สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ใครหลายคนคิดว่าครั้งนึงในชีวิตต้องไปเยือนให้ได้ เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่น่าเดินทางท่องเที่ยว บ้านเมืองสะอาด การคมนาคมขนส่งสะดวก มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมและเทคโนโลยี รวมไปถึงความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง เดินเที่ยวได้อย่างสบายใจ ผมเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน
......................................................
กดสับตะไคร้ และดูคลิปกันก่อนได้นะครับ
......................................................

ทริปสิงคโปร์ ครั้งนี้ เป็นการออกเดินทางต่างประเทศ คนเดียว ครั้งแรกของผม ไม่ใช่ว่าไม่มีใครคบ หรือเราไม่อยากคบใครหลอกนะครับ เพื่อนน่ะพอมีแต่เราก็ไม่อยากไปรบกวนใคร ครั้นชวนพี่สาวที่นางนั้นบินไปต่างประเทศบ่อยๆ เพราะเธอนั้นมีแฟนเป็นนักบิน แต่ก็กลับเทเรา บอกว่าไปคนเดียวได้ไปโลดดด.
ความหวาดหวันมันก็อยู่ในใจ เพราะไม่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยไปสิงคโปร์ แถมไอ้เราภาษาปากิต

แข็งแรงสะด้วย แข็งแรงถึงขนาดภาษาไทยบางครั้งยังพูดไม่รู้เรื่อง พิมพ์ผิดๆทุกๆ แต่ด้วยความโสดที่ต้องไปไหนมาไหนคนเดียวเป็นประจำ นำพาให้เรา เอาวะไปคนเดียวกะได้ ไปอยู่ในที่ ที่ไม่เคยไป วางงานสัก2-3วัน อยู่กับตัวเองบ้าง ออกไปพบเจอผู้คนต่างเชื้อชาติต่างภาษาต่างวัฒนธรรม อาจทำให้เราได้มุมมองอะไรใหม่ๆในชีวิต สักนิดบ้างละ มันอาจเป็นการพังกำแพงบางอย่างในชีวิตเราก็ได้ นี่แหละคือคำตอบว่าไปทำไมสิงคโปร์ ###เที่ยวคนเดียวภาษาไม่ใช่ปัญหา google translate ช่วยเราได้ครับ
ส่องหาดูรีวิวว่าไปสิงคโปร์ใครไปที่ไหนบ้างโน๊ตลงมือถือ จัดการเรื่องตั๋วเสร็จสรรพ ก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า เอาแค่พอดีเพราะไปแค่ 3 วัน อันตัวเราเด็กภูธรเหนือตอนล่างก็ต้องเข้ากรุงฯโดยอาศัยพี่หางแดงที่ตีตั๋วไปกลับไม่ถึงพัน ถูกกว่ารถไฟอุตราวิถีอีก จากนั้นแวะนอนพักที่คอนโดพี่สาว 1 คืน ครับ

..............................................................................

เอาเป็นว่าเรามาเริ่มกันจากตรงนี้คงมีสาระกว่า กับการเที่ยวสิงคโปร์คนเดียวครั้งแรกของผม ที่วางแผนการเที่ยวไม่ต่างจากคนอื่นสักเท่าไร เที่ยวคนเดียวสิ่งที่จำเป็นคือแผนการเดินทางครับ จะได้ไม่เสียเวลา และทริปนี้ผมแลกเงินไป 5,000 บาท แต่ตั้งใจว่าจะใช้ไม่เกิน 3,500 บาท ครับ และแล้วก็สามารถใช้ได้แบบเหลือๆ #จะสรุปค่าใช้จ่ายในตอนท้ายให้นะครับ
-ผมเลือกเดินทางวันธรรมดาครับ เพราะว่า 1.ตั๋วเครื่องบิน

ถูกจริงไรจริง 2.โรงแรมก็ถูก 3.คนไม่เยอะดี “ส่วนตัวชอบอย่างที่3” เป็นคนที่เวลาไปไหนเจอคนเยอะๆ จะเดินถอยออกมาทันที ไม่อยากแย่งเที่ยวแย่งกินกับใคร
-ผมจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอป expedia เพราะว่าผมรู้สึกว่ามันคำนวนให้เราเสร็จสรรพง่ายดี แล้วแจ็คพ๊อตก็ตกอยู่ที่สายการบิน Scoot ที่มีตั๋วไปกลับถูกที่สุด ณ เวลานั้น ผมก็เลือกเที่ยวบินขาไป ออกจากสุวรรณภูมิ 8.20 น. ขากลับออกจากชางงี สิงคโปร์ตอน 22.30 น.
