เรื่องสั้นวันนี้...ร่มใจ




ร่มใจ



โดย...ล. วิลิศมาหรา


เคยปวดเข่ากันไหมคะ โรคนี้หมอบอกว่าเป็นโรคเข่าเสื่อมในคนแก่ มาจากความเสื่อมของสังขารและไม่มีทางรักษาให้หายได้ด้วยยากินหรือยาฉีด นอกจากผ่าตัดเปลี่ยนสะบ้าเข่าใหม่เท่านั้น ซึ่งฟังดูหลอนมากสำหรับคนกลัวของมีคมบาดเนื้ออย่างฉัน ก็กลัวแม้กระทั่งเข็มฉีดยานี่คะ อย่าว่าไปถึงมีดผ่าตัดเลย แค่คิดก็สยองไปถึงไหนๆ ฉันจึงไม่ยอมผ่าเข่า แม้คุณหมอที่ไปรักษาเข่าด้วยเป็นประจำจะพยายามคะยั้นคะยอ

อาการปวดเข่านี้ ถ้าใครเคยเป็นจะรู้ดีว่ามันแย่ขนาดไหน ยิ่งถ้าเป็นทั้งสองข้างด้วยแล้วมันมากยิ่งกว่าแย่ จะเดินจะเหินแต่ละทีไม่สะดวก เจ็บปวดทรมานเหมือนมีเข็มแหลมๆ ทิ่มแทงอยู่ข้างในเข่า โดยเฉพาะเวลาขึ้นลงบันได ที่ฉันต้องก้าวเท้าคู่ขึ้นทีละขั้น ไม่สามารถก้าวฉับๆ ขึ้นลงเหมือนตอนสาวๆ ได้อีกแล้ว ส่วนมือก็เกร็งสาวราวบันไดแน่น ทุลักทุเลกว่าจะขึ้นมาถึงขั้นบนสุดได้

แต่เวลาลงบันไดค่อยยังชั่วหน่อย ซึ่งก็นั่นแหละ ต้องใช้สองมือช่วยเท้าราวบันไดเกือบจะกลายเป็นโหน เวลาขึ้นลงบ้านช่องแต่ละครั้งเลยทำเอาเหงื่อตก ฉันจึงขอเตือนคนที่กำลังจะสร้างบ้านใหม่ ให้คิดถึงตอนแก่ชราเอาไว้ด้วย ไอ้บ้านหลังใหญ่ที่มีหลายชั้นแสนจะหรูหรานั้น ครั้นพอเราแก่ตัวลงแล้วเกิดหัวเข่าไม่ดีขึ้นมา อีกหน่อยคุณจะอยากทุบชั้นบนทิ้ง เหลือไว้แค่ห้องเดียวที่ชั้นล่าง พร้อมห้องน้ำห้องท่าในตัวเสร็จสรรพ กับห้องครัวอีกห้องเอาไว้ทำกินง่ายๆ เท่านั้นแหละ

พูดถึงห้องน้ำ คนหัวเข่าเสื่อมมีใครนั่งยองๆ ถ่ายหนักถ่ายเบาได้บ้าง จ้างให้ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นห้องน้ำคนแก่จึงต้องเป็นโถแบบชักโครก แล้วควรทำราวที่แน่นหนาแข็งแรงไว้ให้ด้วย เพื่อคนแก่ใช้เกาะลุกขึ้นยืนโดยสะดวก พื้นห้องน้ำอย่าเอาแค่ปูกระเบื้องสีสวย ต้องไม่ให้ลื่นและอย่าเล่นระดับ

แต่ที่ว่ามาทั้งหมดยังไม่ใช่เป็นทุกข์ที่สุดสำหรับฉัน เพราะสิ่งซึ่งแย่กว่านั้นก็คือ เวลาไปวัดทำบุญฉันไม่สามารถนั่งพับเพียบหรือนั่งคุกเข่าไหว้พระได้อีกต่อไป หัวเข่าทั้งสองไม่อาจคู้ลงได้อีก ต้องใช้นั่งเก้าอี้เอา ซึ่งคงไม่เป็นไร ถ้าไม่มีใครเชิญให้ไปจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย หรือถวายสังฆทาน ถวายปัจจัยต่างๆ แก่พระท่าน เพราะเวลานั่งนานๆ แล้วจะลุกขึ้นแต่ละที ฉันไม่อาจลุกเองได้ ต้องมีคนช่วยดึงแขนขึ้น แถมจะเดินเข่าเข้าไปถวายสังฆทานก็แสนลำบาก ถัดเข่าแต่ละทีมีน้ำตาซึม

ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังชอบไปทำบุญที่วัด โดยเฉพาะการไปทำบุญครั้งนี้อาการปวดเข่าก็เกิดขึ้นอีก แต่ว่าก็ว่าเถอะ เจ็บปวดครั้งนี้มันมีอะไรให้ซึ้งให้ขำอยู่เหมือนกัน

ฉันชวนลูกชายมาสรงน้ำพระธาตุวัดประจำหมู่บ้าน หลังจากเพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดในรอบหลายปีเพื่อมาทำบุญให้กับแม่ ซึ่งวันนี้เขามีงานสรงน้ำพระธาตุพอดี หลังสรงน้ำเสร็จก็เข้าไปกราบพระในวิหารหลวง พร้อมทำบุญถวายสังฆทาน จากนั้นก็ออกมาเดินดูภายในงานวัดข้างนอกเสียหน่อย ได้ทักทายกับคนแก่คนเฒ่าที่รู้จักกันไปด้วย แต่พอเดินได้ไม่เท่าไหร่ เข่าเจ้ากรรมก็เกิดทำพิษ ลูกชายเลยต้องพามานั่งพักใต้ต้นไม้ ใกล้กับเต้นท์ขายพวกของใช้ในบ้าน

“แม่พักตรงนี้ก่อนนะ เก่งจะไปหาซื้อยางรองพื้นรถตรงโน้นแป๊บหนึ่ง” เขาชี้ไปทางเต้นท์ด้านขวามือซึ่งเห็นอยู่ลิบๆ ฉันพยักหน้า ถอดหมวกปีกกว้างที่สวมอยู่โบกลมเข้าหาตัว กระพืออกเสื้อให้คลายจากอากาศร้อนตอนเที่ยง

“อ้าว นุ่น นั่นนุ่นใช่ไหม”

กำลังนั่งมองโน่นนี่เพลินๆ ก็มีเสียงผู้ชายทักมาจากข้างหลัง ฉันคุ้นเสียงเขาจึงหันมาดู  โอ้ย...หนานถานั่นเอง เป็นเขาจริงๆ ด้วย

ฉันรีบสวมหมวกกลับคืนเข้าศีรษะทันที ก็วันนี้รีบมาโดยไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรมาก ผมเผิมไม่ทันได้ย้อม แล้วจึงส่งยิ้มให้ผู้ชายในชุดเสื้อกางเกงผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีเนื้อ สะพายย่ามสีแดง ผู้เป็นรักครั้งแรกของฉันเมื่อสามสิบปีก่อน

“ใช่นุ่นจริงๆ ด้วย”

ดวงตาคมเข้มที่ไม่เปลี่ยนไปเลยของผู้ชายตรงหน้า จ้องมองฉันเหมือนไม่อยากเชื่อสายตา เขากับฉันโตมาพร้อมกันที่นี่ เราเป็นแฟนกันอยู่หลายปี จนเมื่อฉันเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย แล้วแม่เกิดเสียชีวิตลงกะทันหัน พ่อซึ่งเลิกกับแม่จึงมารับลูกสาวคนเดียวของท่านไปอยู่ด้วยกันที่เมืองหลวง ให้ไปเรียนต่อที่นั่น ฉันตัดสินใจขายที่ทางให้กับญาติคนอื่น แล้วก็ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย เราสองคนจึงค่อยๆ ห่างกันไป จนในที่สุดก็ขาดจากกันโดยปริยาย ฉันแต่งงานกับพ่อของลูก ซึ่งพอลูกเริ่มเข้าวัยรุ่นเขาก็มาด่วนจากไป ทิ้งฉันเป็นหม้ายมาจนทุกวันนี้

“สถาพร...เอ้อ หนานถา”

ฉันตะกุกตะกักทัก ไม่รู้เพราะแดดยามเที่ยงมันร้อน หรือเพราะตาคมคู่นั้นจึงทำให้ใบหน้าฉันร้อนซู่ เขาก้าวเข้ามาใกล้ สายตาจ้องนิ่งอยู่ที่ใบหน้าฉัน มันส่งประกายวาววามเต้นระริกออกมา ซึ่งสายตาแบบนั้นของเขาเหมือนมีคลื่นบางอย่าง ส่งมากระทบใจฉันให้สั่นสะท้าน

“ไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มทักทาย

“ใช่ สามสิบกว่าปีได้แล้ว แก่ลงเยอะเลย” ฉันตอบ ยกมือแตะปีกหมวกอย่างขัดเขิน ชำเลืองมองเขา ไม่กล้าสบตาตรงๆ

