ตอนเด็กๆ ผมเคยอ่านกระทู้ หรือ ข่าวเกี่ยวกับมหาเศรษฐี เขาบอกว่า บิลเกตส์ หรือ สตีฟ จ๊อบ นี่แหละ
ได้เงินเดือน วินาทีละ 8,000!! หรือ เท่าไหร่ไม่รู้แหละ แต่จำได้ว่าหลักพัน ต่อวินาที ตอนนั้นผมไม่ได้เชื่อเลย คิดว่ามันเว่อร์ไป
เพราะ วินาทีละ 8000 บาท
ถ้าผ่านไป 4 วินาที เราสามารถ ซื้อ ไอโฟนได้ 1 เครื่อง!!
ถ้าผ่านไป 12 วินาที เราสามารถ ซื้อ คอมพิวเตอร์สเปคดีๆได้หนึ่งเครื่อง!!
ถ้าผ่านไป 100 วินาที เราสามารถ ซื้อ รถยนต์ได้ 1 คัน!!
ถ้าผ่านไป 700 วินาที เราสามารถ ซื้อ บ้านเดี่ยวได้หนึ่งหลัง!!
ถ้าผ่านไป 3,125 วินาที หรือ 52 นาที เราสามารถ ซื้อ Super car อย่าง แรมโบกีนิ่ ได้ 1 คัน (ยังไม่ถึง 1 ชั่วโมงเลย)
ถ้าผ่านไป 437,500 วินาที หรือ ประมาณ 5 วันเศษๆ เราสามารถ ซื้อ เครื่องบินส่วนตัวได้
ถ้าผ่านไป 1,687,500 วินาที หรือ ประมาณ 19 วันเศษๆ เราสามารถ ซื้อ เรือดำน้ำได้ 1 ลำ!!
สรุปแล้ว ถ้าเรามีเงินเดือน วินาทีละ 8,000 บาท เดือนนึงมี 30 วัน เงินของเราทั้งหมดจะเท่ากับ 20,736,000,000 ประมาณ 2 หมื่นล้าน!!
ผมก็ลองจับเวลานับเล่นๆแบบเห้ย วินาทีละ 8,000 บาท มันไวมากจนเราใช้เงินไม่ทันเลย คือน่ากลัวนะถ้ามันตกมาใส่เราทุกวินาที เราจมกองเงินตายได้เลย!!
ตอนนั้นผมยังเป็นเด็ก ม.ต้น ก็ตื่นเต้นกับความคิดที่ว่าถ้าเรามีเงินเดือนอย่างงี้ เราจะเอาไปทำอะไรดีน้าา...
ก็เลยสำรวจ คนในบ้านถามกันว่า ทุกคนในบ้านมีเงินเดือนเท่าไหร่กัน
แม่ผม 11,000 บาท (รับราชการ)
ตาผม 16,000 บาท (เงินบำนาญ ต่อ เดือน)
ยาย - บาท (แม่บ้าน)
ผม 50 บาทค่าขนมไป รร.
พ่อกับแม่เลิกทางกันผมเลยอยู่กับ ตา ยาย และ แม่ มาตลอด ครอบครัวอบอุ่นดีคัรบผม
ลองคำนวณเล่น แม่ผม มีเงินเดือน 11,000 ก็ตกวินาทีละ 0.004 บาท ตาผมก็ประมาณ 0.006 บาทต่อวินาที
ทั้งบ้านผมมีเงินเดือนต่อวินาที รวมกัน ประมาณ 0.0104... บาท หรือ 1 สตางค์ ต่อวินาที
ผมว่าโห ถ้าพูดว่า 1 สตางค์ต่อวินาที เหมือนจะ เยอะนะ แต่รวมๆกันแล้ว ได้เดือนละ 27,000 บาท
ผมก็เลิกหวังสูง แล้วก็เลิกคิดเรื่องนี้ไป เพียงแค่ขอพรเล่นๆว่า "ชาตินี้ขอให้มีเงินเดือน วินาทีละ 1 บาทด้วยเหอะสาธุๆ" แบบไม่ได้คำนวณเลยว่า
ไอ วินาทีละ 1 บาทเนี่ย มันเดือนละเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เอาเครื่องคิดเลยมาคำนวณ แล้วก็เลิกคิดเรื่องนี้ไป เพราะ มันเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งเราไม่น่าจะทำมันได้
