ตอนที่ 1 การศึกษาของพี่โป๊ป
เรื่องราวในวัยเด็กของโป๊ป คนแรกที่ต้องชื่นชมคือครอบครัวที่สามารถเลี้ยงดู กล่อมเกลาให้โป๊ปเป็นโป๊ปได้อย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะคุณแม่ ที่โป๊ปเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นคนที่สนิทด้วยที่สุดในครอบครัว
โป๊ป ธนวรรธน์เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง มีช่วงชีวิตวัยเด็กเหมือนเด็กทั่วไป ออกแนวค่อนไปทางดื้อเงียบ มีความมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองคิด สิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้อง ตามแบบฉบับวัยรุ่นทั่วไป
เคยทะเลาะกับแม่และพี่สาวอยู่บ่อยครั้ง เคยหนีออกจากบ้าน ติดเพื่อน หนีไปอยู่บ้านเพื่อน ไม่ยอมกลับบ้าน จนคุณพ่อต้องไปตาม ถึงยอมกลับ เพราะโดยส่วนตัว เคยให้สัมภาษณ์ว่าจะกลัวพ่อมากกว่าแม่ ไม่ต้องคิดเลยทีเดียวว่าหัวอกคนเป็นแม่ ณ ตอนนั้นจะเป็นอย่างไร คงเจ็บปวดมากทีเดียว เพราะลูกชายหัวแก้ว หัวแหวน คนเดียว หายออกจากบ้านไปเป็นสัปดาห์ และถือว่ายังโชคดีที่โป๊ปสามารถกลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัย
โป๊ปเคยพูดไว้ว่า “ส่วนใหญ่ตอนผมเป็นเด็ก เวลาทะเลาะกัน แม่จะเป็นคนขอโทษผมก่อน” บ่งบอกได้ถึงความรัก และความใจเย็นที่คุณแม่ของโป๊ปพยายามใช้กับโป๊ป เช่นเดียวกันพ่อแม่ของวัยรุ่นต้องพยายามทำความเข้าใจในลักษณะของวัยรุ่นให้ได้ว่า “ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งพูดยิ่งทะเลาะ” ลักษณะนิสัยของวัยรุ่นคือต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เพราะถ้ายิ่งร้อน ตาต่อตาฟันต่อฟัน ก็เหมือนเดิมเชื้อไฟให้กันและกัน มีแต่จะส่งให้เกิดผลเสียหายแก่ครอบครัวตามมา
โป๊ปเป็นนักเรียนที่ไม่ได้เรียนเก่ง แต่มีพรสวรรค์ทางด้านการวาดภาพ โป๊ปเคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวโป๊ปสามารถเอ็นทรานซ์เข้าศึกษาต่อที่พระจอมเกล้าลาดกระบังได้นั้นเป็นเพราะวิชา Drawing ซึ่งทำได้เกือบเต็ม แต่พวกวิชาสามัญนั้นไม่ต้องพูดถึง แสดงว่าตัวโป๊ปเองก็ไม่ได้เก่งทุกอย่าง...