-ผมเลือกพักแบบโฮสเทล เพราะราคาโรงแรมที่สิงคโปร์1ห้องราคาสูงมว้าก บ้านเขาทุกอย่างแพงดี จึงจบที่โฮสเทล ย่าน Chinatown ราคาคืนละ 560 บาทได้โปรโมชั้นจากexpedia เช่นกันครับ
-ผมเลือกกินอาหารจานเดียวแบบเน้นประหยัดดูราคาก่อนสั่งเสมอ ไม่ได้สนใจว่าอาหารจะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวหรือไม่ น้ำดื่มผมก็กรอกใส่ขวดจากที่พักและกรอกตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามจุดบริการน้ำดื่มฟรี เพราะน้ำดื่มที่นี่ราคาเริ่มที่ขวดละ 1$ หรือ 25 บาทนั่นเอง
-ผมเลือกนั่งรถไฟMRT และเดิน เดิน เดิน ครับ. ไม่เที่ยวในสถานที่ที่ต้องเสียเงิน อิอิ. แต่ ยูนิเวอร์แซล (USS) ขอหน่อยละกันครับ. ไปคนเดียวขอแหกปากคนเดียวครับ 5555+
DAY 1
ถึงวันเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิ โอ้แม่เจ้าโว้ย ฝนตกลงมาหนักมาก เอาละหว่าในใจคิด เครื่องดีเลย์แน่นอน. แต่ถึงเวลาขึ้นเครื่องพนักงานเรียกขึ้นเครื่องตรงเวลาเป๊ะ การที่ผมไปคนเดียวผมจึงไม่ได้เลือกที่นั่งไว้ ระบบสายการบินก็เลยเลือกผมไปนั่งกับพี่สาวคนไทยที่มาเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกเหมือนกัน แต่พี่เขามาเป็นแก๊งค์ ก็เลยรู้สึกโชคดีที่ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่อยู่บนเครื่อง 2ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ ก็มาถึงสนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ เวลาที่สิงคโปร์ประมาณ 12.25 น. ซึ่งScootจะส่งเราที่ terminal2 สนามบินชางงีมี 4 terminal “ขึ้นๆลงๆซ้ายขวาซ้ายขวา มีป้ายบอกครับไม่ต้องกลัวหลง มีรถไฟฟ้าบริการระหว่าง terminalด้วย”
เมื่อมาถึงก็ต้องผ่าน ตม. ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่กล่าวขานกันในเรื่องของควาทเหนียว สำหรับการตรวจคนเข้าเมือง พี่แกถามเยอะพอสมควรนะ.
