
“จ้าวป่า” (พ่อครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์) 11/5/2561
https://pantip.com/topic/37654744/comment3
นำมาจาก Facebook ครับ เพื่อให้ศึกษาชีวิตท่านพ่อครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์
.. สรายุทธ 11/5/2561
Pinit Punchuen shared a post.
May 9 at 10:11pm ·
บันทึกของคนธรรมดาคนหนึ่ง
https://bit.ly/2jLEe3s
January 3, 2015 ·
เรียนรู้อะไรจากป่า (ตอนที่ 1)
เมื่อวานเล่าเรื่อง “จ้าวป่า” (พ่อครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์) ไปแล้ว
(ท่านเจ้าของเรื่องแอบกระซิบมาว่า อาจารย์อย่าทำให้ผมเป็นเทวดานะครับ เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดคิดว่า ผมดีเลิศกว่ามนุษย์คนอื่น เพราะผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น มีผิดมีพลาดเหมือนกับคนอื่น ๆ เขานั่นแหล่ะ – ตอบท่านไปว่า แฟนเพจคงจะเข้าใจเรื่องความเป็นมนุษย์ของท่านอย่างแน่นอน แต่ในที่นี้ บันทึกของคนธรรมดาคนหนึ่งอยากจดจารแต่สิ่งที่ดีงามที่ใคร่ครวญแล้วว่า “ไม่ธรรมดา” ของบุคคลที่ได้ไปประสบพบเจอมา ความไม่ธรรมดานั้นก็ตัดสินได้โดยใช้เกณฑ์ที่เป็นอัตวิสัย (subjective) อย่างยิ่ง คือ อะไรก็ตามที่คนเขียนเพจ (ไม่มีวัน) ทำได้สำเร็จ นั่นคือ “ความไม่ธรรมดา” นั่นเอง)
ขอเข้าเรื่องว่า ในการไปเยือนสวนป่ามหาชีวาลัย ผู้คนที่ไปเยือนได้เรียนรู้อะไรบ้าง (ข้อความส่วนที่มี ปี พ.ศ. ระบุไว้นั้น เอามาจาก
http://www.budmgt.com/…/to…/learning-community-kruba-sn.html เพื่อให้ท่านเห็นพัฒนาการของการเรียนรู้ที่พ่อครูบาเรียก การลองผิดลองถูก หรือ การทำอะไรบนความไม่พร้อม แต่เราเห็นว่า ทำเรื่องธรรมดาให้เป็นเรื่องพิเศษมากกว่า)
ในปี 2523 พ่อครูบาได้เปลี่ยนจากการปลูกพืชไร่ และทำนามาปลูกไม้ผลและไม้ใช้สอยอย่างละ 1,000 ต้น โดยเลือกไม้ใช้สอยคือ ยูคาลิปตัสเพราะให้ผลตอบแทนเร็ว แต่ต้องอาศัยการจัดการช่วย เช่นการปลูกเอาเนื้อไม้มาแปรรูปแทนการขายท่อนไม้ขนาดเล็กอย่างเดียว การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี รวมทั้งการทดลองปลูกยูคาลิปตัสสลับกับไม้ยืนต้นพันธุ์พื้นเมืองอื่น ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายในแปลงเกษตร
ปี 2524 ได้ทดลองจัดการกับดินที่เลวและน้ำแล้งในพื้นที่ทั้งหมดที่มีอยู่โดยทดลองปลูกยูคาลิปตัส 150,000 ต้น และระหว่างรอให้ต้นไม้โตได้ปลูกพืชไร่จำพวกข้าวฟ่าง ข้าวโพด มันสำปะหลัง หญ้าเลี้ยงสัตว์ระหว่างแถวต้นไม้ พร้อมทำปศุสัตว์ควบคู่ไปด้วย โดยเลี้ยงโคเนื้อ 80 ตัว เลี้ยงแพะ ราว 500 ตัว เลี้ยงแกะเป็นฝูง รวมทั้งสัตว์ปีกจำพวกไก่บ้าน ไก่ต๊อก ไก่งวง ไก่แจ้ สุกรพันธุ์พื้นเมืองและการเลี้ยงผึ้ง ทดลองหาน้ำในรูปแบบต่างๆ และหาวิธีจัดการน้ำมาทำระบบน้ำหยด จนดินเลว น้ำแล้ง ป่าหมด กลายเป็นดินดำ น้ำชุ่ม ป่าอุดมสมบูรณ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปี 2530 ได้ทดลองงานแปรรูปไม้โตเร็วที่ปลูกไว้ เช่นนำมาแปรรูปเป็นแผ่นกระดานสร้างบ้านเรือน นำมากลึงและฉลุเป็นลายสวย ๆ ทำเครื่องเรือน นำแขนงของไม้ยูคาฯ มาทำด้ามไม้กวาด มาเผาถ่านเอง โดยทดลองปรับปรุงเตาเผาถ่านจนกลายเป็นแบบอย่างทั่วประเทศ และได้รับการสนับสนุนให้นำถ่านไม้ยูคาฯ ชั้นดีไปขายส่งออกต่างประเทศ
