์เราสามารถผลิตได้เองภายในประเทศ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าน้ำมันเบนซิน 95 มีการเก็บภาษีและกองทุนน้ำมันสูงมากถึงลิตรละ 14.77 บาท เพราะรัฐไม่สนับสนุนให้ใช้ เพื่อต้องการลดการนำเข้าเนื้อน้ำมัน และลดการนำเข้าสาร Methyl Tertiary Butyl Ether หรือ MTBE ที่ใช้ในการเพิ่มค่าออกเทนในน้ำมันเบนซิน 95 ด้วยนั่นเอง

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าบริษัทน้ำมันไม่ได้ประโยชน์อะไรจากภาษีและกองทุนน้ำมัน ที่เป็นส่วนเพิ่มจากราคาเนื้อน้ำมันและค่าการตลาด เพราะทั้งภาษีและกองทุนน้ำมันนั้น เป็นเครื่องมือของรัฐในการควบคุมการใช้และอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ ให้เป็นไปตามนโยบายทางด้านพลังงานในเวลานั้นๆ รวมถึงการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ

ถ้าพิจารณาที่ตัวเนื้อน้ำมันหน้าโรงกลั่นฯ ล้วนๆ และค่าการตลาดจะเห็นได้ว่าร าคาน้ำมันของทั้งไทยและมาเลเซียมี “ความเหมือน” ที่แทบจะไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่ที่ราคาขายปลีกต่างกัน เพราะอัตราการจัดเก็บภาษีฯและกองทุนฯ “ที่แตกต่าง” กันครับ

ถ้ามีคำถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศไทยจะขายน้ำมันราคาเดียวกับมาเลเซียบ้าง โดยตามหลักทฤษฎีแล้วทำได้ง่ายนิดเดียว ก็คือ ไม่ต้องเก็บภาษีและกองทุนน้ำมันเลย แต่ในทางปฏิบัติถ้าใช้วิธีดังกล่าว ก็จะนำไปสู่การสูญเสียงบประมาณในการพัฒนาประเทศโดยไม่จำเป็น พลังงานทดแทนก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป ขาดแรงจูงใจให้ประชาชนใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันและลดการสูญเสียเงินตราไปต่างประเทศ รวมถึงราคาน้ำมันหน้าปั๊มจะผันผวนตามราคาน้ำมันในตลาดโลกทุกวัน ในที่สุดเมื่อขาดกลไกที่เป็นเครื่องมือของรัฐดังกล่าว ก็จะนำไปสู่ความล้มเหลวในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยในอนาคตครับ

------------------------------

สิริวัต วิทูรกิจวานิช – วิศวกรปิโตรเลียม

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิใช่ความเห็นจากองค์กรใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่