เพียงหวังว่า เรียนจบมาสูงๆ มีเงินเดือนซัก 2-3 หมื่น พอเลี้ยงแม่ ตา ยาย ก็พอแล้วชีวิตนี้ เพราะท่านมีพระคุณกับผมมาก
ระหว่างนี้จะเล่าเรื่องชีวิตผม ถ้าไม่อยากอ่านข้ามไปตอนท้ายได้เลยครับ
ระหว่างเข้ามามัธยมปลายใหม่ๆ ผมก็เป็นเด็ก ไม่เชิงว่าเกเร หรือ ตั้งใจเรียน อยู่กลางๆละกัน เกรดเฉลี่ย 2.5 เป็นคนที่ไม่ได้โดดเด่นทางด้านใดด้านหนึ่ง
หรือ เป็นจ่าเฉยในห้องเลยก็ว่าได้ ไม่ค่อยมีใครสนใจ และ ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่บังเอิญว่า หน้าตาผมพอใช้ได้หน่อยๆ(ไม่ได้หลงตัวเองนะพูดจริงๆ)
เอาเป็น ตัดผมเกรียนเบอร์ 1 หน้าตายังพอดูได้กลางๆละกัน เลยกลายเป็นที่เพื่อนๆพูดถึงจากตอนแรกๆเป็นจ่าเฉย ตอนนั้นผมก็มีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้น เลยอยากเท่ห์ อยากเฟี้ยวขึ้นมา เริ่มเข้ากลุ่มเพื่อนไม่ดี ทำตัวเป็นนักเลงหลังห้อง จากวันนั้น มาถึงวันที่ผมลองสูบบุรี่เป็นครั้ง จากตอนนั้น ตอนนี้ผมเป็น นักเรียน ม.ปลายกินเหล้า โดดเรียน จนที่บ้านเริ่มเครียด แม่เห็นผมติด ร. หลายตัวกลัวซ้ำชั้น เครียดจนขับรถชนบังเกอร์กลางถนน แต่แม่ไม่เป็นไร รถบังเกอร์หน้าแตก ตา ยาย ว่าผมเรียนแย่ จบไปจะทำอะไร ใครจะเลี้ยงดูแม่ ไม่มีใครเชื่อในตัวผม จนจบ ม.6 มา หาที่เรียน มหาลัยไม่ได้เพราะเกรดต่ำมากๆ
ผมจึงบอกแม่ว่า"เดี๋ยวผมขอดรอปตั้งใจอ่านหนังสือซัก 1 ปี แล้วหาที่สอบเข้ามหาลัยรัฐบาล แม่ไม่ต้องห่วง!!"
แต่แม่ผมไม่ฟัง แม่ผมกลัวเสียหน้าอายเพื่อนๆ และอยากให้ลูกเรียนจบๆมาหางานไวๆ จึงส่งผมเข้าเรียน มหาลัยเอกชนที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้แม่มีเงินเดือน 15,000 แต่สามารถเบิกราชการได้เทอมละประมาณ 1 หมื่นบาท ตอนนั้นค่าเทอมผมประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ผมคิดว่าแม่จะไหวหรอ ค่าทอมก็ต้องจ่าย แถม เงินไปเรียนของผมวันละ 150 บาท แต่ตา ของผมบอกจะให้ค่าขนมผมไปเรียนมหาลัยเอง แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย!! "เลี้ยงมันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ทำไมจะเลี้ยงมันต่ไม่ได้" ประโยคนี้ทำผมน้ำตาซึม ผมจึงตระหนักได้ว่าใครรักเราที่สุด ที่ผ่านมามันไม่ใช่เพื่อน หรืออะไร แต่เป็นครอบครัว!!