ปี 2534 ได้ทดลองปลูกและแปรรูปไม้โตเร็วให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เช่นทำของเล่น และเครื่องเรือน
ปี 2537ได้ร่วมกับสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนาและสภาการศึกษาแห่งชาติ สถาบันราชภัฏบุรีรัมย์ และมูลนิธิซาซากาว่า จากประเทศญี่ปุ่น ตั้งโรงเรียนชุมชนอีสาน เพื่อวิจัย แนวทางสร้างเกษตรกรต้นแบบนำร่องการวางแผนสร้างชีวิตใหม่ให้กับเกษตรกร
ปี 2540 ได้วิจัยโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ร่วมกับสำนักโครงการพิเศษสำนักงานการประถมศึกษาและคณะครูในเครือข่ายจัดตั้งระบบการเรียนรู้แบบ HOME SCHOOL เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากของจริงเต็มศักยภาพอย่างมีความสุข
ปี 2542 ได้ร่วมกับเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีเพื่อวิจัยและพัฒนาการขยายเครือข่ายการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง สู่คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมดี 1 ล้านครอบครัว โดยมีเด็กรักถิ่น 1 ล้านคนเป็นผู้ประกันความยั่งยืน และหลักสูตร วปอ. ภาคประชาชนเป็นตัวขับเคลื่อน โดยพ่อครูบาเป็นผู้สนับสนุนงานวิจัยสถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯ "ในโครงการสร้างการพัฒนาตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตและการพัฒนาสังคม ระยะที่ 2" และร่วมทำการวิจัยกับ ดร.จารีรัตน ปรกแก้ว ในหัวข้อ "ศึกษาและพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกันระหว่างโรงเรียนในระบบกับชุมชนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน : กรณีศึกษา พื้นที่ภูมิปัญญาท้องถิ่นบุรีรัมย์ ในเขตการเคลื่อนไหวของโรงเรียนชุมชนอีสาน" รวมทั้งเสนอโครงการวิจัย " เรื่องการคืนระบบวนเกษตรให้กับชุมชนชนบทอีสาน" ภายใต้โครงการ ครูภูมิปัญญาไทย สถาบันแห่งชาติว่าด้วยครูภูมิปัญญาไทย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
ผลจากความเพียรพยายามของพ่อครูบาก่อให้เกิดผืนป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ที่ไม่เพียงแต่ยังประโยชน์ให้ผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น แต่ชุมชนและสังคมก็พลอยได้รับอานิสงค์จากหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจของท่านอย่างอเนกอนันต์ด้วย จนทำให้พ่อครูบาได้รับการยอมรับนับถือจากนักวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ตลอดจนชุมชนท้องถิ่น จนต้องรับเชิญไปบรรยาย ร่วมการประชุม วิพากษ์วิจารณ์งานวิจัยของสถาบันต่าง ๆ เป็นที่ปรึกษางานวิทยานิพนธ์ เป็นอาจารย์พิเศษในหลายสถาบัน ตลอดจนต้อนรับสานเสวนาและทำหน้าที่ “ครู” ให้แก่นิสิตนักศึกษาจากทุกสถาบันที่เดินทางมาเยือนอยู่เสมอ ๆ
