อาราม Saint Catherine ที่มีห้องสมุดเก่าแก่ที่สุดในโลก


Photo credit: Berthold Werner/Wikimedia


ลึกเข้าไปในคาบสมุทร Sinai Peninsula ของ Egypt
ในเขตพื้นที่ที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งเต็มไปด้วยหินแกรนิต
และในเทือกเขาที่ขรุขระมีอารามที่ตั้งอยู่ชื่อ Saint Catherine
ณ ที่นี่ Mout Sinai  
มีตำนานและเชื่อกันว่าบนเขาแห่งนี้
Moses ได้รับบัญญัติสิบประการจากพระเจ้า
ทำให้เขตพื้นที่แห่งนี้เป็นสถานที่เคารพนับถือของ
ชาวคริสเตียน ชาวยิว และชาวมุสลิม

ในช่วงคริสตวรรษที่ 548 ถึง 565
จักรวรรดิโรมันตะวันออก Justinian the Great
ได้สั่งให้สร้างอารามที่นี่เพื่อถวายให้แก่ Saint Catherine
โชคดีที่อารามแห่งนี้ยังไม่เคยถูกทำลายหรือถูกปล้นสะดม
ทำให้อารามแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่เก่าแก่ที่สุดทางประวัติศาสตร์
ของชาวคริสเตียนที่มีอยู่รอบโลก
นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ที่เก็บรักษาพระคัมภีร์ชุดที่ใหญ่ที่สุด
มีต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือในภาษาต่าง ๆ
จับว่าเป็นอันดับสองรองจากห้องสมุดวาติกัน Vatican Library

มีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบอารามแห่งนี้
เดิมสร้างขึ้นโดย Justinian the Great ในศตวรรษที่ 6
ในทุกวันนี้ การจะเข้าไปในอารามแห่งนี้
ต้องเข้าออกทางประตูเล็กทางด้านซ้ายของประตูสูงที่ผนังด้านนอก

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของอารามแห่งนี้
คือ ไม้พุ่มมีหนามขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง
ที่เชื่อกันในตำนานว่าคือ พุ่มไม้ที่ไฟไหม้แต่ไม่ไหม้
ซึ่ง Moses ได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าที่แสดงให้เห็น
ในศตวรรษที่ 4 Empress Consort Helena พระมารดาของ Constantine the Great
ได้สร้างวิหารล้อมรอบพุ่มไม้ต้นนี้ภายในอารามแห่งนี้อีกชั้นหนึ่ง
พุ่มไม้ต้นนี้เป็นสายพันธุ์ที่หายากของวงศ์ดอกกุหลาบที่เรียกว่า Rubus Sanctus
เป็นดอกกุหลาบพื้นเมือง/ไม้พุ่มมีหนามเฉพาะในภูมิภาค Sinai
การไม้พุ่มนี้มีอายุที่ยืนยาวยิ่งนานยิ่งช่วยทำให้อารามแห่งนี้ยิ่งน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น


พุ่มไม้มีหนามที่ติดไฟลุกไหม้แต่ไม่ไหม้ไฟ Photo credit: Christopher Chan/Flickr



ขุมสมบัติที่ยอดเยี่ยมของอารามแห่งนี้คือ
ภาพบูชากับโมเสคที่ปิดบนฝาผนังและอาคารทางศาสนาคริสต์
รวมทั้งศิลปวัตถุที่เกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์
ซึ่งเป็นภาพบูชาที่จัดว่าเป็นผลงานชั้นเยี่ยมของโลก
ภาพบูชานี้เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 6 หรืออาจจะก่อนหน้านี้

ห้องสมุดของอารามแห่งนี้ ยังมีมหาสมบัติชิ้นเยี่ยมอื่น ๆ เช่น
ต้นฉบับหนังสือที่หายากมากที่สะสมไว้ เช่น
Codex Sinaiticus ที่บางตอนขาดหายไป
Greek Bible  ที่คัดลอกและเขียนด้วยลายมือเสมียนในศตวรรษที่ 4
Syriac Sinaiticus คำสอนของพระเยซู New Testament ใน Syriac
ที่คัดลอกและเขียนด้วยลายมือในศตวรรษที่ 4
Ashtiname of Muhammad ศาสดาพยากรณ์ของท่านนบีโมฮำหมัด Muhammad
ได้มีโองการ/คำสั่งให้คุ้มครองปกป้องอารามแห่งนี้
รวมทั้งยังมีงานเขียนต้นฉบับของ Homer (1488) และ Plato (1513)
Comedies of Aristophanes (1498) Suidae’s Lexicon (1499)
Great Etymological Lexicon of the Greek Language (1499)


นอกจากอาราม Saint Catherine และ Mount Sinai แล้ว
ยังมีศาสนสถานที่สำคัญอีกหลายร้อยแห่งในพื้นที่นี้
เช่น Chapel of St. Catherine บนยอดเขา Mount Katherine
ที่ฝังร่างนักบุญ Alexandria ที่เทวดานำมาฝังไว้
ศิลาที่ Moses เสกน้ำออกมาโดยบัญชาของพระเจ้า
อารามและซากปรักหักพังของยุค Byzantine
อีกหลายร้อยแห่งที่สร้างในเขตพื้นที่แห่งนี้