ตั้งแต่นั้นมา ผมตั้งใจจะเป็นคนดี เริ่มศึกษาธรรมะ อะไรที่เขาว่าดีทำหมด ทำบุญทำทาน แผ่เมตตา รักษาศีล 5 เหล้าบุหรี่เลิกหมด!! จนมาหัดนั่งสมาธิ
จนผ่านมาซักพักเริ่มทำเป็นนิสัย ผมว่าชีวิตมันดีขึ้นมาไม่ใช่เรื่องเงินทอง แต่มันเป็นเรื่องของจิต และ อารมณ์ หรือ บรรยากาศรอบๆตัว
แต่ผมไม่ค่อยมีเพื่อนเท่านั้นเอง เพราะสังคมมหาลัยส่วนมากจะชอบชวนไปกินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน เพราะผมผ่านมาหมดแล้ว
พอปลีกตัวออกมา เพื่อนๆก็ค่อยจางหายไป เพราะเราเลือกที่จะไม่เข้าสังคมแบบนั้นเอง เพราะผมกลับตัวกลับใจเลือกที่จะเป็นคนดีแล้ว
เพราะผมเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ทำอะไรได้อย่างนั้น บุญบาป เวรกกรรมมีจริงๆ
ผ่านไป 2 ปี ผมขึ้นปี 3 ผมทำทาน รักษาศีล ไม่ขาดตกบกพ่องแม้แต่น้อย เหล้าไม่เคยกินเลยตั้งแต่วันนั้น สัตว์ก็ไม่เคยฆ่า แม้แต่ยุงในบ้านผมยังกำแล้วไปปล่อยนอกบ้าน ไม่เคยโกหกใคร และ ไม่เคยคิดจะเอาของใคร ไม่เคยผิดในกาม ผมทำครบทุก 5 ข้อเป็นปกติชีวิตประจำวัน ซึ่งเท่าที่อ่านมา ศีล 5 เป็นธรรมดาที่ มนุษย์ควรมี คือเป็นปกติ แต่ผมถามเพื่อนๆที่มหาลัยไม่เคยจะเจอซักคน!! ที่รักษาศีล ไม่รู้หายไปไหนกันหมด 555555 (ใครรักษาศีลเม้นด้วยนะครับ ผมจะได้รู้ตัวว่ามีเพื่อน เพราะผมว่าประมาณ 0.001% ที่ผมจะเจออะ) มาต่อ...
ผมอ่านพระธรรมคำสอนมาว่า ถ้าเรามีจิตใจเป็นระดับนี้ เราจะเจอคนในแบบเดียวกัน แต่ผ่านมา 2-3 ปีนี่ยังไม่เจอซักคนยกเว้นที่บ้าน แม่ ตา ยาย ผม
จนผมมาเจอ ผู้หญิงคนนึง หน้าตาปลานกลาน แต่ว่า จิตใจแบบนี้เลยที่ผมต้องการ เป็นคนดีพูดจาไพเราะ ที่สำคัญ รักษาศีล 5 ขยันทำงาน ผมเลยตกหลุมรักเธอ
แล้วคบเป็นแฟนกันตั้งแต่วันนั้น เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนแบบผม อยู่กับครอบครัวทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่ ม.ปลาย ตอบแทนพระคุณพ่อแม่
ผมรักเธอมาก จนวันนึง เราไปเจอธุรกิจตัวนึง ที่ไม่มีใครเคยแนะนำ แต่เราสองคนเข้าไปเรียนรู้ศึกษาเอง และ ลงมือทำด้วยตัวเอง!!
ซึ่ง ใครที่รู้จักธุรกิจช่องทางนี้ จะบอกว่ายากมากที่จะประสบความสำเร็จ เพราะเราต้องขยัน ต้องเก่ง
แต่ผมไม่ฟังเคย เพราะ ถ้าไม่ลงมือทำเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร จนเดือนแรกที่ผมทำกับแฟนนั้น
ผลออกมาว่า เกือบขาดทุนกำไร ของเดือนแรกได้แค่ 400 บาท!! 400บาทคือกำไรทั้งเดือน แต่ผมไม่ได้เดือดร้อน เพราะธุรกิจนี้ลงทุนน้อย
และ เราก็ไม่ได้หาเงินเอง เราใช้เงินจากที่บ้านอยู่ผมจึงไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่แฟนผมหาเงินส่งเลี้ยงที่บ้าน จึงอาจจะมองว่า 400 บาท ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่กับ 1 เดือน!!