งานด้านการปลูกป่าตั้งแต่ปี 2523 มาจนถึงบัดนี้ ดูเหมือนจะถึงจุดอิ่มตัว เพราะได้เดินมาจนถึงระยะของการเก็บเกี่ยวหมากผลจากหยาดเหงื่อแรงกายของท่าน แต่ทว่าภารกิจที่เกี่ยวข้องกับมิติทางสังคมของปราชญ์ชาวบ้านผู้นี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง มีแต่นับวันแต่จะขยายตัว เบ่งบานออกไปมากยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่า หลังบำเพ็ญเพียรประกอบความดีมากว่าสามสิบปี ผลจากกรรมดีนั้นก็ทยอยกันปรากฏออกมาอย่างเป็นรูปธรรมและนามธรรม ที่เป็นรูปธรรมก็คือรางวัลต่างๆ ที่ผู้คนและองค์กรมอบให้ท่าน มีเป็นจำนวนมากจนล้นตู้ และติดข้างฝาจนไม่มีที่จะติด
รางวัลที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดของชีวิต คือ รางวัลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานให้เกษตรกรดีเด่นแหงชาติ สาขาปลูกสร้างสวนป่า ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่ท้องสนามหลวง ปี 2534 และรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานให้เนื่องในวันอาหารโลกที่จัดโดย UNDP และ F.A.O ในฐานะเกษตรกรที่มีผลงานด้านการสร้างเสริมสิ่งแวดล้อม
นอกจากนั้นก็มีโล่เกียรติคุณจากกรมป่าไม้ในฐานะ ผู้ทำคุณประโยชนปี 2536 และปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากสถาบันราชภัฏบุรีรัมย์ ปี 2543 รางวัลประกวดความคิดจากธนาคารโลกตำแหน่งครูภูมิปัญญาไทยของสถาบันแห่งชาติว่าด้วยภูมิปัญญาไทย
ทั้งหมดนั้นเป็นรางวัลที่เห็นเป็นรูปธรรม
ส่วนรางวัลที่เป็นนามธรรมนั้นก็คือความภาคภูมิใจที่เกิดมาชาติหนึ่งแล้วได้ทำคุณความดีฝากไว้ให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์และสรรพสัตว์จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคน คือ สวนป่ามหาชีวาลัยแห่งอีสาน ผืนป่าใหญ่อุดมสมบูรณ์บนเนื้อที่เกือบเจ็ดร้อยไร่ที่เป็นปอดขนาดใหญ่และเป็นที่พักพิงแก่มนุษย์และสัตว์ในภาคอีสาน
ผลงานจากหยาดเหงื่อแรงงานและสมองของพ่อครูบาที่ทำให้ท่านสามารถดำรงชีวิตในโลกได้อย่างมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรีอย่างที่คนน้อยคนจะสามารถทำได้ อย่าว่าแต่คนที่เป็นชาวบ้าน “ธรรมดา” อย่างท่านเลย แม้กระทั่งคนที่จบปริญญาเอก มีตำแหน่งทางวิชาการ และการบริหาร ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้อย่างท่าน
ความมีคุณค่าและศักดิ์ศรี เรียกสั้น ๆ แบบชาวบ้านว่า “เครดิต” (Credibility) ของพ่อครูบาแสดงให้เห็นได้จากการที่องค์กรระหว่างประเทศได้เชื้อเชิญท่านไปดูงานในประเทศญี่ปุ่น แต่ท่านปฏิเสธ บอกว่า ไม่อยากไปญี่ปุ่น แต่อยากไปอินเดีย คนเชิญก็ยอมตามใจท่าน เอ้า.. โอเค ไปอินเดียก็ได้ เท่านั้นยังไม่พอ ท่านยังต่อรองกับเขาอีกว่า ขอเป็นผู้กำหนดสิ่งที่อยากไปดูเอง ไม่ให้เจ้าของสถานที่ คือ อินเดียและและสปอนเซอร์เป็นคนจัดโปรแกรม (โหย...เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน) ซึ่งองค์กรนั้นก็ยินยอมตามใจท่านทุกอย่าง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะการมีเครดิตสูงยิ่งของพ่อครูบา เป็นเครดิตที่บอกถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของ “คนธรรมดา” คนหนึ่ง ที่ได้มาเพราะผลจากการทำงานอย่างหนัก ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์มาอย่างยาวนานตั้งแต่วัยต้นจนย่างเข้าสู่วัยปัจฉิม และด้วยคุณค่าและศักดิ์ศรีนี้เองทำให้ท่านมีอำนาจต่อรองสูงอย่างไม่น่าเชื่อ
