บ้านเราไม่ได้ใช้ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เป็นบทสนทนาระหว่างทำงาน และคุยกันเรื่องทำไร่ทำนา เพราะเลี้ยงปู่ตาแล้ว และเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว คนงานใช้วันหยุด ไถ หว่าน เตรียมเพาะปลูก
หมู่บ้านที่เรามาทำงาน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอเล็กๆ ตัวอำเภอไม่มีร้านค้าปลีกของ cp หรือว่ารายอื่นที่ใหญ่ๆ มีเพียงของคนท้องถิ่น แต่ร้านขายยา กลับขายราคาถูกกว่าร้านในตัวจังหวัด อาจเพราะถ้าขายแพง คนก็ไม่ซื้อ เราก็เลยไม่จำเป็นต้องขนอะไรมาเยอะแยะ มาซื้อเอาที่นี่ ยกเว้นของบางอย่างที่ไม่มี ซึ่งก็ถือว่าเยอะอยู่ อย่าว่าแต่ไม่มีเลย ถามชาวบ้านก็ไม่รู้จัก
คนงานของเรา เล่าถึงค่านิยมที่นี่ว่า หากบ้านไหนปลูกผักแล้วใช้สารเคมี ชาวบ้านจะไม่ซื้อ และผักที่กินกันส่วนใหญ่ก็ปลูกกันเอง เก็บตามไร่นา ข้างทาง ซึ่งปลอดภัย เพราะไม่มีการใช้สารเคมีในการเกษตรภายในชุมชน
แต่สิ่งที่เหนือไปกว่านั้น แต่ละวันชาวบ้านแทบจะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย ยกเว้นสิ้นเดือน มีค่าน้ำ ค่าไฟ แต่หนักสุดคือ คนที่มีลูกหลานอยู่ในวัยเรียน เราจำได้ว่า เคยไปทำงานอีกไซต์อีกจังหวัด คนงานถามว่า ไม่มีงานให้ทำอีกเหรอ เขาอยากทำงานที่บ้าน เป็นห่วงลูกกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เราก็บอก ไม่มีแล้ว พี่แกเลยบอกว่า งั้นคงต้องไปทำงานกรุงเทพฯ ไม่อย่างนั้น จะไม่มีเงินส่งลูกเรียน
ถ้าทำบัญชีครัวเรือน จะพบว่า ค่าใช้จ่ายหลักๆของชาวบ้านคือ ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ของลูกหลาน อาหารการกินนี่แทบจะไม่ได้ซื้อกันเลย
เลี้ยง ไก่ เลี้ยงเป็ด มีโปรตีนกิน มีปลาในน้ำ มีกุดจี่ในกองขี้ควาย มีจิ้งหรีด มีจิป่มมีไข่มดแดง ช่วงฝนก็หาเห็ดตามป่าชุมชน ที่ชาวบ้านเรียกว่า ซุปเปอร์มาเก็ต
ปกติ เราเป็นคนธาตุอ่อน เขาว่านะ จะท้องเสียง่าย แพ้น้ำส้มสายชู แต่เรามาทำงานกินอาหารรวมกับชาวบ้าน เปอร์เซ็นต์ ท้องเสียของเราน้อยลง ทั้งๆที่กินผักข้างทาง
บางทีก็คิดนะ ถ้าเราอยู่โดยพึ่งพาตัวเองได้ เราก็ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก ยิ่งถ้าเราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ชีวิตของเราก็ยิ่งจะดีขึ้น
เอาเรื่องเล่ามาฝาก เท่านี้แหละค่ะ
ภาพนี้ เราออกไปเดินออกกำลังกายตอนเช้า
เรื่องเล่าจากบ้านนอก
เป็นบทสนทนาระหว่างทำงาน และคุยกันเรื่องทำไร่ทำนา เพราะเลี้ยงปู่ตาแล้ว และเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว คนงานใช้วันหยุด ไถ หว่าน เตรียมเพาะปลูก
หมู่บ้านที่เรามาทำงาน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอเล็กๆ ตัวอำเภอไม่มีร้านค้าปลีกของ cp หรือว่ารายอื่นที่ใหญ่ๆ มีเพียงของคนท้องถิ่น แต่ร้านขายยา กลับขายราคาถูกกว่าร้านในตัวจังหวัด อาจเพราะถ้าขายแพง คนก็ไม่ซื้อ เราก็เลยไม่จำเป็นต้องขนอะไรมาเยอะแยะ มาซื้อเอาที่นี่ ยกเว้นของบางอย่างที่ไม่มี ซึ่งก็ถือว่าเยอะอยู่ อย่าว่าแต่ไม่มีเลย ถามชาวบ้านก็ไม่รู้จัก
คนงานของเรา เล่าถึงค่านิยมที่นี่ว่า หากบ้านไหนปลูกผักแล้วใช้สารเคมี ชาวบ้านจะไม่ซื้อ และผักที่กินกันส่วนใหญ่ก็ปลูกกันเอง เก็บตามไร่นา ข้างทาง ซึ่งปลอดภัย เพราะไม่มีการใช้สารเคมีในการเกษตรภายในชุมชน
แต่สิ่งที่เหนือไปกว่านั้น แต่ละวันชาวบ้านแทบจะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย ยกเว้นสิ้นเดือน มีค่าน้ำ ค่าไฟ แต่หนักสุดคือ คนที่มีลูกหลานอยู่ในวัยเรียน เราจำได้ว่า เคยไปทำงานอีกไซต์อีกจังหวัด คนงานถามว่า ไม่มีงานให้ทำอีกเหรอ เขาอยากทำงานที่บ้าน เป็นห่วงลูกกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เราก็บอก ไม่มีแล้ว พี่แกเลยบอกว่า งั้นคงต้องไปทำงานกรุงเทพฯ ไม่อย่างนั้น จะไม่มีเงินส่งลูกเรียน
ถ้าทำบัญชีครัวเรือน จะพบว่า ค่าใช้จ่ายหลักๆของชาวบ้านคือ ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ของลูกหลาน อาหารการกินนี่แทบจะไม่ได้ซื้อกันเลย
เลี้ยง ไก่ เลี้ยงเป็ด มีโปรตีนกิน มีปลาในน้ำ มีกุดจี่ในกองขี้ควาย มีจิ้งหรีด มีจิป่มมีไข่มดแดง ช่วงฝนก็หาเห็ดตามป่าชุมชน ที่ชาวบ้านเรียกว่า ซุปเปอร์มาเก็ต
ปกติ เราเป็นคนธาตุอ่อน เขาว่านะ จะท้องเสียง่าย แพ้น้ำส้มสายชู แต่เรามาทำงานกินอาหารรวมกับชาวบ้าน เปอร์เซ็นต์ ท้องเสียของเราน้อยลง ทั้งๆที่กินผักข้างทาง
บางทีก็คิดนะ ถ้าเราอยู่โดยพึ่งพาตัวเองได้ เราก็ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก ยิ่งถ้าเราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ชีวิตของเราก็ยิ่งจะดีขึ้น
เอาเรื่องเล่ามาฝาก เท่านี้แหละค่ะ
ภาพนี้ เราออกไปเดินออกกำลังกายตอนเช้า