https://pantip.com/topic/37656267
“โรงเรียนของลูก”
การตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูก แม่และพ่อตัดสินใจร่วมกันเริ่มจากในวัยอนุบาล เราเลือกโรงเรียนอนุบาลเปล่งประสิทธิ์ เป็นโรงเรียนแนวบูรณาการ และใกล้บ้าน ไม่ต้องตื่นเช้า โดยลูกเริ่มเข้าเรียนเนอร์สเซอรี่ตอนอายุ 2 ขวบ 4 เดือน
เนื่องจากพี่เลี้ยงลาออก แม่จึงตัดสินใจให้ลูกเริ่มไปโรงเรียนเลย
การดำเนินชีวิตในช่วงนี้ ดูจะเป็นปกติของเด็กวัยอนุบาล มีร้องไห้ตอนเช้าเกือบทุกเช้า และมักจะร้องในวันที่แม่ไปส่ง ส่วนวันที่พ่อไปส่งมักจะไม่มีปัญหา ในส่วนของการเรียน ครูจะมีรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะว่าลูกมีพัฒนาการ
อย่างไรบ้าง ซึ่งรายงานนี้มีส่วนทำให้แม่ตัดสินใจพาลูกไปหาหมอ
หลังจากไปหาหมอและได้รับการฝึกอย่างต่อเนื่อง ลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เขียนหนังสือได้ อ่านหนังสือออก จนทำให้ แม่มองว่าลูกก็เหมือนเด็กปกติทั่วไป แค่อาจจะยังหยิบจับสิ่งของเล็กๆไม่ถนัด ยังคงเดินล้มบ่อยๆ แต่ไม่เป็นไร เรื่องแบบนี้
ยังต้องฝึกกันต่อไป อีกหน่อยก็น่าจะดีขึ้น ทำให้เริ่มห่างจากการฝึกที่โรงพยาบาล และเริ่มห่างจากการไปหาหมอ
เมื่อคิดว่าลูกสามารถเรียนหนังสือได้ปกติ จึงอยากให้เรียนโรงเรียนสองภาษา เพราะแม่อยากให้เก่งภาษา ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะอยู่ไกล ห่างจากบ้าน 30 กิโล ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจแม่ได้ (ถ้าย้อนกลับไปได้ก็น่าตีแม่จริงๆ) โดยคิดเข้าข้างตัวเองว่า เราย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก และคิดว่าลูกก็ทำได้เหมือนเด็กทั่วไป
ดังนั้น การย้ายโรงเรียนจึงเกิดขึ้น ลูกย้ายไปเรียนชั้นอนุบาล 3 ที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้า เนื่องจากโรงเรียนอยู่ไกล จึงต้องออกจากบ้านตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง เพื่อหนีรถติดและเพื่อให้แม่กลับมาทำงานทันเวลาเข้างาน 8.30 น.
ในช่วงแรกๆ ลูกก็ให้ความร่วมมือในการตื่น แต่พอผ่านไปซักพักก็เริ่มมีปัญหา ไม่ยอมตื่นเลยต้องแก้ปัญหาด้วยการอุ้มขึ้นรถเลย เตรียมชุดนักเรียนไปเปลี่ยนที่โรงเรียน และอาหารเช้าไปกินที่โรงเรียน
และนี่คือการตัดสินใจที่ผิดผลาดของแม่
เมื่อลูกเป็นเด็กพิเศษ
“โรงเรียนของลูก”
การตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูก แม่และพ่อตัดสินใจร่วมกันเริ่มจากในวัยอนุบาล เราเลือกโรงเรียนอนุบาลเปล่งประสิทธิ์ เป็นโรงเรียนแนวบูรณาการ และใกล้บ้าน ไม่ต้องตื่นเช้า โดยลูกเริ่มเข้าเรียนเนอร์สเซอรี่ตอนอายุ 2 ขวบ 4 เดือน
เนื่องจากพี่เลี้ยงลาออก แม่จึงตัดสินใจให้ลูกเริ่มไปโรงเรียนเลย
การดำเนินชีวิตในช่วงนี้ ดูจะเป็นปกติของเด็กวัยอนุบาล มีร้องไห้ตอนเช้าเกือบทุกเช้า และมักจะร้องในวันที่แม่ไปส่ง ส่วนวันที่พ่อไปส่งมักจะไม่มีปัญหา ในส่วนของการเรียน ครูจะมีรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะว่าลูกมีพัฒนาการ
อย่างไรบ้าง ซึ่งรายงานนี้มีส่วนทำให้แม่ตัดสินใจพาลูกไปหาหมอ
หลังจากไปหาหมอและได้รับการฝึกอย่างต่อเนื่อง ลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เขียนหนังสือได้ อ่านหนังสือออก จนทำให้ แม่มองว่าลูกก็เหมือนเด็กปกติทั่วไป แค่อาจจะยังหยิบจับสิ่งของเล็กๆไม่ถนัด ยังคงเดินล้มบ่อยๆ แต่ไม่เป็นไร เรื่องแบบนี้
ยังต้องฝึกกันต่อไป อีกหน่อยก็น่าจะดีขึ้น ทำให้เริ่มห่างจากการฝึกที่โรงพยาบาล และเริ่มห่างจากการไปหาหมอ
เมื่อคิดว่าลูกสามารถเรียนหนังสือได้ปกติ จึงอยากให้เรียนโรงเรียนสองภาษา เพราะแม่อยากให้เก่งภาษา ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะอยู่ไกล ห่างจากบ้าน 30 กิโล ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจแม่ได้ (ถ้าย้อนกลับไปได้ก็น่าตีแม่จริงๆ) โดยคิดเข้าข้างตัวเองว่า เราย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก และคิดว่าลูกก็ทำได้เหมือนเด็กทั่วไป
ดังนั้น การย้ายโรงเรียนจึงเกิดขึ้น ลูกย้ายไปเรียนชั้นอนุบาล 3 ที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศร่มเกล้า เนื่องจากโรงเรียนอยู่ไกล จึงต้องออกจากบ้านตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง เพื่อหนีรถติดและเพื่อให้แม่กลับมาทำงานทันเวลาเข้างาน 8.30 น.
ในช่วงแรกๆ ลูกก็ให้ความร่วมมือในการตื่น แต่พอผ่านไปซักพักก็เริ่มมีปัญหา ไม่ยอมตื่นเลยต้องแก้ปัญหาด้วยการอุ้มขึ้นรถเลย เตรียมชุดนักเรียนไปเปลี่ยนที่โรงเรียน และอาหารเช้าไปกินที่โรงเรียน
และนี่คือการตัดสินใจที่ผิดผลาดของแม่