ในวงเสวนาวันนั้น เชื่อว่าพวกคนเมืองทั้งหลายสามารถสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่บอกถึงความรักและนับถือที่พ่อครูบามีให้แก่ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี เพราะท่านมักจะเอ่ยถึงหมอประเวศบ่อย ๆ ตอนหนึ่งท่านบอกว่า หมอประเวศพูดว่า "คนไทยไม่ได้โง่กว่าชนชาติอื่นโดยกำเนิด แต่การเรียนของเราไม่ได้เน้นที่การคิด การเรียนของเรา เน้นที่การท่องจำเป็นส่วนใหญ่" ดังนั้นเมื่อพ่อครูบาคิดและทำด้วยหลักอิทธิบาท 4 คือฉันทะ (พอใจ) วิริยะ (ขยันหมั่นเพียร) จิตตะ (ไตร่ตรอง) วิมังสา (ประเมินผล) พร้อม ด้วยสัมมาทิฐิ (คิดชอบ พูดชอบ ทำชอบ) จึงทำให้สิ่งดีๆ ที่ท่านกระทำมาอย่างไม่ย่อท้อได้ปรากฏแก่สายตาผู้เดินทางไปเยือนสวนป่ามหาชีวาลัยทุกคน
ตลอดชีวิตของพ่อครูบา ท่านเป็นตัวอย่างของคนที่ “สร้าง” ป่า แล้วอยู่ในป่า เรียนรู้จากป่า จนกลายมาเป็นคนที่พูดถึงเรื่องป่า ที่ใคร ๆ ก็อยากฟังเพราะเต็มไปด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ท่านเก็บจากป่าฝากมาคนเมืองได้อย่างน่าสนใจ ฟังได้ไม่มีเบื่อเลย คนธรรมดาที่มีความพิเศษที่ไม่มีใครเสมอเหมือนในสยามประเทศ เพราะท่านมีกระบวนการเรียนรู้เฉพาะที่ “ทำให้ดู อยู่ให้เห็น พูดให้ฟัง เขียนให้อ่าน ผลิตสื่อให้เรียนรู้ สร้างเครือข่ายต้นแบบ ค้นหาความเป็นไปได้ ค้นหาความเหมาะสม ค้นหาความรู้ ค้นหาความสุข และค้นหาความยั่งยืนด้วยความรัก ความศรัทธาในการพึ่งพาตนเองด้วยการทำงานหนัก”
เมื่อถามถึงความใฝ่ฝันของพ่อครูบา ท่านบอกว่า อยากเห็นคนไทยพึ่งตนเอง และพึ่งพากันเองได้ โดยเจริญตามรอยพระยุคคลบาทที่พระองค์มีพระราชดำริที่ต้องการเห็นคนไทยมีเศรษฐกิจพอเพียง พ่อครูบาอยากเห็นคนไทยอยู่ที่ไหน ก็ควรจะทำให้ที่ตรงนั้นร่มรื่นชื่นเย็นไปด้วยสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ถ้าคน-ธรรมะ-ธรรมชาติ-อยู่ร่วมกันวิถีชีวิตไทยก็จะสงบสุขเป็นปกติและ ยั่งยืนสังคมไทยจะอยู่รอดได้ จะต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนให้รู้ตลอดชีวิต ถ้าเรารู้จริงเราก็จะดำเนินชีวิตได้ถูกทำนองคลองธรรม แล้วระบบของสังคมก็จะสอดคล้องกับสภาพ ความเป็นจริงแห่งโลก นั่นก็หมายความว่าผู้คนมีทัศนคติที่จะตอบแทนหรือให้คืนอะไรกลับไปยังสังคมส่วนรวมบ้าง ในอดีตเราใช้การทำบุญ ทำทาน แต่สมัยนี้ขอเพียงอย่าเอาเปรียบสังคม กอบโกยสิ่งที่เป็นร่วมรวมก็ดีแล้ว การเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขอย่างเป็นธรรม จะทำให้สังคมไทยน่าอยู่ สังคมใดที่เอาแต่ได้ สุดท้ายจะไม่ได้ไม่เหลืออะไรเลย ถ้าต่างคนต่างแก่งแย่งกัน หวาดระแวงกัน คิดทำลายกัน สิ่งเหล่านี้ก็คือสัญชาติญาณของสัตว์เลื้อยคลานนั่นเอง
.. มีต่อ
“จ้าวป่า” (พ่อครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์) .. 11/5/2561 สรายุทธ กันหลง
“จ้าวป่า” (พ่อครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์) 11/5/2561
https://pantip.com/topic/37654744/comment3
นำมาจาก Facebook ครับ เพื่อให้ศึกษาชีวิตท่านพ่อครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์
.. สรายุทธ 11/5/2561
Pinit Punchuen shared a post.
