เล่หห์ร้ายหัวใจป่วนรัก ตอนที่ 1

ตอนที่ 1
                                                                                     แต่งงาน

         มันจะเอาอะไร?
         .....จะเอาอะไร?
         .....จะเอาอะไร? เสียงพึมพำเร็วๆ ซ้ำๆ ผสมเสียงหายใจหอบเหนื่อย สมองสั่งให้ก้าว ก้าวให้เร็วที่สุด
  
         อย่ามองข้างหลังนะ!
         วิ่ง! วิ่ง อย่างเดียวเท่านั้น!
         เสียงไล่ตามที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และ เรื่อยๆ  จนกระทั่งเสียงนั้นอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว
         เหงื่อเม็ดโตผุดพรายทั่วใบหน้า ชุดเจ้าสาวแสนสวยเปื้อนเลอะคราบดิน ชายกระโปรงขาดวิ่นจากการถูกกิ่งไม้เกาะเกี่ยว แขนขาก้าวได้อย่างคล่องแคล่ว  ในทีแรกเริ่มหมดแรง แต่เจ้าสัตว์ร้ายน่ากลัวยังคงเลื้อยตามมาอย่างไม่ลดละ มันแผดร้องเสียงดังจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งป่า ปิ่นอนงค์ยกมือขึ้นป้องใบหูที่  อื้ออึง เริ่มรับรู้ในชะตากรรมของตนเอง

        ไม่นานเจ้างูตัวใหญ่ยักษ์ ก็เข้าประชิดตัวเธอได้อย่างรวดเร็ว เธอตัดสินใจหันหลังกลับ เห็นมันกำลังยกหัวขึ้นสูงคล้ายกำลังจะจู่โจม

        วินาทีนั้นขาทั้งสองข้างดังถูกมนต์สะกดให้หยุดอยู่กับที่ ตากลมโตเบิกกว้างหวาดกลัวสุดขีด เจ้างูปิศาจนั่นแลบลิ้น ดวงตาสีแดงสดจ้องหน้าเธอเขม็ง ราวกับกำลังข่มขู่แล้วยื่นหัวของมันเข้ามาใกล้คล้ายสำรวจอาหารอย่างใจเย็น แต่เพียงชั่วพริบตาก่อนจะได้ตั้งหลัก ลำตัวของมันก็เลื้อยรัดรอบตัวเธอไว้อย่างแน่นหนา ปิ่นอนงค์พยายามดิ้นเท่าไรมันก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่เจ้างูยักษ์กำลังอ้าปากแล้วพุ่งเข้ามา    ปิ่นอนงค์ก็ร้องกรี๊ดเสียงดังลั่น ก่อนภาพทุกอย่างจะจางหาย

       สติสัมปชัญญะดับวูบ

       ตุ๊บ!!
       วัตถุบางอย่างตกกระแทกพื้นอย่างแรง ตามด้วยเสียงร้องโอดโอยของใครบางคน ที่เวลานี้กำลังนอนแอ้งแม้งแทบเป็นส่วนเดียวกันกับพื้น
ปิ่นอนงค์ค่อยปรี่ตามองสภาพโดยรอบ พบว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่ง
       ความตกใจทำให้ลืมความเจ็บปวดชั่วขณะ ก่อนผุดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอหันซ้ายแลขวาสำรวจสิ่งรอบข้างอย่างถี่ถ้วน ห้องกว้างขนาดใหญ่ ที่นอนคิงไซซ์หนานุ่ม โคมไฟหัวเตียง ชั้นหนังสือ ตู้เสื้อผ้าอันเบ้อเริ่มเทิ่ม โต๊ะ เก้าอี้ โซฟา และของใช้ต่างๆ บ่งบอกรสนิยมเจ้าของได้เป็นอย่างดี แล้วตกลงที่นี่ที่ไหน ปิ่นอนงค์กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิดก่อนภาพอันเลือนลางนั้นค่อยปรากฏขึ้นในหัว