เอาเป็นว่าขอแนะนำสำหรับใครที่จะเดินทางไปสิงคโปร์ ทั้งคนเดียวหรือเป็นแก๊งค์ ควรเตรียม – ใบจองตั๋วขากลับติดตัวไว้ด้วยเผื่อพี่แกจะถามหา – และหากใครมีพาสปอร์ตเล่มเก่าก็เอาติดตัวไปด้วยนะครับกันเหนียวไว้
ส่วนคำถามเขาก็ถามไม่ยากหลอกครับ อันดับแรกจะถามว่าคุณชื่อXXX ใช่ไหม? มาทำอะไร? มาคนเดียวหรือมากับใคร? มากี่วัน? ประมาณนี้แหละครับ แต่ระหว่างรอผมโคตรจะลุ้นเลยครับ เพราะ มีวัยรุ่นกลุ่มนึงคนไทยนี่แหละครับมาเที่ยว แต่ 1 คนในกลุ่มนั้น ตม.ไม่ให้ผ่านครับ ต้องไปเข้าห้องเย็นเพื่อทำประวัติ แล้วยังมีคุณลุงคนนึงผมก็คิดว่าแกน่าจะเป็นคนไทยนะ โดนพาไปห้องเย็นอีก ณ จุดๆนั้นโคตรหวาดเสียว แต่เมื่อถึงคิวผมพี่แกถามคำเดียวว่า คุณชื่อXXXใช่ไหม? ผมตอบสั้นมากครับว่า Yes. แล้วพี่แกก็ให้สแกนลายนิ้วมือเป็นอันผ่านด่าน ตม. โลงใจมาก เดินสบายๆ ไปที่สถานีรถไฟใต้ดินเพื่อเข้าเมืองกันต่อ ไปสถานีรถไฟก็ไม่ยากครับอยู่ด้านล่างสุดของสนามบิน เดินตามป้ายTrain to Cityครับ แป๊บเดียวถึงสถานี MRT Changi Airport(CG2)

เราก็ทำการซื้อตั๋วรถไฟ MRT แบบ EZ-Link ผมไม่ได้คำนึงถึงความคุ้มค่านะครับ ผมแค่ชอบรูปบนบัตรพอดีแอบเห็นของคนอื่น เลยตัดสินใจซื้อเป็นบัตร EZ-link ครับในราคา 12$ ซึ่งผมแนะนำว่า ถ้าเกิดใครมาเที่ยว 3 วันแบบต้องอาศัยรถไฟฟ้าเป็นหลักแนะนำเลือกแบบ Tourist Pass คุ้มกว่าครับ ราคาอยู่ที่ 20$ ครับ เพราะว่าอย่างตัวผมเองใช้EZ-linkไป 2 วัน ก็ต้องเติมเงินเพิ่มอีก 10$ เนื่องจากว่าถ้าเงินในบัตรของเราน้อยกว่า 3$ มันจะใช้ไม่ได้ครับ แต่ไอ้เจ้าบัตรSingapore Tourist Pass มันไม่สามารถซื้อของใน7-11 ได้ และไม่สามารถใช้ได้กับขนส่งมวลชนบางประเภท แต่มันสามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้ไม่จำกัดครับ
เมื่อได้บัตรEZ-Linkแล้วเราก็เดินทางเข้าเมืองกันเลยครับ ซึ่งเราจะต้องเปลี่ยนขบวนรถที่สถานี Tanah Merah(EW4) ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ แค่เดินลงมาแล้วยืนรอ ที่บริเวณ platform2เพื่อเข้าเมืองตามเส้นทางสายสีเขียว โดยผมจะไปลงที่สถานี Tanjong Pagar เพื่อไปหาข้าวกินแถว Maxwell Food Center ซึ่งอยู่ติดกับSingapore City Gallery และอยู่ห่างจากสถานีรถไฟMRTเพียง 300 เมตร

ที่ Maxwell Food Centre มีอาหารหลากหลายนานาชนิดให้เลือกกิน มีร้านข้าวมันไก่ดังๆจำนวนหลายร้านซึ่งถ้ามาตอนเที่ยงคาดว่าคนจะเยอะ แต่โชคดีหรือเป็นความตั้งใจที่ผมมาถึงที่ศูนย์อาหารตอนเวลาบ่าย2โมง คนก็จะไม่มากเท่าไหร่ อย่างที่บอกผมไม่ค่อยชอบอะไรที่คนเยอะๆ เห็นร้านข้าวมันไก่อยู่ร้านหนึ่ง ชื่อ Heng Heng Hainanese Chicken rice จึงเดินเข้าไปสั่งข้าวมันไก่ 1 ชุดราคา 5 เหรียญ เมื่อพ่อค้าสับไก่มาใส่จาน ผมถึงขั้นอุทานเป็นภาษาไทยว่า จะxxxหมดไหม! พ่อค้าเห็นเราเป็นคนไทยก็พูดไทยใส่เราเลยว่า กินให้อร่อยนะ. ไทยมาเราก็ไทยกลับ ขอบคุณครับ พร้อมยกมือไหว้ตามสไตล์คนไทยครับ. จากนั้นผมก็เดินหาที่นั่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านมากคุณลุงคนขายก็เดินตามผมมาพร้อมหยิบไข่ต้ม 1 ฟองยื่นมาให้แล้วบอกผมว่า ฟรี! ผมก็คิดในใจน่าว่ายังเยอะไม่พอเหรอครับ จะแxxหมดไหมเนี่ย!