May 9 at 10:11pm ·
บันทึกของคนธรรมดาคนหนึ่ง
https://bit.ly/2jLEe3s
January 3, 2015 ·
เรียนรู้อะไรจากป่า (ตอนที่ 1)
เมื่อวานเล่าเรื่อง “จ้าวป่า” (พ่อครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์) ไปแล้ว
(ท่านเจ้าของเรื่องแอบกระซิบมาว่า อาจารย์อย่าทำให้ผมเป็นเทวดานะครับ เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดคิดว่า ผมดีเลิศกว่ามนุษย์คนอื่น เพราะผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น มีผิดมีพลาดเหมือนกับคนอื่น ๆ เขานั่นแหล่ะ – ตอบท่านไปว่า แฟนเพจคงจะเข้าใจเรื่องความเป็นมนุษย์ของท่านอย่างแน่นอน แต่ในที่นี้ บันทึกของคนธรรมดาคนหนึ่งอยากจดจารแต่สิ่งที่ดีงามที่ใคร่ครวญแล้วว่า “ไม่ธรรมดา” ของบุคคลที่ได้ไปประสบพบเจอมา ความไม่ธรรมดานั้นก็ตัดสินได้โดยใช้เกณฑ์ที่เป็นอัตวิสัย (subjective) อย่างยิ่ง คือ อะไรก็ตามที่คนเขียนเพจ (ไม่มีวัน) ทำได้สำเร็จ นั่นคือ “ความไม่ธรรมดา” นั่นเอง)
ขอเข้าเรื่องว่า ในการไปเยือนสวนป่ามหาชีวาลัย ผู้คนที่ไปเยือนได้เรียนรู้อะไรบ้าง (ข้อความส่วนที่มี ปี พ.ศ. ระบุไว้นั้น เอามาจาก
http://www.budmgt.com/…/to…/learning-community-kruba-sn.html เพื่อให้ท่านเห็นพัฒนาการของการเรียนรู้ที่พ่อครูบาเรียก การลองผิดลองถูก หรือ การทำอะไรบนความไม่พร้อม แต่เราเห็นว่า ทำเรื่องธรรมดาให้เป็นเรื่องพิเศษมากกว่า)
ในปี 2523 พ่อครูบาได้เปลี่ยนจากการปลูกพืชไร่ และทำนามาปลูกไม้ผลและไม้ใช้สอยอย่างละ 1,000 ต้น โดยเลือกไม้ใช้สอยคือ ยูคาลิปตัสเพราะให้ผลตอบแทนเร็ว แต่ต้องอาศัยการจัดการช่วย เช่นการปลูกเอาเนื้อไม้มาแปรรูปแทนการขายท่อนไม้ขนาดเล็กอย่างเดียว การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี รวมทั้งการทดลองปลูกยูคาลิปตัสสลับกับไม้ยืนต้นพันธุ์พื้นเมืองอื่น ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายในแปลงเกษตร
ปี 2524 ได้ทดลองจัดการกับดินที่เลวและน้ำแล้งในพื้นที่ทั้งหมดที่มีอยู่โดยทดลองปลูกยูคาลิปตัส 150,000 ต้น และระหว่างรอให้ต้นไม้โตได้ปลูกพืชไร่จำพวกข้าวฟ่าง ข้าวโพด มันสำปะหลัง หญ้าเลี้ยงสัตว์ระหว่างแถวต้นไม้ พร้อมทำปศุสัตว์ควบคู่ไปด้วย โดยเลี้ยงโคเนื้อ 80 ตัว เลี้ยงแพะ ราว 500 ตัว เลี้ยงแกะเป็นฝูง รวมทั้งสัตว์ปีกจำพวกไก่บ้าน ไก่ต๊อก ไก่งวง ไก่แจ้ สุกรพันธุ์พื้นเมืองและการเลี้ยงผึ้ง ทดลองหาน้ำในรูปแบบต่างๆ และหาวิธีจัดการน้ำมาทำระบบน้ำหยด จนดินเลว น้ำแล้ง ป่าหมด กลายเป็นดินดำ น้ำชุ่ม ป่าอุดมสมบูรณ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปี 2530 ได้ทดลองงานแปรรูปไม้โตเร็วที่ปลูกไว้ เช่นนำมาแปรรูปเป็นแผ่นกระดานสร้างบ้านเรือน นำมากลึงและฉลุเป็นลายสวย ๆ ทำเครื่องเรือน นำแขนงของไม้ยูคาฯ มาทำด้ามไม้กวาด มาเผาถ่านเอง โดยทดลองปรับปรุงเตาเผาถ่านจนกลายเป็นแบบอย่างทั่วประเทศ และได้รับการสนับสนุนให้นำถ่านไม้ยูคาฯ ชั้นดีไปขายส่งออกต่างประเทศ