อารามแห่งนี้เป็นมรดกโลกของ UNESCO ในปี 2002
และมีผู้เข้าเยี่ยมชมมากกว่า 100,000 รายต่อปี


เรียบเรียง/ที่มา


http://bit.ly/2rY3kQ8
http://bit.ly/2GzTPfn
http://bit.ly/2wZZewQ






Photo credit: Shawn Clover/Flickr


Photo credit: Marc!D/Flickr



Mout Sinai


Mount Katherine


พระคัมภีร์ไบเบิลที่คัดลอกด้วยลายมือ กับ โองการศาสดาพยากรณ์ที่สั่งคุ้มครองศาสนสถานแห่งนี้












เรื่องเดิม


เอกสารหายากในรูปแบบดิจิตอลจากห้องสมุดวาติกัน





งานแต่งงานที่เมืองขยะในอียิปต์








เรื่องเล่าไร้สาระ


Heinrich Heine
Where they have burned books, they will end in burning human beings.
ถ้าที่ใดเผาหนังสือได้  ก็จบลงด้วยเผาคนได้

การเผาหนังสือมีตั้งแต่ยุค
จีน  จิ๋นซีฮ่องเต้ สั่งเผาหนังสือที่ไม่ต้องการจำนวนมาก
ห้องสมุดบาบิโลน  เนบูร์ซัสเนซาร์ สั่งเผาห้องสมุดทิ้ง
ห้องสมุดกรุงโรมที่สร้างโดยซีซาร์  ชนเผ่าอนารยชนที่ยึดกรุงโรมได้เผาทิ้ง
ห้องสมุดเล็กซานเดียร์  สมัยที่กรีกสร้างก็ถูกเผาทิ้งโดยกองทัพโรมัน
สมัยต่อมาโรมันสร้างขึ้นมาใหม่ ก็ถูกชนเผ่าอาหรับที่บุกยึดอาณาจักรอียิปต์เผาทิ้งเช่นกัน
ห้องสมุดนาลันทา  ก็ถูกพวกเตอร์กมุสลิมเผาทิ้ง

ห้องสมุดคอนแสตนติลโนเปิล เตอร์กมุสลิมบุกยึดได้ก็เผาทิ้ง
แต่มีหนังสือบางเล่มที่เก็บไว้ตามบ้านชาวบ้าน
นักปราชญ์ชาวอาหรับที่สนใจก็แปลออกมาเป็นภาษาอาหรับ
ทำให้ยุคหนึ่งของอาหรับมีความเจริญด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และคำนวณมาก
หลังจากยุโรปพ้นยุคมืดแล้ว  ก็เริ่มแปลหนังสือจากภาษาอาหรับกลับมาเป็นภาษาละติน/ภาษาท้องถิ่น
ทำให้ชาติอาหรับมักจะอ้างว่ามีวิทยาการเจริญกว่ายุโรปมาก่อน

จากการที่ โยฮันน์ กูเทนแบร์ก ผลิตเครื่องพิมพ์ขึ้นมา
แต่ยุคนั้นยังไม่มีลิขสิทธิ์/สิทธิบัตรจึงมีการลอกเลียนแบบและพัฒนาไปได้เร็วมาก
ทำลายระบบเดิมที่หนังสือที่มีน้อยเล่มมากต้องใช้คนคัดลายมือ/เขียนขึ้นเป็นเล่ม ๆ
ความรู้วิทยาการต่าง ๆ จากหนังสือจึงแพร่ไปทั่วยุโรป  
คนอ่านหนังสือออกมากขึ้น นำไปสู่การปฏิวัติ/ทำลายความเชื่อในอีกหลายเรื่องในเวลาต่อมา

ต่อมากาหลิบอาณาจักรออตโตมาน ที่มีมเหสีได้ 4 คน
แต่มีฮาเร็มมั่วสุมกับสตรีได้ไม่จำกัดจำนวน  
ทำให้ต้องมีพวกยูนุค(ขันที) ดูแลฮาเร็มส่วนตัว
เกิดกลัวชาวบ้านรู้มาก/ฉลาดขึ้น  จะปกครองยากขึ้น
เลยมีบัญชาให้ชาวอาหรับให้ศึกษาแต่พระคัมภีร์อัลกุรอ่านมากกว่าหนังสืออื่น ๆ
ยกเว้นชาติอิหร่าน/เปอร์เซีย  ที่มีแนวคิดกบฏจึงไม่ยอมทำตามทั้งหมด
มีผลทำให้ทุกวันนี้ อิหร่าน มีนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักคณิตศาสตร์ จำนวนมากกว่าหลายชาติในอาหรับ
เช่น  Maryam Mirzakhani สตรีนักคณิตศาสตร์ระดับโลก