ข้าวมันไก่ของคุณลุงเนื้อแน่นนุ่มชุ่มมาด้วยผมคิดว่าน่าจะเป็นน้ำปรุงอะไรสักอย่าง แล้วมีน้ำจิ้ม มาให้ด้วย 2 แบบ แบบเปรี้ยวเผ็ดกับหวานเผ็ด ผมว่าอร่อยทั้งสองอย่าง ส่วนข้าวมันก็มาแบบเรียงเม็ดน้ำซุปรสชาติใช้ได้ผมชอบ บอกเลยว่าผมใช้เวลาอยู่ตรงนี้เกือบ 30 นาทีเพราะว่ามันเยอะมากสำหรับคนคนเดียว และน้ำเปล่าในศูนย์อาหารผมถือว่าถูกนะ ขวดละ 1$ เท่านั้นเอง ผมเลยซื้อมาและเจ็บขวดไว้ใช้ตลอดทั้งทริปเลย.
ที่นี่ผมชอบอาม่าที่คอย เก็บถ้วยชามทำความสะอาดโต๊ะ เพราะอาม่าทำงานไปยิ้มไป แล้วก็เก็บทำความสะอาดได้เร็วมาก น่ารักเห็นแล้วคิดถึงคุณย่าที่บ้าน
เมื่อกินข้าวเที่ยงจนอิ่มหนำสำราญ ข้าวมันไก่เต็มท้องเหงื่อก็เริ่มออก ผมก็เลยเดินไปที่ตึกด้านข้าง ป้ายเขียนว่า Singapore City Gallery โดยด้านล่างก็จะเป็น แผนที่ประเทศสิงคโปร์ทั้งหมดแต่เมื่อเดินมาชั้น 2 ก็จะพบกับโมเดลตึกต่างๆนานา ในเมืองสิงคโปร์ให้เราที่เดินดูซึ่งที่นี่เข้าชมฟรี แต่ที่เค้าเตอร์ต้อนรับเขาก็จะให้เราเซ็นชื่อเข้าเยี่ยมนิดหน่อย นอกจากนี้ก็ยังมีนิทรรศการศิลปะที่จัดแสดงอยู่โดยรอบถ้าร้อนก็แวะมาเดินดูศิลปะให้หายร้อนแล้วเราค่อยไปต่อ
จากนั้นผมก็เดินไปตามถนน South Bridge Road เพื่อไปยังที่พัก Capsule pod ที่ผมได้จองเอาไว้โดยระหว่างเดินไปก็จะผ่านวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว หรือ Buddhatooth relic temple ผมจึงแวะเข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งภายในนั้นก็มีการทำพิธีสวดมนต์อยู่ด้วย

เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอวัดศรีมาริอัมมันต์ เขาบอกว่าเป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์โดยบริเวณเหนือประตูด้านหน้าจะเห็นว่ามี รูปแกะสลักจำนวนมากไร่ตามลำดับชั้น 5 ชั้น ตามรั้วก็จะมีรูปปั้นวัวที่เขาบอกว่าเป็นสัตว์พาหนะของพระอิศวรซึ่งชาวฮินดูนั้นนับถือ
และใกล้ๆกันเราก็จะพบกับมัสยิดชื่อว่า Masjid Jamae รูปแบบโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยสีโทนสีเขียว
จากนั้นผมก็เดินต่อไปยังถนน Upper Cross Street ซึ่ง Capsule pod ที่พักของผมอยู่แถวนั้น อยู่ใกล้กับทางเข้าสถานีรถไฟ Chinatown(DT19) เเละศูนย์การค้า People Park Centre
ถึงห้องพักแอร์เย็นๆโชคดีที่ผมนอนชั้นล่าง และตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องผมก็เลยของีบหลับสักหน่อยก่อนที่ช่วงเย็นจะออกไปเดินชมเมือง