ปี 2534 ได้ทดลองปลูกและแปรรูปไม้โตเร็วให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เช่นทำของเล่น และเครื่องเรือน
ปี 2537ได้ร่วมกับสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนาและสภาการศึกษาแห่งชาติ สถาบันราชภัฏบุรีรัมย์ และมูลนิธิซาซากาว่า จากประเทศญี่ปุ่น ตั้งโรงเรียนชุมชนอีสาน เพื่อวิจัย แนวทางสร้างเกษตรกรต้นแบบนำร่องการวางแผนสร้างชีวิตใหม่ให้กับเกษตรกร
ปี 2540 ได้วิจัยโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ร่วมกับสำนักโครงการพิเศษสำนักงานการประถมศึกษาและคณะครูในเครือข่ายจัดตั้งระบบการเรียนรู้แบบ HOME SCHOOL เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากของจริงเต็มศักยภาพอย่างมีความสุข
ปี 2542 ได้ร่วมกับเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีเพื่อวิจัยและพัฒนาการขยายเครือข่ายการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง สู่คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมดี 1 ล้านครอบครัว โดยมีเด็กรักถิ่น 1 ล้านคนเป็นผู้ประกันความยั่งยืน และหลักสูตร วปอ. ภาคประชาชนเป็นตัวขับเคลื่อน โดยพ่อครูบาเป็นผู้สนับสนุนงานวิจัยสถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯ "ในโครงการสร้างการพัฒนาตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตและการพัฒนาสังคม ระยะที่ 2" และร่วมทำการวิจัยกับ ดร.จารีรัตน ปรกแก้ว ในหัวข้อ "ศึกษาและพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกันระหว่างโรงเรียนในระบบกับชุมชนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน : กรณีศึกษา พื้นที่ภูมิปัญญาท้องถิ่นบุรีรัมย์ ในเขตการเคลื่อนไหวของโรงเรียนชุมชนอีสาน" รวมทั้งเสนอโครงการวิจัย " เรื่องการคืนระบบวนเกษตรให้กับชุมชนชนบทอีสาน" ภายใต้โครงการ ครูภูมิปัญญาไทย สถาบันแห่งชาติว่าด้วยครูภูมิปัญญาไทย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
ผลจากความเพียรพยายามของพ่อครูบาก่อให้เกิดผืนป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ที่ไม่เพียงแต่ยังประโยชน์ให้ผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น แต่ชุมชนและสังคมก็พลอยได้รับอานิสงค์จากหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจของท่านอย่างอเนกอนันต์ด้วย จนทำให้พ่อครูบาได้รับการยอมรับนับถือจากนักวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ตลอดจนชุมชนท้องถิ่น จนต้องรับเชิญไปบรรยาย ร่วมการประชุม วิพากษ์วิจารณ์งานวิจัยของสถาบันต่าง ๆ เป็นที่ปรึกษางานวิทยานิพนธ์ เป็นอาจารย์พิเศษในหลายสถาบัน ตลอดจนต้อนรับสานเสวนาและทำหน้าที่ “ครู” ให้แก่นิสิตนักศึกษาจากทุกสถาบันที่เดินทางมาเยือนอยู่เสมอ ๆ
