ผ่านมาประมาณ เดือนกว่าได้แล้วหลังจากที่ปรากฎ BNK48 รุ่น 2
หลายสิ่งที่สัมผัสได้จากความเห็นโอตะหลายๆคอมเม้นท์บนโลกโซเชียลมีเดียร์ คือน้องดูปังกว่าแพงกว่ามีของมากกว่ารุ่น 1
แล้วก็ก่อเกิดดราม่ามากมายให้ปูเสื่อกันไป
แต่พอลองมองย้อนดูสาเหตุที่RAMคัดเลือกรุ่น 2 หลายคน ที่ดูแพงกว่าหรือมีของมากกว่ารุ่น 1 ถ้ามองในฐานะคนทำธุรกิจ
ผมว่าเค้าอาจตัดสินใจแบบคนทำธุรกิจทั่วๆไปที่ต้องการคนที่พร้อมลุยงานได้เลย
รุ่น 1 คือรุ่นบุกเบิก ธุรกิจเปิดใหม่ที่มีพนักงานใหม่ๆ ประสบการณ์ไม่เท่ากัน บางคนมีมาก บางคนเลยเล่นละครมาเรื่องสองเรื่อง บางคนเป็นคนธรรมดาๆ
พอเกิดกระแสคุกกี้ การ Evol ของโมบาย บัตรจับมือ มันทำให้เกิดกระแสแบบ Disruptive (นวัตกรรมระดับการเปลี่ยนแปลง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ) ในไทย แล้วผลที่ตามมาคือโอตะระดับ Brand Loyalty สูงมิดด้าม ซึ่งในหลักการทำธุรกิจที่มีคนบอกว่า สินค้าขายดีที่ทำกำไร80% (เงินส่วนใหญ่) จะมาจากกลุ่มคน 20% (คนจ่ายเงินที่ยอมจ่ายแพง) เห็นได้จากยอดCD ที่แถมบัตรจับมือ SSR หรือโฆษณางานEventที่ทยอยลงมาไม่ขาดสาย
คนธรรมดากลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าวัดไม่ได้เกิดคนดังคนใหม่มากมาย เฌอปราง มิวสิค ปัญ อร เนย โมบาย เจนนิษฐ์ (ขอเอาเฉพาะคนที่คนส่วนใหญ่นึงถึงละกันนะครับจริงๆก็มีมากกว่านี้) ซึ่งทั้งหมดก็มาจากพื้นฐานคนธรรมดาทั้งนั้น
เช่นปัญตัวประกอบหนังที่ไม่มีใครบอกคงไม่มีทางรู้เลย
เนยคนขี้อายธรรมดากลายมาเป็นระดับแถวหน้า
เฌอปรางนักวิชาการที่ชอบแต่งคอสเพลกลายมาเป็นกัปตันวงที่คนนึงถึงมากที่สุด
โมบายเด็กหญิงที่ดูดร็อปมากๆในสายตาคนนอกEvol เป็นเจ้าของเพลงร้อยล้านวิวตั้งแต่อายุยังน้อย
มิวสิค คนธรรมดาที่ผลักดันจนกระทั่งแฟนๆฝั่งญี่ปุ่นยังให้ความสนใจ
มันเลยทำให้รุ่น 1 ดูมีเรื่องราวการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างทำให้เกิดดอกออกผลอย่างในทุกวันนี้
พอมาถึงรุ่น 2 ที่มาถึงก็เลยมีคนมาคัดตัวกันหลายหมื่น คัดแล้วคัดอีกจนเหลือ 27 คนซึ่งแต่ละคนส่วนใหญ่ดู HighProfile
เหมือนว่าบริษัทที่เริ่มใหญ่ขึ้น มีพนักงานรุ่นบุกเบิก(รุ่น1)ที่ผ่านปัญหาต่างๆมามากมายขัดเกลาฝีมือจนมีความสามารถสูง ทำให้บริษัทมีแรงดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างอนาคตให้ตัวเองเลยมาฝากฝันไว้กับบริษัทใหญ่