แต่ผมก็ลงมือทำต่อไป โดยไม่ได้สนใจคำใคร แม้แต่แม่ผมยังบอกว่าให้ไปตั้งใจเรียน!! จบมาค่อยมาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ จะเสียทั้ง 2 อย่าง!! ผมจึงเริ่มแบ่งเวลา ถ้าเราว่างจากเรียนเราจะมาทำงาน หรือ เวลาพักเที่ยงก็สามารถทำได้ คือธุรกิจผมสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ผมกับแฟนก็ทำงานด้วยความสุจริต ไม่เคยคดโกงใคร ไม่เคยเอาเปรียบใคร บางครั้งที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น เราก็ไม่เคยมีปากเสียงกัน เพราะ ใช้ศีลข้อที่ 4 การไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ สอดเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่นินทา หรือว่าร้ายใครๆ พูดจาแต่คำดีๆ **อันนี้ได้ผลมากๆกับการทำงานร่วมกับผู้อื่น**
จนทำงานมาซักระยะหนึ่ง จากเดือนแรกกำไรเดือนละ 400 บาท
จนเข้าเดือนที่ 4 ได้กำไร เดือนละ 10,000 บาท
เดือนที่ 5 กำไร 20,00 บาท
เดือนที่ 6 กำไร 35,000 บาท
จนผ่านไป 1 ปีผมกับแฟนมีเงินเก็บ 200,000 บาทกว่าบาท ผมภมิใจมากๆ ให้แม่ดู แม่ก็ดีใจด้วย แต่ธุรกิจนี้มันอาจจะไม่ค่อยมั่งคงเท่าไหร่ เพราะ แต่ละธุรกิจก็มีขาขึ้นขาลงทั้งนั้น แม่ผมก็อยากจะให้ตั้งใจเรียนซะมากกว่า
เงิน 2 แสน ผมแบ่งกับแฟนคนละครึ่ง ผมคิดว่าจะเอาไปลงทุนต่อ หรือ หาธุรกิจทำอะไรทำใหม่ๆ
แต่แฟนผมให้แม่เกือบหมดเลย คือประมาณว่า มี 100,000 ให้ 90,000 อะ
เหลือไว้ใช้นิดเดียว จนผม "เห้ย" ผมมีแต่ก็ให้แม่บ้างนิดหน่อย ไม่ได้ให้จนหมด ผมถามแฟนเสียดายไหม
แฟนบอกไม่ แล้วก็บอกว่าคอยดูนะ "ให้กับพ่อกับแม่เราจะได้คืนมาเป็น 10 เท่า" และก็ไม่เคยเสียดายเลย แค่นี้ยังตอบแทนพระคุณไม่หมดเลย ต่อให้มี 100 ล้านจะให้ 100 ล้าน ผมอึ้งแล้วก็คิดแต่ว่า "สำหรับผมขอเก็บให้ได้เยอะกว่านี้แล้วค่อยให้ดีกว่า เราจะได้เอาไปลงทุนทำอะไรซักอย่าง"
เชื่อไหมครับ เพียงไม่นานหลังจากวันนั้น ไม่กี่เดือน แฟนผมได้กลับมาเกิน 10 เท่า เน้นย้ำว่าเกิน 10เท่า!!
จนทุกวันนี้ ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ผมได้เอาเงินลงทุนทำหลายธุรกิจ และก็ให้พ่อให้แม่แบบแฟนของผม คุณจะไม่เชื่อเลยว่า ทุกวันนี้ ผมมีกำไรจากการทำธุรกิจของผม วินาทีละ 1 บาท อยากรู้ว่าเท่าไหร่คำนวณเอาเลยครับผม และผมเชื่อว่าหลายๆอย่างเกิดจากที่ผมกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ถ้าผมเป็นแบบเดิมผมก็คงไม่มีวันนี้แน่นอน ผมอาจจะไม่ใช่คนเก่ง แต่ผมขยัน!! ทั้งหมดนี่ทุกคนจะไม่เชื่อผม แต่ผมพูดจริงและไม่เคยโกหก ในวันนี้ผมเจอคนที่ประสบความสำเร็จในมากมาย ทุกคนล้วนมีความแตกต่าง แต่ที่เหมือนกันคือ ทุกคนล้วนเป็นคนดี
แล้วก็ฝากหลักธรรมข้อนี้ไว้ว่า ทุกคนล้วนเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ไม่ว่าคุณหรือผม ไม่ว่าจนหรือรวยเราล้วนเคยเป็นกันมาหมด ตอนแรกที่ผมมีเงิน ผมยอบรับเลยว่า ค่อนข้างหลงตัวเอง ดูถูกคนอื่น คิดว่าตัวเองใหญ่กว่าคนอื่น ยึดมั่นถือตน แต่ทุกวันนี้ มันไม่มีแล้ว ความยึดมั่นถือตน ทุกคนล้วนแล้วเท่ากันหมด วันนี้ผมอาจจะมีมากกว่าคุณ แต่ วันหน้าคุณอาจจะมีมากกว่าผมเป็น ร้อยๆพันๆเท่า แต่สุดท้ายแล้วเราก็เอาไปไม่ได้ นอกจากความดีของเราเองที่จะติดตัวไปตลอด ธรรมะสวัสดี.