งานด้านการปลูกป่าตั้งแต่ปี 2523 มาจนถึงบัดนี้ ดูเหมือนจะถึงจุดอิ่มตัว เพราะได้เดินมาจนถึงระยะของการเก็บเกี่ยวหมากผลจากหยาดเหงื่อแรงกายของท่าน แต่ทว่าภารกิจที่เกี่ยวข้องกับมิติทางสังคมของปราชญ์ชาวบ้านผู้นี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง มีแต่นับวันแต่จะขยายตัว เบ่งบานออกไปมากยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่า หลังบำเพ็ญเพียรประกอบความดีมากว่าสามสิบปี ผลจากกรรมดีนั้นก็ทยอยกันปรากฏออกมาอย่างเป็นรูปธรรมและนามธรรม ที่เป็นรูปธรรมก็คือรางวัลต่างๆ ที่ผู้คนและองค์กรมอบให้ท่าน มีเป็นจำนวนมากจนล้นตู้ และติดข้างฝาจนไม่มีที่จะติด
รางวัลที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดของชีวิต คือ รางวัลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานให้เกษตรกรดีเด่นแหงชาติ สาขาปลูกสร้างสวนป่า ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่ท้องสนามหลวง ปี 2534 และรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานให้เนื่องในวันอาหารโลกที่จัดโดย UNDP และ F.A.O ในฐานะเกษตรกรที่มีผลงานด้านการสร้างเสริมสิ่งแวดล้อม
นอกจากนั้นก็มีโล่เกียรติคุณจากกรมป่าไม้ในฐานะ ผู้ทำคุณประโยชนปี 2536 และปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากสถาบันราชภัฏบุรีรัมย์ ปี 2543 รางวัลประกวดความคิดจากธนาคารโลกตำแหน่งครูภูมิปัญญาไทยของสถาบันแห่งชาติว่าด้วยภูมิปัญญาไทย
ทั้งหมดนั้นเป็นรางวัลที่เห็นเป็นรูปธรรม
ส่วนรางวัลที่เป็นนามธรรมนั้นก็คือความภาคภูมิใจที่เกิดมาชาติหนึ่งแล้วได้ทำคุณความดีฝากไว้ให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์และสรรพสัตว์จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคน คือ สวนป่ามหาชีวาลัยแห่งอีสาน ผืนป่าใหญ่อุดมสมบูรณ์บนเนื้อที่เกือบเจ็ดร้อยไร่ที่เป็นปอดขนาดใหญ่และเป็นที่พักพิงแก่มนุษย์และสัตว์ในภาคอีสาน
ผลงานจากหยาดเหงื่อแรงงานและสมองของพ่อครูบาที่ทำให้ท่านสามารถดำรงชีวิตในโลกได้อย่างมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรีอย่างที่คนน้อยคนจะสามารถทำได้ อย่าว่าแต่คนที่เป็นชาวบ้าน “ธรรมดา” อย่างท่านเลย แม้กระทั่งคนที่จบปริญญาเอก มีตำแหน่งทางวิชาการ และการบริหาร ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้อย่างท่าน
ความมีคุณค่าและศักดิ์ศรี เรียกสั้น ๆ แบบชาวบ้านว่า “เครดิต” (Credibility) ของพ่อครูบาแสดงให้เห็นได้จากการที่องค์กรระหว่างประเทศได้เชื้อเชิญท่านไปดูงานในประเทศญี่ปุ่น แต่ท่านปฏิเสธ บอกว่า ไม่อยากไปญี่ปุ่น แต่อยากไปอินเดีย คนเชิญก็ยอมตามใจท่าน เอ้า.. โอเค ไปอินเดียก็ได้ เท่านั้นยังไม่พอ ท่านยังต่อรองกับเขาอีกว่า ขอเป็นผู้กำหนดสิ่งที่อยากไปดูเอง ไม่ให้เจ้าของสถานที่ คือ อินเดียและและสปอนเซอร์เป็นคนจัดโปรแกรม (โหย...เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน) ซึ่งองค์กรนั้นก็ยินยอมตามใจท่านทุกอย่าง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะการมีเครดิตสูงยิ่งของพ่อครูบา เป็นเครดิตที่บอกถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของ “คนธรรมดา” คนหนึ่ง ที่ได้มาเพราะผลจากการทำงานอย่างหนัก ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์มาอย่างยาวนานตั้งแต่วัยต้นจนย่างเข้าสู่วัยปัจฉิม และด้วยคุณค่าและศักดิ์ศรีนี้เองทำให้ท่านมีอำนาจต่อรองสูงอย่างไม่น่าเชื่อ