ถือว่าเป็นครั้งแรกกับโฮสเทล ผมว่าก็โอเคนะ สำหรับที่นี่ Capsule pod ห้องนึงอยู่กันประมาณ 8 คน รวมรวมกันไปมีทั้งชายและหญิง ดูสะอาดสะอ้านมีที่ให้นั่งเล่นพักผ่อนด้วย ผมนี่โคตรชอบเลยเพราะว่าห้องผมไม่มีคนไทยเลย สบายสิเราไม่ต้องกลัวโดนนินทา
[CR] โสด เดิน เดี่ยว เที่ยว สิงคโปร์ 3วัน ในแบบคนงบน้อย 3,500 เหลือๆ
สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ใครหลายคนคิดว่าครั้งนึงในชีวิตต้องไปเยือนให้ได้ เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่น่าเดินทางท่องเที่ยว บ้านเมืองสะอาด การคมนาคมขนส่งสะดวก มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมและเทคโนโลยี รวมไปถึงความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง เดินเที่ยวได้อย่างสบายใจ ผมเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน
กดสับตะไคร้ และดูคลิปกันก่อนได้นะครับ
......................................................
ทริปสิงคโปร์ ครั้งนี้ เป็นการออกเดินทางต่างประเทศ คนเดียว ครั้งแรกของผม ไม่ใช่ว่าไม่มีใครคบ หรือเราไม่อยากคบใครหลอกนะครับ เพื่อนน่ะพอมีแต่เราก็ไม่อยากไปรบกวนใคร ครั้นชวนพี่สาวที่นางนั้นบินไปต่างประเทศบ่อยๆ เพราะเธอนั้นมีแฟนเป็นนักบิน แต่ก็กลับเทเรา บอกว่าไปคนเดียวได้ไปโลดดด.
ความหวาดหวันมันก็อยู่ในใจ เพราะไม่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยไปสิงคโปร์ แถมไอ้เราภาษาปากิต
ส่องหาดูรีวิวว่าไปสิงคโปร์ใครไปที่ไหนบ้างโน๊ตลงมือถือ จัดการเรื่องตั๋วเสร็จสรรพ ก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า เอาแค่พอดีเพราะไปแค่ 3 วัน อันตัวเราเด็กภูธรเหนือตอนล่างก็ต้องเข้ากรุงฯโดยอาศัยพี่หางแดงที่ตีตั๋วไปกลับไม่ถึงพัน ถูกกว่ารถไฟอุตราวิถีอีก จากนั้นแวะนอนพักที่คอนโดพี่สาว 1 คืน ครับ
เอาเป็นว่าเรามาเริ่มกันจากตรงนี้คงมีสาระกว่า กับการเที่ยวสิงคโปร์คนเดียวครั้งแรกของผม ที่วางแผนการเที่ยวไม่ต่างจากคนอื่นสักเท่าไร เที่ยวคนเดียวสิ่งที่จำเป็นคือแผนการเดินทางครับ จะได้ไม่เสียเวลา และทริปนี้ผมแลกเงินไป 5,000 บาท แต่ตั้งใจว่าจะใช้ไม่เกิน 3,500 บาท ครับ และแล้วก็สามารถใช้ได้แบบเหลือๆ #จะสรุปค่าใช้จ่ายในตอนท้ายให้นะครับ
-ผมเลือกเดินทางวันธรรมดาครับ เพราะว่า 1.ตั๋วเครื่องบิน
-ผมจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอป expedia เพราะว่าผมรู้สึกว่ามันคำนวนให้เราเสร็จสรรพง่ายดี แล้วแจ็คพ๊อตก็ตกอยู่ที่สายการบิน Scoot ที่มีตั๋วไปกลับถูกที่สุด ณ เวลานั้น ผมก็เลือกเที่ยวบินขาไป ออกจากสุวรรณภูมิ 8.20 น. ขากลับออกจากชางงี สิงคโปร์ตอน 22.30 น.