        เมื่อคืน...
        "เอ้า ดื่ม เอาให้ถึงเช้าปาย...เลย"ปิ่นอนงค์ยกแก้วน้ำเมาสีขาวขึ้น แล้วทำท่าชน แต่เพื่อนที่มาด้วยไม่ให้ความร่วมมือกับเธออีกต่อไป
        "พอเถอะปิ่น จะกินให้ผับรวยรึไงยะ"อิศยาเพื่อนสนิทที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แย่งแก้วเหล้าจากคนไม่ได้สติมาถือไว้
        "ได้ไงอะ เอาคืนมาให้ช้าน..."ปิ่นอนงค์ยื่นมือสะเปะสะปะหวังคว้าแก้าเหล้าคืนมาให้ได้ แต่อิศยาเบี่ยงหลบแล้วปัดมือเพื่อนออกเบาๆ
        "ฉันว่าเรากลับบ้านดีกว่านะ เมามากแล้ว"อิศยาเอ่ยเตือน แต่ไม่เป็นผล คนเมายังคงดื้อ ในเมื่อไม่ให้แก้วเหล้าเธอ ก็ยกซดมันทั้งขวดนี่แหละ
        คิดจบเธอก็คว้าเอาขวดเหล้าที่วางอยู่ใกล้มือ ยกขึ้นซดจริงๆ จนอิศยาตกใจตั้งรับไม่ทัน กว่าจะวางแก้วที่แย่งไปแล้วคว้าขวดเหล้าจากเพื่อนมาไว้ในมือได้  ปิ่นอนงค์ก็กรึ๊บเข้าไปแล้วหลายอึก
        "จะบ้ารึไงยัยปิ่น เหล้านะไม่ใช่น้ำ กินแบบนี้เธอจะกลับบ้านยังไง ค่อยๆ คิดสิ ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยวิธีแบบนี้"อิศยาว่าเสียงดุ เมื่อเห็นเพื่อนไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
           
        "ถูกบังคับให้แต่งงาน กับคราย..ก็ไม่รู้ ถ้าม่าย..แต่ง บริษัทก็ถูกฟ้องล้มละลาย มันม่าย..มีทางออกล้าว.. วันนี้ช้านขอเถอะ นะ..เอิ้ก"ปิ่นอนงค์มอ'เพื่อน ศีรษะโคลงเคลงไปมา เธอยิ้มเยาะตัวเองแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงประชด"ช้านนี่มันโชค...ดีจริงๆ"
        "ก็ได้ๆ แต่ไปล้างหน้าล้างตาก่อน"อิศยาพยายามหาข้ออ้าง เพื่อให้ปิ่นอนงค์มีเวลาเรียกสติกลับคืนมาได้บ้าง
        "โอ..เค้ แต่ต้องคืนเหล้าขวดน้าน..นะ"เธอยังต่อรองด้วยน้ำเสียงไม่ปกติ อิศยาพยักหน้า
        "อือ ได้"แต่มือยังกำขวดเหล้าไว้แน่น สายตามองเพื่อนอย่างระแวดระวัง กลัวว่าปิ่นอนงค์จะมาแย่งไปอีก ปิ่นอนงค์ลุกขึ้นตัวเซ อิศยารีบเข้าประคองด้วยความเป็นห่วงในมือยังถือขวดเหล้าอยู่
        "ม่ายต้อง ม่ายต้อง ดูแลตัวเองด้าย.."ปิ่นอนงค์บอก ยืนโอนเอนคล้ายจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่แต่ยังทำอวดเก่ง
        "แน่นะ"อิศยาถามย้ำ ไม่ไว้ใจ
        "แน่...สิ"คนเมาตอบเสียงยาน
        ปิ่นอนงค์เดินโซซัดโซเซตรงไปยังห้องน้ำ จนกระทั่งทำธุระเสร็จ เธอจึงใช้ความพยายามปลดกลอนประตูออกมาอย่างทุลักทุเล เบื้องหน้าประตูที่เพิ่งเปิดออกได้ ปิ่นอนงค์มองเห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนล้างมืออยู่หน้ากระจก
        เขาคนนั้นรูปร่างหน้าตาจัดว่าหล่อเหลาเอาการ ยิ่งมองยิ่งแลดูมีเสน่ห์ จนเธอเผลอจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอนึกขึ้นได้ว่านี่มันห้องน้ำผู้หญิง เธอก็แทบกรี๊ด แต่ก็ยังคิดในแง่ดีว่าเขาอาจจะเข้าห้องผิด คงไม่ใช่โรคจิตหรอกมั้ง แต่คนหล่อใช่ว่าจะเป็นโรคจิตไม่ได้ คิดไปทำให้เธอยิ่งนึกหวั่นใจกลัว ประตูทางออกอยู่ไกลเสียด้วย
        ทันใดนั้นปิ่นอนงค์จึงตัดสินใจวิ่ง ก่อนที่เขาจะหันมาเห็นเธอ หรือเขาอาจจะแอบเห็นเธอผ่านทางกระจกแล้วก็ได้
ทั้งที่สมองสั่งให้วิ่งแต่เจ้ากรรมขามันดันไม่ก้าวตาม คงเกิดจากฤทธิ์เหล้าที่กินเข้าไป ทำให้อะไรก็ดูช้าไปหมด และพื้นห้องน้ำดันลื่น ทำให้ปิ่นอนงค์เสียหลักไถลล้มลงหน้าผากจูบกับพื้นแบบพอดิบพอดี หลังจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้อีก
         