“เธอสบายดีไหม” เขาชวนคุย เขยิบร่างผึ่งผายดูภูมิฐานสมวัยเข้ามาใกล้อีกนิด

“สบายดี...เธอล่ะ” ที่จริงไม่ค่อยสบายหรอก หัวเข่าไม่ดี แต่เรื่องอะไรจะบอก ดูเขาสิ ยังกระฉับกระเฉงแข็งแรงอยู่เลย

“ก็...สบายดีตามประสาคนโสดนั่นแหละ แล้วนี่มากับใคร” เขาถามอีก สายตามองไปรอบๆ อย่างอยากให้แน่ใจ

“มากับลูกชาย ไปหาซื้อยางรองพื้นรถโน่นแน่ะ แล้วหนานล่ะ มากับใคร ” ฉันรู้ว่าคนรักเก่าคิดอะไร ซึ่งตัวเองก็อยากรู้เรื่องเขาทำนองเดียวกัน เลยถามขึ้นบ้าง

“มาคนเดียว ฉันมาช่วยงานวัดทุกวัน...คนเป็นโสดก็อย่างนี้แหละ ไปไหนมาไหนไม่ต้องห่วงหามอะไรมาก เออ...ได้ยินมาว่าแฟนเธอเสียไปแล้วเหรอ เห็นป้าลีเล่าให้ฟัง”

เขาย้ำคำว่าโสดอีกรอบ ส่วนป้าลีคือลูกพี่ลูกน้องของแม่ คนที่ฉันขายที่ดินมรดกให้นั่นเอง

“จ้ะ...เขาเสียไปหลายปีแล้วล่ะ มีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งชื่อเก่ง คนที่พามาสรงน้ำนี่แหละ ที่กำลังเดินมานั่นไง” ฉันพยักผเยิดไปทางลูกชายซึ่งเดินกลับมาหา

“เสียใจด้วยนะเรื่องแฟนเธอ ลูกชายคงสูงใหญ่เหมือนพ่อ แต่หน้าตาเหมือนแม่มาก” เขามองตาม พูดแสดงความเสียใจตามมารยาท แล้วเอ่ยชมตาเก่งที่เพิ่งหิ้วถุงใส่ยางรองพื้นรถมาถึงพอดี เขารับไหว้ลูกชายฉันก่อนหันมาชวนเสียงใส

“อ้อ ฉันว่าจะเข้าไปไหว้พระเจ้าทันใจท่านหน่อย ไปด้วยกันไหมล่ะ หรือว่าไปไหว้มาแล้ว” ถามพลางส่งสายตาวับวามมาอีก ซึ่งคราวนี้ฉันสบตาเขาตรงๆ ไม่หลบไปไหน

“ยังเลย ไปสิ...อุ้ย”  

ฉันตอบรับทันที ใจนึกไปถึงสมัยรักกันใหม่ๆ เราสองคนเคยมาอธิษฐานสาบานรักด้วยกันต่อหน้าพระท่าน ฉันเองที่เป็นคนเสียสัตย์ และวันนี้จะเข้าไปอธิษฐานเสียใหม่ แต่พอยันตัวลุกขึ้นจากท่านั่งเท่านั้น หัวเข่าก็ลั่นกรุ๊บ เจ็บแปล๊บจนเผลอร้องอุ้ย ฉันรีบเก็บอาการก่อนหันไปบอกลูกชาย

“ตาเก่ง แม่จะเข้าไปไหว้พระในวิหารกับลุงเขาก่อนกลับ เก่งไปซื้อร่มให้แม่คันหนึ่งจ้ะ”

“อ้าว แม่ ร่มในรถของเราก็มี แม่ซื้ออีกทำไม” ลูกชายถามแม่ที่สวมหมวกปีกกว้างราวกับร่มคันน้อยๆ บนศีรษะอยู่แล้ว เขาคงนึกแปลกใจที่วิหารพระเจ้าทันใจก็อยู่ติดกับที่นั่งคุยกันนี่เอง รถก็จอดอยู่ไม่ห่าง ไหว้พระเสร็จก็จะกลับกันอยู่แล้วด้วย

“อ๋อ...” ครั้นแล้วเขาก็ร้องอ๋อลากเสียงยาว

“แม่จะเอาเป็นไม้เท้านั่นเอง ฮ่า ฮ่า”

ฉันค้อนลูกชายขวับใหญ่ บ้าจริง ไม่รู้เหรอว่าแม่อายเค้า!!!


จบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่