ในวงเสวนาวันนั้น เชื่อว่าพวกคนเมืองทั้งหลายสามารถสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่บอกถึงความรักและนับถือที่พ่อครูบามีให้แก่ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี เพราะท่านมักจะเอ่ยถึงหมอประเวศบ่อย ๆ ตอนหนึ่งท่านบอกว่า หมอประเวศพูดว่า "คนไทยไม่ได้โง่กว่าชนชาติอื่นโดยกำเนิด แต่การเรียนของเราไม่ได้เน้นที่การคิด การเรียนของเรา เน้นที่การท่องจำเป็นส่วนใหญ่" ดังนั้นเมื่อพ่อครูบาคิดและทำด้วยหลักอิทธิบาท 4 คือฉันทะ (พอใจ) วิริยะ (ขยันหมั่นเพียร) จิตตะ (ไตร่ตรอง) วิมังสา (ประเมินผล) พร้อม ด้วยสัมมาทิฐิ (คิดชอบ พูดชอบ ทำชอบ) จึงทำให้สิ่งดีๆ ที่ท่านกระทำมาอย่างไม่ย่อท้อได้ปรากฏแก่สายตาผู้เดินทางไปเยือนสวนป่ามหาชีวาลัยทุกคน
ตลอดชีวิตของพ่อครูบา ท่านเป็นตัวอย่างของคนที่ “สร้าง” ป่า แล้วอยู่ในป่า เรียนรู้จากป่า จนกลายมาเป็นคนที่พูดถึงเรื่องป่า ที่ใคร ๆ ก็อยากฟังเพราะเต็มไปด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ท่านเก็บจากป่าฝากมาคนเมืองได้อย่างน่าสนใจ ฟังได้ไม่มีเบื่อเลย คนธรรมดาที่มีความพิเศษที่ไม่มีใครเสมอเหมือนในสยามประเทศ เพราะท่านมีกระบวนการเรียนรู้เฉพาะที่ “ทำให้ดู อยู่ให้เห็น พูดให้ฟัง เขียนให้อ่าน ผลิตสื่อให้เรียนรู้ สร้างเครือข่ายต้นแบบ ค้นหาความเป็นไปได้ ค้นหาความเหมาะสม ค้นหาความรู้ ค้นหาความสุข และค้นหาความยั่งยืนด้วยความรัก ความศรัทธาในการพึ่งพาตนเองด้วยการทำงานหนัก”
เมื่อถามถึงความใฝ่ฝันของพ่อครูบา ท่านบอกว่า อยากเห็นคนไทยพึ่งตนเอง และพึ่งพากันเองได้ โดยเจริญตามรอยพระยุคคลบาทที่พระองค์มีพระราชดำริที่ต้องการเห็นคนไทยมีเศรษฐกิจพอเพียง พ่อครูบาอยากเห็นคนไทยอยู่ที่ไหน ก็ควรจะทำให้ที่ตรงนั้นร่มรื่นชื่นเย็นไปด้วยสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ถ้าคน-ธรรมะ-ธรรมชาติ-อยู่ร่วมกันวิถีชีวิตไทยก็จะสงบสุขเป็นปกติและ ยั่งยืนสังคมไทยจะอยู่รอดได้ จะต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนให้รู้ตลอดชีวิต ถ้าเรารู้จริงเราก็จะดำเนินชีวิตได้ถูกทำนองคลองธรรม แล้วระบบของสังคมก็จะสอดคล้องกับสภาพ ความเป็นจริงแห่งโลก นั่นก็หมายความว่าผู้คนมีทัศนคติที่จะตอบแทนหรือให้คืนอะไรกลับไปยังสังคมส่วนรวมบ้าง ในอดีตเราใช้การทำบุญ ทำทาน แต่สมัยนี้ขอเพียงอย่าเอาเปรียบสังคม กอบโกยสิ่งที่เป็นร่วมรวมก็ดีแล้ว การเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขอย่างเป็นธรรม จะทำให้สังคมไทยน่าอยู่ สังคมใดที่เอาแต่ได้ สุดท้ายจะไม่ได้ไม่เหลืออะไรเลย ถ้าต่างคนต่างแก่งแย่งกัน หวาดระแวงกัน คิดทำลายกัน สิ่งเหล่านี้ก็คือสัญชาติญาณของสัตว์เลื้อยคลานนั่นเอง
.. มีต่อ