เคยคิดเล่นๆว่า ชาตินี้จะมีเงินเดือนวินาทีละ 1 บาท แล้วความฝันเป็นจริง!!
ได้เงินเดือน วินาทีละ 8,000!! หรือ เท่าไหร่ไม่รู้แหละ แต่จำได้ว่าหลักพัน ต่อวินาที ตอนนั้นผมไม่ได้เชื่อเลย คิดว่ามันเว่อร์ไป
เพราะ วินาทีละ 8000 บาท
ถ้าผ่านไป 4 วินาที เราสามารถ ซื้อ ไอโฟนได้ 1 เครื่อง!!
ถ้าผ่านไป 12 วินาที เราสามารถ ซื้อ คอมพิวเตอร์สเปคดีๆได้หนึ่งเครื่อง!!
ถ้าผ่านไป 100 วินาที เราสามารถ ซื้อ รถยนต์ได้ 1 คัน!!
ถ้าผ่านไป 700 วินาที เราสามารถ ซื้อ บ้านเดี่ยวได้หนึ่งหลัง!!
ถ้าผ่านไป 3,125 วินาที หรือ 52 นาที เราสามารถ ซื้อ Super car อย่าง แรมโบกีนิ่ ได้ 1 คัน (ยังไม่ถึง 1 ชั่วโมงเลย)
ถ้าผ่านไป 437,500 วินาที หรือ ประมาณ 5 วันเศษๆ เราสามารถ ซื้อ เครื่องบินส่วนตัวได้
ถ้าผ่านไป 1,687,500 วินาที หรือ ประมาณ 19 วันเศษๆ เราสามารถ ซื้อ เรือดำน้ำได้ 1 ลำ!!
สรุปแล้ว ถ้าเรามีเงินเดือน วินาทีละ 8,000 บาท เดือนนึงมี 30 วัน เงินของเราทั้งหมดจะเท่ากับ 20,736,000,000 ประมาณ 2 หมื่นล้าน!!
ผมก็ลองจับเวลานับเล่นๆแบบเห้ย วินาทีละ 8,000 บาท มันไวมากจนเราใช้เงินไม่ทันเลย คือน่ากลัวนะถ้ามันตกมาใส่เราทุกวินาที เราจมกองเงินตายได้เลย!!
ตอนนั้นผมยังเป็นเด็ก ม.ต้น ก็ตื่นเต้นกับความคิดที่ว่าถ้าเรามีเงินเดือนอย่างงี้ เราจะเอาไปทำอะไรดีน้าา...
ก็เลยสำรวจ คนในบ้านถามกันว่า ทุกคนในบ้านมีเงินเดือนเท่าไหร่กัน
แม่ผม 11,000 บาท (รับราชการ)
ตาผม 16,000 บาท (เงินบำนาญ ต่อ เดือน)
ยาย - บาท (แม่บ้าน)
ผม 50 บาทค่าขนมไป รร.