พอมีคนมาให้เลือกมากบริษัทไม่มีเวลาที่จะมาฝึกทีละขั้นๆแบบรุ่นบุกเบิกอีกต่อไปเพราะพนักงานชุดเดิมก็ยังอยู่แถมหลายคนเริ่มมีความสามารถที่พัฒนาขึ้นแล้ว ถ้าเอารุ่น 2 ที่มีภาพลักษณ์แบบรุ่น 1 มาทำเหมือนเดิมจะไม่มีทางตามทันเลยถ้าเทียบคะแนนเริ่มที่เต็ม 10 รุ่น 1 ตอนนี้ขั้นต่ำสุดจะอยู่ที่ 6-7 กันแล้วบางคนตัวTopอัพทะลุ 10 ไปอีกเกณฑ์นึงแล้วคือระดับเต็ม 20 แทนเหมือนมวยคนละสนามระยะห่างระหว่างเมมเบอร์แต่ละคนจะยิ่งมากขึ้นไปอีก เลยทำให้รุ่น 2 ดูอุดมไปด้วยคนสวยคนเก่งที่มีความสามารถเริ่มต้นระดับประมาณ 5 ต้นๆ เพื่อให้เร่งทันรุ่น 1 หรือถ้าโชคดีอาจเกิด เมมเบอร์ระดับ Top กว่ารุ่น 1 ไปเลยก็ได้
แต่ในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรเหมือนในทุกวงการทำงานรึเปล่า ที่ต้องดียิ่งขึ้นๆๆๆๆ รุ่น 3 4 5 อาจต้องมีProfile ดีกว่ารุ่น 1 2 ถึงจะมีโอกาสได้เกิดหรือร่วมงานกับ BNK48 และถ้าไม่สามารถคัดหาคนที่พร้อมลงสนามได้จริงอาจจะทำให้ BNK48 ถึงทางตันไปเลย
สาเหตุที่รุ่น 2 ดูมีตัว Top เยอะและผลที่อาจจะส่งต่อไปถึงรุ่น 3 4 5 (วิเคราะห์ส่วนตัวแบบธุรกิจ)
หลายสิ่งที่สัมผัสได้จากความเห็นโอตะหลายๆคอมเม้นท์บนโลกโซเชียลมีเดียร์ คือน้องดูปังกว่าแพงกว่ามีของมากกว่ารุ่น 1
แล้วก็ก่อเกิดดราม่ามากมายให้ปูเสื่อกันไป
แต่พอลองมองย้อนดูสาเหตุที่RAMคัดเลือกรุ่น 2 หลายคน ที่ดูแพงกว่าหรือมีของมากกว่ารุ่น 1 ถ้ามองในฐานะคนทำธุรกิจ
ผมว่าเค้าอาจตัดสินใจแบบคนทำธุรกิจทั่วๆไปที่ต้องการคนที่พร้อมลุยงานได้เลย
รุ่น 1 คือรุ่นบุกเบิก ธุรกิจเปิดใหม่ที่มีพนักงานใหม่ๆ ประสบการณ์ไม่เท่ากัน บางคนมีมาก บางคนเลยเล่นละครมาเรื่องสองเรื่อง บางคนเป็นคนธรรมดาๆ
พอเกิดกระแสคุกกี้ การ Evol ของโมบาย บัตรจับมือ มันทำให้เกิดกระแสแบบ Disruptive (นวัตกรรมระดับการเปลี่ยนแปลง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะ) ในไทย แล้วผลที่ตามมาคือโอตะระดับ Brand Loyalty สูงมิดด้าม ซึ่งในหลักการทำธุรกิจที่มีคนบอกว่า สินค้าขายดีที่ทำกำไร80% (เงินส่วนใหญ่) จะมาจากกลุ่มคน 20% (คนจ่ายเงินที่ยอมจ่ายแพง) เห็นได้จากยอดCD ที่แถมบัตรจับมือ SSR หรือโฆษณางานEventที่ทยอยลงมาไม่ขาดสาย
คนธรรมดากลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าวัดไม่ได้เกิดคนดังคนใหม่มากมาย เฌอปราง มิวสิค ปัญ อร เนย โมบาย เจนนิษฐ์ (ขอเอาเฉพาะคนที่คนส่วนใหญ่นึงถึงละกันนะครับจริงๆก็มีมากกว่านี้) ซึ่งทั้งหมดก็มาจากพื้นฐานคนธรรมดาทั้งนั้น
เช่นปัญตัวประกอบหนังที่ไม่มีใครบอกคงไม่มีทางรู้เลย
เนยคนขี้อายธรรมดากลายมาเป็นระดับแถวหน้า
เฌอปรางนักวิชาการที่ชอบแต่งคอสเพลกลายมาเป็นกัปตันวงที่คนนึงถึงมากที่สุด
โมบายเด็กหญิงที่ดูดร็อปมากๆในสายตาคนนอกEvol เป็นเจ้าของเพลงร้อยล้านวิวตั้งแต่อายุยังน้อย
มิวสิค คนธรรมดาที่ผลักดันจนกระทั่งแฟนๆฝั่งญี่ปุ่นยังให้ความสนใจ
มันเลยทำให้รุ่น 1 ดูมีเรื่องราวการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างทำให้เกิดดอกออกผลอย่างในทุกวันนี้
พอมาถึงรุ่น 2 ที่มาถึงก็เลยมีคนมาคัดตัวกันหลายหมื่น คัดแล้วคัดอีกจนเหลือ 27 คนซึ่งแต่ละคนส่วนใหญ่ดู HighProfile
เหมือนว่าบริษัทที่เริ่มใหญ่ขึ้น มีพนักงานรุ่นบุกเบิก(รุ่น1)ที่ผ่านปัญหาต่างๆมามากมายขัดเกลาฝีมือจนมีความสามารถสูง ทำให้บริษัทมีแรงดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างอนาคตให้ตัวเองเลยมาฝากฝันไว้กับบริษัทใหญ่
พอมีคนมาให้เลือกมากบริษัทไม่มีเวลาที่จะมาฝึกทีละขั้นๆแบบรุ่นบุกเบิกอีกต่อไปเพราะพนักงานชุดเดิมก็ยังอยู่แถมหลายคนเริ่มมีความสามารถที่พัฒนาขึ้นแล้ว ถ้าเอารุ่น 2 ที่มีภาพลักษณ์แบบรุ่น 1 มาทำเหมือนเดิมจะไม่มีทางตามทันเลยถ้าเทียบคะแนนเริ่มที่เต็ม 10 รุ่น 1 ตอนนี้ขั้นต่ำสุดจะอยู่ที่ 6-7 กันแล้วบางคนตัวTopอัพทะลุ 10 ไปอีกเกณฑ์นึงแล้วคือระดับเต็ม 20 แทนเหมือนมวยคนละสนามระยะห่างระหว่างเมมเบอร์แต่ละคนจะยิ่งมากขึ้นไปอีก เลยทำให้รุ่น 2 ดูอุดมไปด้วยคนสวยคนเก่งที่มีความสามารถเริ่มต้นระดับประมาณ 5 ต้นๆ เพื่อให้เร่งทันรุ่น 1 หรือถ้าโชคดีอาจเกิด เมมเบอร์ระดับ Top กว่ารุ่น 1 ไปเลยก็ได้
แต่ในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรเหมือนในทุกวงการทำงานรึเปล่า ที่ต้องดียิ่งขึ้นๆๆๆๆ รุ่น 3 4 5 อาจต้องมีProfile ดีกว่ารุ่น 1 2 ถึงจะมีโอกาสได้เกิดหรือร่วมงานกับ BNK48 และถ้าไม่สามารถคัดหาคนที่พร้อมลงสนามได้จริงอาจจะทำให้ BNK48 ถึงทางตันไปเลย