       เมื่อลำดับเหตุการณ์ทุกอย่างได้ในเวลาอันรวดเร็ว  ปิ่นอนงค์รีบก้มสำรวจตนเองทันใด พบว่าชุดเดิมที่สวมเมื่อคืนถูกเปลี่ยนใหม่ กลายเป็นชุดนอนตัวใหญ่ของผู้ชายตัวโตแทน ปิ่นอนงค์ร้องเฮ้ยเบาๆยกมือขึ้นแนบอก ไม่มั่นใจว่าอาจถูกล่วงเกินหรือไม่ เธอก้มมองตัวเองอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง แต่ยังพยายามควบคุมสติเพื่อหาทางรอดไปจากที่นี่ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
       ขาเรียวค่อยก้าวไปยังประตูอย่างเงียบเชียบ มือบางจับลูกบิดแล้วค่อยคลี่ประตูออกพอเป็นช่องให้มองเห็นความเคลื่อนไหวภายนอกได้ พลันสายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่หันหลังให้ มือเรียวหนากำลังพิมพ์ข้อความบางอย่างลงบนแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊ก เธอคาดว่าน่าจะเป็นมันที่พาเธอมากักตัวไว้ที่นี่ แม้จะจำหน้าไม่ได้ แต่ประเมินจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเพียงมองจากทางด้านหลังก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะบ่งว่ามันนี่แหละ ไอ้โรคจิตคนนั้น ที่เธอเจอในห้องน้ำผู้หญิงเมื่อคืน มันคงเป็นคนที่พาตัวเธอมาที่นี่
       ปิ่นอนงค์ค่อยปิดประตูอย่างเบามือ เธอกำลังวางแผน พลันกวาดมองไปรอบๆ ห้อง เพื่อหาตัวช่วยที่ดีที่สุด เธอยกยิ้มเมื่อสายตาปะทะเข้ากับไม้กอล์ฟขนาดพอดีมือ ก่อนเดินไปหยิบมันออกมาจากชั้นอย่างใจเย็น ในสถานการณ์เช่นนี้เธอจะกลัวไม่ได้ เพราะความกลัวทำให้อ่อนแอ เธอเกลียดความอ่อนแอ
       ดวงตากลมโตมองไม้กอล์ฟในมือด้วยความเชื่อมั่น เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพิ่มความฮึกเหิม ก่อนเดินอย่างช้าๆ แล้วหยุดอยู่ตรงมุมประตู มือกระชับไม้กอล์ฟแน่นก่อนตะโกนออกไป
       "ช่วยด้วย!"
       เป็นไปตามแผนเมื่อตะโกนได้เพียงหนึ่งครั้ง ประตูถูกเปิดออก ปรากฏร่างสูงใหญ่ของเป้าหมาย ก้าวเข้ามาอย่างเร่งร้อนแต่ยังคงท่าทีสง่า ปิ่นอนงค์ไม่รอมองว่าเขาแสดงสีหน้าอย่างไร เธอตัดสินใจหวดไม้กอล์ฟลงบนแผ่นหลังเขาอย่างแรงและเร็วจนชายคนนั้นเสียหลักเซไปด้านหน้า แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธออาศัยจังหวะและช่องว่างที่มีอยู่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่สนสิ่งกีดขวางใดๆทั้งสิ้น และไม่หันกลับไปข้างหลังอีก เธอจำหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นไรเธอขี้เกียจยุ่งยากกับการขึ้นโรงพักอยู่แล้ว อย่างน้อยไม้กอล์ฟก็น่าจะทำให้ไอ้โรคจิตนั่นระบมไปได้หลายวัน ถือว่าเป็นการเอาคืนก็แล้วกัน