-ผมเลือกพักแบบโฮสเทล เพราะราคาโรงแรมที่สิงคโปร์1ห้องราคาสูงมว้าก บ้านเขาทุกอย่างแพงดี จึงจบที่โฮสเทล ย่าน Chinatown ราคาคืนละ 560 บาทได้โปรโมชั้นจากexpedia เช่นกันครับ
-ผมเลือกกินอาหารจานเดียวแบบเน้นประหยัดดูราคาก่อนสั่งเสมอ ไม่ได้สนใจว่าอาหารจะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวหรือไม่ น้ำดื่มผมก็กรอกใส่ขวดจากที่พักและกรอกตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามจุดบริการน้ำดื่มฟรี เพราะน้ำดื่มที่นี่ราคาเริ่มที่ขวดละ 1$ หรือ 25 บาทนั่นเอง
-ผมเลือกนั่งรถไฟMRT และเดิน เดิน เดิน ครับ. ไม่เที่ยวในสถานที่ที่ต้องเสียเงิน อิอิ. แต่ ยูนิเวอร์แซล (USS) ขอหน่อยละกันครับ. ไปคนเดียวขอแหกปากคนเดียวครับ 5555+
DAY 1
ถึงวันเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิ โอ้แม่เจ้าโว้ย ฝนตกลงมาหนักมาก เอาละหว่าในใจคิด เครื่องดีเลย์แน่นอน. แต่ถึงเวลาขึ้นเครื่องพนักงานเรียกขึ้นเครื่องตรงเวลาเป๊ะ การที่ผมไปคนเดียวผมจึงไม่ได้เลือกที่นั่งไว้ ระบบสายการบินก็เลยเลือกผมไปนั่งกับพี่สาวคนไทยที่มาเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกเหมือนกัน แต่พี่เขามาเป็นแก๊งค์ ก็เลยรู้สึกโชคดีที่ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่อยู่บนเครื่อง 2ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ ก็มาถึงสนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ เวลาที่สิงคโปร์ประมาณ 12.25 น. ซึ่งScootจะส่งเราที่ terminal2 สนามบินชางงีมี 4 terminal “ขึ้นๆลงๆซ้ายขวาซ้ายขวา มีป้ายบอกครับไม่ต้องกลัวหลง มีรถไฟฟ้าบริการระหว่าง terminalด้วย”
เมื่อมาถึงก็ต้องผ่าน ตม. ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่กล่าวขานกันในเรื่องของควาทเหนียว สำหรับการตรวจคนเข้าเมือง พี่แกถามเยอะพอสมควรนะ.
เอาเป็นว่าขอแนะนำสำหรับใครที่จะเดินทางไปสิงคโปร์ ทั้งคนเดียวหรือเป็นแก๊งค์ ควรเตรียม – ใบจองตั๋วขากลับติดตัวไว้ด้วยเผื่อพี่แกจะถามหา – และหากใครมีพาสปอร์ตเล่มเก่าก็เอาติดตัวไปด้วยนะครับกันเหนียวไว้
ส่วนคำถามเขาก็ถามไม่ยากหลอกครับ อันดับแรกจะถามว่าคุณชื่อXXX ใช่ไหม? มาทำอะไร? มาคนเดียวหรือมากับใคร? มากี่วัน? ประมาณนี้แหละครับ แต่ระหว่างรอผมโคตรจะลุ้นเลยครับ เพราะ มีวัยรุ่นกลุ่มนึงคนไทยนี่แหละครับมาเที่ยว แต่ 1 คนในกลุ่มนั้น ตม.