ครูอยากให้ผู้ปกครองมองตรงนี้ให้ดี
โป๊ปจบ ม.3 จากโรงเรียนหอวัง ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนชั้นนำของฝั่งลาดพร้าวเลยทีเดียว แต่พอ ม.4 โป๊ปเลือกที่จะเข้าเรียนช่างศิลป์ เพราะความชอบในการวาดภาพ ซึ่งคุณแม่ก็สนับสนุนให้เรียน ครูนึกย้อนถึงผู้ปกครองสมัยนี้ คงต้องบังคับให้ลูกต่อ ม.4 สายวิทย์คณิต เป็นแน่ เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า มันไปได้ไกลกว่า มันเลือกได้มากกว่า โดยไม่ได้คำนึงถึงว่า “ลูกของตัวเองต้องมาทนความเจ็บปวดมากเท่าใด”
คำว่าเจ็บปวดไม่ผิดค่ะ เพราะการเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ การทำในสิ่งที่ไม่รัก ฝืนใจต้องทำต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบนั้นไม่สนุกเลย ผู้ปกครองต้องถามตัวเองค่ะ เราทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อลูก นอกจากลูกจะเสียเวลาไปถึง 3 ปี ในการเรียนที่ไม่มีความสุข ทำในสิ่งที่ลูกไม่ชอบ และทำไม่ได้ดี เกรดออกมาก็ไม่ได้ดีมากมาย ในขณะที่หากปล่อยลูกให้เรียนในสายอาชีพ ทางศิลปะ ทางคอมพิวเตอร์ ทางดนตรี ทางเครื่องยนต์ที่ลูกชอบ ลูกจะมีเวลาถึง 3 ปี ในการฝึกฝน เรียนรู้ในสิ่งที่รัก ย่อมดีกว่ามาฝืนทนกับสิ่งที่ไม่ได้รักไม่ได้ชอบอยู่นานปี
นอกจากนี้นักเรียนเองก็ต้องเรียนรู้จากโป๊ป มีคำยืนยันจากเพื่อน ๆ รอบข้างของโป๊ปว่า โป๊ปไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
คำถามคือ ทำไมโป๊ปทำได้? ทั้งๆที่ตัวโป๊ปเองก็อยู่ในกลุ่มที่สุ่มเสี่ยง โป๊ปเคยบอกว่าสิ่งที่สำคัญคือ “ใจ” ใจของคนจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง และผมมี “อุดมการณ์” ของผม ใครก็เปลี่ยนผมไม่ได้ นอกจากโป๊ปจะเป็นตัวของตัวเองกับครอบครัวแล้ว แม้แต่กับเพื่อนเขาก็เป็นตัวของตัวเอง เพื่อนดื่ม เพื่อนสูบ เขาไม่จำเป็นต้องทำตามใคร ถือได้ว่าเป็นจุดยืนและมุมมองที่น่าคิดและน่าสนใจเลยทีเดียว วัยรุ่นทุกคนรู้ว่าบุหรี่ เหล้ามีอันตรายอย่างไรบ้าง แต่ก็เลือกที่จะเสพ เพียงเพราะคำว่าสังคม..การพยายามเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือกลุ่มเพื่อน เลยต้องทำตามที่สังคมส่วนใหญ่ทำ ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดีก็ตาม...
สังคมควรเรียนรู้จากจุดนี้... การศึกษาไทยกำลังพยายามทำอะไรกับนักเรียน?
เด็กทุกคนคือเมล็ดพันธุ์ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่แตกต่างกันไป มีทั้ง ทุเรียน ส้มโอ มังคุด ละมุด ลำไย...
แต่ด้วยความที่เราชอบกินทุเรียนมาก
เราเลยพยายามปลูกทุกเมล็ดให้เกิดขึ้นมาเป็นทุเรียน
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้...
เราใส่ปุ๋ย พรวนดินเมล็ดพันธุ์ไม่ถูกวิธี
ต้นอ่อนที่เติบโตขึ้นหลายต้นจึงหงิกงอ
หรือบางต้นก็เฉาตายไปเลยทีเดียว
ต้นไหนแข็งแกร่งและโชคดีก็รอดตายไปจากการปลูกที่ไม่ถูกวิธี...
เราวัดความเก่งของเด็กจากอะไร?
หยุดมุมมอง “เด็กเก่ง = เด็กวิทย์”
เด็กทุกคนมีความสามารถที่ต่างกัน
หยุดคาดหวังให้เขาโตมาเป็นคนเก่งแบบเดียวกัน...