          นางสาวปิ่นอนงค์ คงความดี อายุ 22 ปี พึ่งจบการศึกษาหมาดๆ ตัวเล็กบอบบาง หน้าตากลมแป้น เพื่อนๆมักให้ฉายาเธอว่า สาวน้อยซาลาเปา เวลายิ้มแล้วตาหยีเป็นรูปสระอิ( จินตนาการได้จากอาหมวยแถวสำเพ็ง)จมูกไม่โด่งมากแต่หายใจสะดวก รับเข้ากับใบหน้าแล้วคือพอใช้ได้ ไม่สวยมากแต่น่ารัก(ข้อนี้เธอคิดเองเออเอง) นิสัยใจคอเป็นคนรักเด็ก รักธรรมชาติ ไม่สนใจเครื่องของมึนเมาทั้งสิ้น(แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่เพราะของมึนเมาหรอกรึ?)
          ถ้าตอบแบบเข้าข้างตัวเอง ไม่น่าจะใช่นะ(มั้ง)
          แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่า เท่าที่ตอนนี้เธอกำลังจะได้แต่งงาน แต่งทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าเจ้าบ่าว จะหูหนวก ตาเหล่ พิการแขนขาข้างใดข้างหนึ่งเธอก็คงต้องรับให้ได้ทั้งนั้น เพราะมันคือบัญชาของแม่ ผู้ปกครองคนเดียวที่มีอยู่ กำลังจะบอกว่าเธอเป็นลูกกตัญญูก็น่าจะใช่ แต่ไม่ใช่นางเอกผู้แสนดีในละครน้ำเน่าหลังข่าวอย่างแน่นอน
          หลังจากผ่านเหตุการณ์หลบหนีไอ้โรคจิตในเช้าวันนั้น ปิ่นอนงค์ก็เอาแต่ซุกตัวอยู่ในห้องไม่กล้าออกไปซ่าข้างนอกอีก ยังดีที่หมอบอกว่าเธอปกติดีทุกอย่างไม่มีอะไรล่วงล้ำเข้าไปในอนาจักรที่แสนห่วงหวงทั้งสิ้น อย่างน้อยก็ยังโชคดี ที่ยังรักษาจิ้นไว้ได้อีกสักพัก แม้หลังจากแต่งงานเธอจะต้องเสียมันไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ให้กับไอ้คนที่เธอไม่ได้รัก(ขอโทษที่ใช้คำหยาบอารมณ์มันพาไป ที่จริงเธอเป็นคนเรียบร้อยนะ)
          ปิ่นอนงค์มองออกไปนอกหน้าต่าง พลางนึกถึงวันที่แม่บอกว่าจะต้องแต่งงาน แต่งเพื่อล้างหนี้สิบล้านจากผลพวงเรื่องธุรกิจที่จบไม่สวยของครอบครัว  ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าหาหญิงอื่นไม่ได้แล้วรึ ทำไมต้องเธอ อันที่จริงฝ่ายโน้นก็ระดับอภิมหาเศรษฐีดีๆ นี่เอง ซ้ำยังมีหลานชายแค่สองคน ไม่ต้องพูดเรื่องหน้าตา แค่กลิ่นของเงินก็คงเรียกสาวน้อยสาวใหญ่เข้าหาได้ไม่ยาก แต่ทำไมต้องใช้วิธีคลุมถุงชน
          ขณะคิดอะไรเพลินๆ ในช่วงเวลาทำใจ เสียงเร่งเร้าอันคุ้นหูก็ดังขึ้นจากชั้นล่างของบ้าน
         "ปิ่น! ปิ่น!"