ไม่ให้ผ่านครับ ต้องไปเข้าห้องเย็นเพื่อทำประวัติ แล้วยังมีคุณลุงคนนึงผมก็คิดว่าแกน่าจะเป็นคนไทยนะ โดนพาไปห้องเย็นอีก ณ จุดๆนั้นโคตรหวาดเสียว แต่เมื่อถึงคิวผมพี่แกถามคำเดียวว่า คุณชื่อXXXใช่ไหม? ผมตอบสั้นมากครับว่า Yes. แล้วพี่แกก็ให้สแกนลายนิ้วมือเป็นอันผ่านด่าน ตม. โลงใจมาก เดินสบายๆ ไปที่สถานีรถไฟใต้ดินเพื่อเข้าเมืองกันต่อ ไปสถานีรถไฟก็ไม่ยากครับอยู่ด้านล่างสุดของสนามบิน เดินตามป้ายTrain to Cityครับ แป๊บเดียวถึงสถานี MRT Changi Airport(CG2)
เราก็ทำการซื้อตั๋วรถไฟ MRT แบบ EZ-Link ผมไม่ได้คำนึงถึงความคุ้มค่านะครับ ผมแค่ชอบรูปบนบัตรพอดีแอบเห็นของคนอื่น เลยตัดสินใจซื้อเป็นบัตร EZ-link ครับในราคา 12$ ซึ่งผมแนะนำว่า ถ้าเกิดใครมาเที่ยว 3 วันแบบต้องอาศัยรถไฟฟ้าเป็นหลักแนะนำเลือกแบบ Tourist Pass คุ้มกว่าครับ ราคาอยู่ที่ 20$ ครับ เพราะว่าอย่างตัวผมเองใช้EZ-linkไป 2 วัน ก็ต้องเติมเงินเพิ่มอีก 10$ เนื่องจากว่าถ้าเงินในบัตรของเราน้อยกว่า 3$ มันจะใช้ไม่ได้ครับ แต่ไอ้เจ้าบัตรSingapore Tourist Pass มันไม่สามารถซื้อของใน7-11 ได้ และไม่สามารถใช้ได้กับขนส่งมวลชนบางประเภท แต่มันสามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้ไม่จำกัดครับ
เมื่อได้บัตรEZ-Linkแล้วเราก็เดินทางเข้าเมืองกันเลยครับ ซึ่งเราจะต้องเปลี่ยนขบวนรถที่สถานี Tanah Merah(EW4) ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ แค่เดินลงมาแล้วยืนรอ ที่บริเวณ platform2เพื่อเข้าเมืองตามเส้นทางสายสีเขียว โดยผมจะไปลงที่สถานี Tanjong Pagar เพื่อไปหาข้าวกินแถว Maxwell Food Center ซึ่งอยู่ติดกับSingapore City Gallery และอยู่ห่างจากสถานีรถไฟMRTเพียง 300 เมตร
ที่ Maxwell Food Centre มีอาหารหลากหลายนานาชนิดให้เลือกกิน มีร้านข้าวมันไก่ดังๆจำนวนหลายร้านซึ่งถ้ามาตอนเที่ยงคาดว่าคนจะเยอะ แต่โชคดีหรือเป็นความตั้งใจที่ผมมาถึงที่ศูนย์อาหารตอนเวลาบ่าย2โมง คนก็จะไม่มากเท่าไหร่ อย่างที่บอกผมไม่ค่อยชอบอะไรที่คนเยอะๆ เห็นร้านข้าวมันไก่อยู่ร้านหนึ่ง ชื่อ Heng Heng Hainanese Chicken rice จึงเดินเข้าไปสั่งข้าวมันไก่ 1 ชุดราคา 5 เหรียญ เมื่อพ่อค้าสับไก่มาใส่จาน ผมถึงขั้นอุทานเป็นภาษาไทยว่า จะxxxหมดไหม! พ่อค้าเห็นเราเป็นคนไทยก็พูดไทยใส่เราเลยว่า กินให้อร่อยนะ. ไทยมาเราก็ไทยกลับ ขอบคุณครับ พร้อมยกมือไหว้ตามสไตล์คนไทยครับ. จากนั้นผมก็เดินหาที่นั่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านมากคุณลุงคนขายก็เดินตามผมมาพร้อมหยิบไข่ต้ม 1 ฟองยื่นมาให้แล้วบอกผมว่า ฟรี! ผมก็คิดในใจน่าว่ายังเยอะไม่พอเหรอครับ จะแxxหมดไหมเนี่ย!