เบอร์ลิน  นาซีเยอรมันก็เผาหนังสือที่เขียนโดยชาวยิวหรือหนังสือต่อต้านนาซึ
จีน  ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคที่จีนรบกับญี่ปุ่น
ก็มีการเผาหนังสือในห้องสมุดจำนวนมาก
ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม Red Guard ก็ชอบเผาหนังสือ
ที่อ้างว่าเป็นของชนชั้นปฏิกิริยา นายทุนน้อย ขุนศึกศักดินา
ตามคำกล่าวหาของแก้งสี่คน สมุนเหมาเจ๋อตุงหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ไทย   สมัยนายกรัฐมนตรีธานินทร์  กรัยวิเชียร
นายสมัคร  สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประกาศหนังสือต้องห้ามจำนวน 200 กว่าเล่ม (ยังมีผลตามกฎหมาย)
ส่วนมากชาวบ้านเผากันเองป้องกันภยันตรายที่จะมาถึงครอบครัว
รวมทั้งตำรวจบุกยึดจากผู้ต้องหา/โรงพิมพ์บางแห่ง  แล้วนำไปเผาทิ้ง

โรงเรียนเอกชนแห่งแรกของไทยคือ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (มีก่อนโรงเรียนหลวง)
สมัยรัชกาลที่ 5 มีการตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกของราษฎร คือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
โรงเรียนราษฎร์แห่งแรกที่จัดตั้งโดยคนไทย คือ โรงเรียนบำรุงวิชา
รวมทั้งมีการขอให้วัดวาอารามต่าง ๆ ช่วยเป็นสถานที่จัดตั้งโรงเรียนช่วยรัฐบาล
ทำให้ในสมัยก่อนโรงเรียนจะมีชื่อวัดนำหน้า เช่น วัดเทพศิรินทร์  วัดบางหว้า วัดลิงขบ ฯลฯ

การเรียนสมัยน้นใช้ศาลาวัด และมีพระสงฆ์ที่รู้หนังสือสอน ประถม ก กา และกาพย์พระไชยสุริยา
นักเรียนพออ่านออกเขียนได้ ก็คือว่าจบแล้ว จะไปทำงานหรือหรือไปเรียนต่อมหาเปรียญ
ทั้งนี้ยังไม่มีการตั้งโรงเรียนแบบมีหลักสูตรชั้นปีปัจจุบัน
การเรียนการสอนไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์  แต่ต้องหยุดวันพระกับวันทำพิธีทางศาสนา
เพราะชาวบ้านต้องใช้ศาลาวัดทำพิธีทางศาสนา ก่อนที่ จอมพล ป. จะสั่งหยุดทำงานวันเสาร์อาทิตย์
และเริ่มมีการสร้างอาคารโรงเรียนแทนศาลาวัด ร่องรอยการหยุดวันพระจึงมาจากสาเหตุนี้ส่วนหนึ่ง

ต่อมา มีการยกเลิกชื่อวัดสมัยอดีต รมต.ศึกษาธิการรายหนึ่ง ที่นับถือคริสตศาสนา
สมัยนายกรัฐมนตรีไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง มีดำริแบบคิดปั้บ ลูกขุนคอยพยักสั่งทำทั่วประเทศ
โดยอ้างว่า การศึกษากับวัดไม่เกี่ยวข้องกัน  ไม่ควรมีชื่อวัดนำหน้าโรงเรียน

แต่ที่ โรงเรียนวัดบวรนิเวศ  สมเด็จพระสังฆราช(ญาณ สังวร) ทรงไม่ยอมให้ตัดชื่อวัดออก
โดยมีพระบัญชาว่า ถ้าตัดชื่อวัดออกจากโรงเรียนก็ให้ย้ายไปให้ไกล ๆ ไปที่อื่น อย่ามาใช้ที่ดินวัดอีก
วัดจะได้นำที่ดินใจกลางเมืองมาจัดทำสาธารณประโยชน์ของวัดได้
เลยไม่มีใครกล้าขอตัดชื่อวัดออกจากโรงเรียน  และมีวัดหลายแห่งเจริญรอยตามพระองค์
รวมทั้งช่วงหลังเริ่มมีคำสั่งมหาเถระสมาคมให้นำชื่อวัดกลับมาใช้นำหน้าโรงเรียนอีกครั้ง
เฉพาะโรงเรียนที่ได้ใช้ที่ดินของวัด/เขตสังฆารามเป็นที่ตั้งโรงเรียน
ถ้าไม่ยอมใช้ชื่อวัดนำหน้าโรงเรียน  ก็ให้ครูใหญ่ไปหาสถานที่ตั้งโรงเรียนแห่งใหม่เอง


ในอดีต ไทยก็มีการทำลายหนังสือบุดในอีสาน  
หนังสือล้านนาในภาคเหนือ  หนังสือขอมไทยในภาคใต้
เพื่อให้ใช้แบบเรียนภาษาไทยและภาษาพูดเดียวกันทั่วทั้งประเทศ
โดยฝีมืออำมาตย์ส่วนกลาง/ท้องถิ่นที่คิดกันเองทำกันเอง
ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 จนถึงรัฐบาลเผด็จการไทยในยุคต่อ ๆ มา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่