เพียงแค่ช่วยกัน ขัดเกลาให้เขาเป็น
“พลเมืองที่ดีของสังคม” และ
“เก่งในแบบที่เขาเป็น” ก็น่าจะเพียงพอแล้ว...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
cr:
https://www.facebook.com/prempree.s/posts/1903189096378963
ข้อคิดสะกิดใจจากชีวิตพี่หมื่น [โป๊ป ธนวรรธน์]
ตอนที่ 1 การศึกษาของพี่โป๊ป
เรื่องราวในวัยเด็กของโป๊ป คนแรกที่ต้องชื่นชมคือครอบครัวที่สามารถเลี้ยงดู กล่อมเกลาให้โป๊ปเป็นโป๊ปได้อย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะคุณแม่ ที่โป๊ปเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นคนที่สนิทด้วยที่สุดในครอบครัว
โป๊ป ธนวรรธน์เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง มีช่วงชีวิตวัยเด็กเหมือนเด็กทั่วไป ออกแนวค่อนไปทางดื้อเงียบ มีความมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองคิด สิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้อง ตามแบบฉบับวัยรุ่นทั่วไป
เคยทะเลาะกับแม่และพี่สาวอยู่บ่อยครั้ง เคยหนีออกจากบ้าน ติดเพื่อน หนีไปอยู่บ้านเพื่อน ไม่ยอมกลับบ้าน จนคุณพ่อต้องไปตาม ถึงยอมกลับ เพราะโดยส่วนตัว เคยให้สัมภาษณ์ว่าจะกลัวพ่อมากกว่าแม่ ไม่ต้องคิดเลยทีเดียวว่าหัวอกคนเป็นแม่ ณ ตอนนั้นจะเป็นอย่างไร คงเจ็บปวดมากทีเดียว เพราะลูกชายหัวแก้ว หัวแหวน คนเดียว หายออกจากบ้านไปเป็นสัปดาห์ และถือว่ายังโชคดีที่โป๊ปสามารถกลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัย
โป๊ปเคยพูดไว้ว่า “ส่วนใหญ่ตอนผมเป็นเด็ก เวลาทะเลาะกัน แม่จะเป็นคนขอโทษผมก่อน” บ่งบอกได้ถึงความรัก และความใจเย็นที่คุณแม่ของโป๊ปพยายามใช้กับโป๊ป เช่นเดียวกันพ่อแม่ของวัยรุ่นต้องพยายามทำความเข้าใจในลักษณะของวัยรุ่นให้ได้ว่า “ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งพูดยิ่งทะเลาะ” ลักษณะนิสัยของวัยรุ่นคือต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เพราะถ้ายิ่งร้อน ตาต่อตาฟันต่อฟัน ก็เหมือนเดิมเชื้อไฟให้กันและกัน มีแต่จะส่งให้เกิดผลเสียหายแก่ครอบครัวตามมา
โป๊ปเป็นนักเรียนที่ไม่ได้เรียนเก่ง แต่มีพรสวรรค์ทางด้านการวาดภาพ โป๊ปเคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวโป๊ปสามารถเอ็นทรานซ์เข้าศึกษาต่อที่พระจอมเกล้าลาดกระบังได้นั้นเป็นเพราะวิชา Drawing ซึ่งทำได้เกือบเต็ม แต่พวกวิชาสามัญนั้นไม่ต้องพูดถึง แสดงว่าตัวโป๊ปเองก็ไม่ได้เก่งทุกอย่าง...