ข้าวมันไก่ของคุณลุงเนื้อแน่นนุ่มชุ่มมาด้วยผมคิดว่าน่าจะเป็นน้ำปรุงอะไรสักอย่าง แล้วมีน้ำจิ้ม มาให้ด้วย 2 แบบ แบบเปรี้ยวเผ็ดกับหวานเผ็ด ผมว่าอร่อยทั้งสองอย่าง ส่วนข้าวมันก็มาแบบเรียงเม็ดน้ำซุปรสชาติใช้ได้ผมชอบ บอกเลยว่าผมใช้เวลาอยู่ตรงนี้เกือบ 30 นาทีเพราะว่ามันเยอะมากสำหรับคนคนเดียว และน้ำเปล่าในศูนย์อาหารผมถือว่าถูกนะ ขวดละ 1$ เท่านั้นเอง ผมเลยซื้อมาและเจ็บขวดไว้ใช้ตลอดทั้งทริปเลย.
ที่นี่ผมชอบอาม่าที่คอย เก็บถ้วยชามทำความสะอาดโต๊ะ เพราะอาม่าทำงานไปยิ้มไป แล้วก็เก็บทำความสะอาดได้เร็วมาก น่ารักเห็นแล้วคิดถึงคุณย่าที่บ้าน
เมื่อกินข้าวเที่ยงจนอิ่มหนำสำราญ ข้าวมันไก่เต็มท้องเหงื่อก็เริ่มออก ผมก็เลยเดินไปที่ตึกด้านข้าง ป้ายเขียนว่า Singapore City Gallery โดยด้านล่างก็จะเป็น แผนที่ประเทศสิงคโปร์ทั้งหมดแต่เมื่อเดินมาชั้น 2 ก็จะพบกับโมเดลตึกต่างๆนานา ในเมืองสิงคโปร์ให้เราที่เดินดูซึ่งที่นี่เข้าชมฟรี แต่ที่เค้าเตอร์ต้อนรับเขาก็จะให้เราเซ็นชื่อเข้าเยี่ยมนิดหน่อย นอกจากนี้ก็ยังมีนิทรรศการศิลปะที่จัดแสดงอยู่โดยรอบถ้าร้อนก็แวะมาเดินดูศิลปะให้หายร้อนแล้วเราค่อยไปต่อ
จากนั้นผมก็เดินไปตามถนน South Bridge Road เพื่อไปยังที่พัก Capsule pod ที่ผมได้จองเอาไว้โดยระหว่างเดินไปก็จะผ่านวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว หรือ Buddhatooth relic temple ผมจึงแวะเข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งภายในนั้นก็มีการทำพิธีสวดมนต์อยู่ด้วย
และใกล้ๆกันเราก็จะพบกับมัสยิดชื่อว่า Masjid Jamae รูปแบบโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยสีโทนสีเขียว
จากนั้นผมก็เดินต่อไปยังถนน Upper Cross Street ซึ่ง Capsule pod ที่พักของผมอยู่แถวนั้น อยู่ใกล้กับทางเข้าสถานีรถไฟ Chinatown(DT19) เเละศูนย์การค้า People Park Centre
ถึงห้องพักแอร์เย็นๆโชคดีที่ผมนอนชั้นล่าง และตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องผมก็เลยของีบหลับสักหน่อยก่อนที่ช่วงเย็นจะออกไปเดินชมเมือง
ถือว่าเป็นครั้งแรกกับโฮสเทล ผมว่าก็โอเคนะ สำหรับที่นี่ Capsule pod ห้องนึงอยู่กันประมาณ 8 คน รวมรวมกันไปมีทั้งชายและหญิง ดูสะอาดสะอ้านมีที่ให้นั่งเล่นพักผ่อนด้วย ผมนี่โคตรชอบเลยเพราะว่าห้องผมไม่มีคนไทยเลย สบายสิเราไม่ต้องกลัวโดนนินทา