พ่อกับแม่เลิกทางกันผมเลยอยู่กับ ตา ยาย และ แม่ มาตลอด ครอบครัวอบอุ่นดีคัรบผม
ลองคำนวณเล่น แม่ผม มีเงินเดือน 11,000 ก็ตกวินาทีละ 0.004 บาท ตาผมก็ประมาณ 0.006 บาทต่อวินาที
ทั้งบ้านผมมีเงินเดือนต่อวินาที รวมกัน ประมาณ 0.0104... บาท หรือ 1 สตางค์ ต่อวินาที
ผมว่าโห ถ้าพูดว่า 1 สตางค์ต่อวินาที เหมือนจะ เยอะนะ แต่รวมๆกันแล้ว ได้เดือนละ 27,000 บาท
ผมก็เลิกหวังสูง แล้วก็เลิกคิดเรื่องนี้ไป เพียงแค่ขอพรเล่นๆว่า "ชาตินี้ขอให้มีเงินเดือน วินาทีละ 1 บาทด้วยเหอะสาธุๆ" แบบไม่ได้คำนวณเลยว่า
ไอ วินาทีละ 1 บาทเนี่ย มันเดือนละเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เอาเครื่องคิดเลยมาคำนวณ แล้วก็เลิกคิดเรื่องนี้ไป เพราะ มันเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งเราไม่น่าจะทำมันได้
เพียงหวังว่า เรียนจบมาสูงๆ มีเงินเดือนซัก 2-3 หมื่น พอเลี้ยงแม่ ตา ยาย ก็พอแล้วชีวิตนี้ เพราะท่านมีพระคุณกับผมมาก
ระหว่างนี้จะเล่าเรื่องชีวิตผม ถ้าไม่อยากอ่านข้ามไปตอนท้ายได้เลยครับ
ระหว่างเข้ามามัธยมปลายใหม่ๆ ผมก็เป็นเด็ก ไม่เชิงว่าเกเร หรือ ตั้งใจเรียน อยู่กลางๆละกัน เกรดเฉลี่ย 2.5 เป็นคนที่ไม่ได้โดดเด่นทางด้านใดด้านหนึ่ง
หรือ เป็นจ่าเฉยในห้องเลยก็ว่าได้ ไม่ค่อยมีใครสนใจ และ ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่บังเอิญว่า หน้าตาผมพอใช้ได้หน่อยๆ(ไม่ได้หลงตัวเองนะพูดจริงๆ)
เอาเป็น ตัดผมเกรียนเบอร์ 1 หน้าตายังพอดูได้กลางๆละกัน เลยกลายเป็นที่เพื่อนๆพูดถึงจากตอนแรกๆเป็นจ่าเฉย ตอนนั้นผมก็มีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้น เลยอยากเท่ห์ อยากเฟี้ยวขึ้นมา เริ่มเข้ากลุ่มเพื่อนไม่ดี ทำตัวเป็นนักเลงหลังห้อง จากวันนั้น มาถึงวันที่ผมลองสูบบุรี่เป็นครั้ง จากตอนนั้น ตอนนี้ผมเป็น นักเรียน ม.ปลายกินเหล้า โดดเรียน จนที่บ้านเริ่มเครียด แม่เห็นผมติด ร. หลายตัวกลัวซ้ำชั้น เครียดจนขับรถชนบังเกอร์กลางถนน แต่แม่ไม่เป็นไร รถบังเกอร์หน้าแตก ตา ยาย ว่าผมเรียนแย่ จบไปจะทำอะไร ใครจะเลี้ยงดูแม่ ไม่มีใครเชื่อในตัวผม จนจบ ม.6 มา หาที่เรียน มหาลัยไม่ได้เพราะเกรดต่ำมากๆ
ผมจึงบอกแม่ว่า"เดี๋ยวผมขอดรอปตั้งใจอ่านหนังสือซัก 1 ปี แล้วหาที่สอบเข้ามหาลัยรัฐบาล แม่ไม่ต้องห่วง!!"
แต่แม่ผมไม่ฟัง แม่ผมกลัวเสียหน้าอายเพื่อนๆ และอยากให้ลูกเรียนจบๆมาหางานไวๆ จึงส่งผมเข้าเรียน มหาลัยเอกชนที่หนึ่ง ซึ่งตอนนี้แม่มีเงินเดือน 15,000 แต่สามารถเบิกราชการได้เทอมละประมาณ 1 หมื่นบาท ตอนนั้นค่าเทอมผมประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ผมคิดว่าแม่จะไหวหรอ ค่าทอมก็ต้องจ่าย แถม เงินไปเรียนของผมวันละ 150 บาท แต่ตา ของผมบอกจะให้ค่าขนมผมไปเรียนมหาลัยเอง แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย!! "เลี้ยงมันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ทำไมจะเลี้ยงมันต่ไม่ได้" ประโยคนี้ทำผมน้ำตาซึม ผมจึงตระหนักได้ว่าใครรักเราที่สุด ที่ผ่านมามันไม่ใช่เพื่อน หรืออะไร แต่เป็นครอบครัว!!