ครูอยากให้ผู้ปกครองมองตรงนี้ให้ดี
โป๊ปจบ ม.3 จากโรงเรียนหอวัง ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนชั้นนำของฝั่งลาดพร้าวเลยทีเดียว แต่พอ ม.4 โป๊ปเลือกที่จะเข้าเรียนช่างศิลป์ เพราะความชอบในการวาดภาพ ซึ่งคุณแม่ก็สนับสนุนให้เรียน ครูนึกย้อนถึงผู้ปกครองสมัยนี้ คงต้องบังคับให้ลูกต่อ ม.4 สายวิทย์คณิต เป็นแน่ เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า มันไปได้ไกลกว่า มันเลือกได้มากกว่า โดยไม่ได้คำนึงถึงว่า “ลูกของตัวเองต้องมาทนความเจ็บปวดมากเท่าใด”
คำว่าเจ็บปวดไม่ผิดค่ะ เพราะการเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ การทำในสิ่งที่ไม่รัก ฝืนใจต้องทำต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบนั้นไม่สนุกเลย ผู้ปกครองต้องถามตัวเองค่ะ เราทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อลูก นอกจากลูกจะเสียเวลาไปถึง 3 ปี ในการเรียนที่ไม่มีความสุข ทำในสิ่งที่ลูกไม่ชอบ และทำไม่ได้ดี เกรดออกมาก็ไม่ได้ดีมากมาย ในขณะที่หากปล่อยลูกให้เรียนในสายอาชีพ ทางศิลปะ ทางคอมพิวเตอร์ ทางดนตรี ทางเครื่องยนต์ที่ลูกชอบ ลูกจะมีเวลาถึง 3 ปี ในการฝึกฝน เรียนรู้ในสิ่งที่รัก ย่อมดีกว่ามาฝืนทนกับสิ่งที่ไม่ได้รักไม่ได้ชอบอยู่นานปี
นอกจากนี้นักเรียนเองก็ต้องเรียนรู้จากโป๊ป มีคำยืนยันจากเพื่อน ๆ รอบข้างของโป๊ปว่า โป๊ปไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
คำถามคือ ทำไมโป๊ปทำได้? ทั้งๆที่ตัวโป๊ปเองก็อยู่ในกลุ่มที่สุ่มเสี่ยง โป๊ปเคยบอกว่าสิ่งที่สำคัญคือ “ใจ” ใจของคนจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง และผมมี “อุดมการณ์” ของผม ใครก็เปลี่ยนผมไม่ได้ นอกจากโป๊ปจะเป็นตัวของตัวเองกับครอบครัวแล้ว แม้แต่กับเพื่อนเขาก็เป็นตัวของตัวเอง เพื่อนดื่ม เพื่อนสูบ เขาไม่จำเป็นต้องทำตามใคร ถือได้ว่าเป็นจุดยืนและมุมมองที่น่าคิดและน่าสนใจเลยทีเดียว วัยรุ่นทุกคนรู้ว่าบุหรี่ เหล้ามีอันตรายอย่างไรบ้าง แต่ก็เลือกที่จะเสพ เพียงเพราะคำว่าสังคม..การพยายามเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือกลุ่มเพื่อน เลยต้องทำตามที่สังคมส่วนใหญ่ทำ ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดีก็ตาม...
สังคมควรเรียนรู้จากจุดนี้... การศึกษาไทยกำลังพยายามทำอะไรกับนักเรียน?
เด็กทุกคนคือเมล็ดพันธุ์ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่แตกต่างกันไป มีทั้ง ทุเรียน ส้มโอ มังคุด ละมุด ลำไย...
แต่ด้วยความที่เราชอบกินทุเรียนมาก
เราเลยพยายามปลูกทุกเมล็ดให้เกิดขึ้นมาเป็นทุเรียน
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้...
เราใส่ปุ๋ย พรวนดินเมล็ดพันธุ์ไม่ถูกวิธี
ต้นอ่อนที่เติบโตขึ้นหลายต้นจึงหงิกงอ
หรือบางต้นก็เฉาตายไปเลยทีเดียว
ต้นไหนแข็งแกร่งและโชคดีก็รอดตายไปจากการปลูกที่ไม่ถูกวิธี...
เราวัดความเก่งของเด็กจากอะไร?
หยุดมุมมอง “เด็กเก่ง = เด็กวิทย์”
เด็กทุกคนมีความสามารถที่ต่างกัน
หยุดคาดหวังให้เขาโตมาเป็นคนเก่งแบบเดียวกัน...
เพียงแค่ช่วยกัน ขัดเกลาให้เขาเป็น
“พลเมืองที่ดีของสังคม” และ
“เก่งในแบบที่เขาเป็น” ก็น่าจะเพียงพอแล้ว...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
cr: https://www.facebook.com/prempree.s/posts/1903189096378963