         ปิ่นอนงค์กลอกตาอย่างเบื่อหน่ายแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเซ็งจัด"ค่า แม่ ได้ยินแล้วค่ะ”
         "ลงมานี่เร็ว ด่วนเลยๆ"
         ปิ่นอนงค์ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวลงจากบันไดชั้นสองอย่างรีบเร่ง เมื่อถึงชั้นล่างเธอเห็นมารดาสุดที่รักส่งยิ้มพอใจมาให้ ในมือถือชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา ปักมุกเม็ดเล็กรอบคอ ตรงชายเป็นลูกไม้สีเดียวกับชุด มันก็ดูสวยดีอยู่หรอกถ้าได้แต่งกับคนที่อยากจะแต่งด้วย
         ปิ่นอนงค์ทำหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกขณะที่ก้าวไปหามารดา
         "มาลองชุดเร็ว ชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดูสิสวยเชียว"กานดาจีบปากจีบคอบอกอย่างอารมณ์ดี ปิ่นอนงค์แอบเบ้ปากด้วยใบหน้าเซ็งโลกเล็กน้อย แล้วยื่นมือรับชุดจากมารดามาถือไว้
        "ไหน ไปลองมาให้แม่ดูซิ จะต้องปรับแก้ตรงไหนบ้าง"
        "ค่ะ แม่"เธอตอบรับด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เดินลับเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง แล้วกลับออกมาในเวลาอันรวดเร็วด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์เช่นเดิม
        "สวยมากลูกแม่ เพอร์เฟคที่สุด"กานดาเอ่ยชมลูกสาวเมื่อเห็นเดินออกมาจากห้อง คนถูกชมไม่ได้รู้สึกรู้สากับคำชมนั้น แม่ทุกคนย่อมมองว่าลูกตัวเองสวยหล่อทั้งนั้นแหละ
         กานดาเข้าไปใกล้ แล้วก้มสำรวจชุดอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ"เป๊ะทุกอย่างเลยลูก ไม่มีอะไรต้องแก้เลย"
ปิ่นอนงค์ทำเพียงยืนนิ่งให้มารดาเชยชมจนสาแก่ใจ แล้วเธอจึงค่อยไปเปลี่ยนเป็นชุด ชุดเดิม จากนั้นจึงขอตัวขึ้นห้อง
         กานดามองตามบุตรสาวด้วยสีหน้าแช่มชื่น แม้การแต่งงานครั้งนี้จะแปลกประหลาดสักหน่อย เพราะตกลงใจทั้งสองฝ่ายแล้วแต่บ่าวสาวกลับยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากัน ซ้ำยังมีเงื่อนไขบางอย่างที่เธอยังไม่ได้บอกบุตรสาว แต่กานดามั่นใจว่าการตัดสินใจของเธอย่อมได้มากกว่าเสีย นอกจากปลดหนี้แล้ว ปิ่นอนงค์ยังจะได้เป็นถึงภรรยาของทายาทมหาเศรษฐี ถึงมีข้อตกลงเรื่องทะเบียนสมรสว่าฝ่ายหญิงจะไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติ ไม่ว่าจะได้มาก่อนหรือหลังสมรสก็ตาม แต่เธอก็มีวิธีอื่นที่จะขอเงินจากทางนั้นได้แบบสบายๆ

   มีต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่