ตั้งแต่นั้นมา ผมตั้งใจจะเป็นคนดี เริ่มศึกษาธรรมะ อะไรที่เขาว่าดีทำหมด ทำบุญทำทาน แผ่เมตตา รักษาศีล 5 เหล้าบุหรี่เลิกหมด!! จนมาหัดนั่งสมาธิ
จนผ่านมาซักพักเริ่มทำเป็นนิสัย ผมว่าชีวิตมันดีขึ้นมาไม่ใช่เรื่องเงินทอง แต่มันเป็นเรื่องของจิต และ อารมณ์ หรือ บรรยากาศรอบๆตัว
แต่ผมไม่ค่อยมีเพื่อนเท่านั้นเอง เพราะสังคมมหาลัยส่วนมากจะชอบชวนไปกินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน เพราะผมผ่านมาหมดแล้ว
พอปลีกตัวออกมา เพื่อนๆก็ค่อยจางหายไป เพราะเราเลือกที่จะไม่เข้าสังคมแบบนั้นเอง เพราะผมกลับตัวกลับใจเลือกที่จะเป็นคนดีแล้ว
เพราะผมเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ทำอะไรได้อย่างนั้น บุญบาป เวรกกรรมมีจริงๆ
ผ่านไป 2 ปี ผมขึ้นปี 3 ผมทำทาน รักษาศีล ไม่ขาดตกบกพ่องแม้แต่น้อย เหล้าไม่เคยกินเลยตั้งแต่วันนั้น สัตว์ก็ไม่เคยฆ่า แม้แต่ยุงในบ้านผมยังกำแล้วไปปล่อยนอกบ้าน ไม่เคยโกหกใคร และ ไม่เคยคิดจะเอาของใคร ไม่เคยผิดในกาม ผมทำครบทุก 5 ข้อเป็นปกติชีวิตประจำวัน ซึ่งเท่าที่อ่านมา ศีล 5 เป็นธรรมดาที่ มนุษย์ควรมี คือเป็นปกติ แต่ผมถามเพื่อนๆที่มหาลัยไม่เคยจะเจอซักคน!! ที่รักษาศีล ไม่รู้หายไปไหนกันหมด 555555 (ใครรักษาศีลเม้นด้วยนะครับ ผมจะได้รู้ตัวว่ามีเพื่อน เพราะผมว่าประมาณ 0.001% ที่ผมจะเจออะ) มาต่อ...
ผมอ่านพระธรรมคำสอนมาว่า ถ้าเรามีจิตใจเป็นระดับนี้ เราจะเจอคนในแบบเดียวกัน แต่ผ่านมา 2-3 ปีนี่ยังไม่เจอซักคนยกเว้นที่บ้าน แม่ ตา ยาย ผม
จนผมมาเจอ ผู้หญิงคนนึง หน้าตาปลานกลาน แต่ว่า จิตใจแบบนี้เลยที่ผมต้องการ เป็นคนดีพูดจาไพเราะ ที่สำคัญ รักษาศีล 5 ขยันทำงาน ผมเลยตกหลุมรักเธอ
แล้วคบเป็นแฟนกันตั้งแต่วันนั้น เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนแบบผม อยู่กับครอบครัวทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่ ม.ปลาย ตอบแทนพระคุณพ่อแม่
ผมรักเธอมาก จนวันนึง เราไปเจอธุรกิจตัวนึง ที่ไม่มีใครเคยแนะนำ แต่เราสองคนเข้าไปเรียนรู้ศึกษาเอง และ ลงมือทำด้วยตัวเอง!!
ซึ่ง ใครที่รู้จักธุรกิจช่องทางนี้ จะบอกว่ายากมากที่จะประสบความสำเร็จ เพราะเราต้องขยัน ต้องเก่ง
แต่ผมไม่ฟังเคย เพราะ ถ้าไม่ลงมือทำเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร จนเดือนแรกที่ผมทำกับแฟนนั้น
ผลออกมาว่า เกือบขาดทุนกำไร ของเดือนแรกได้แค่ 400 บาท!! 400บาทคือกำไรทั้งเดือน แต่ผมไม่ได้เดือดร้อน เพราะธุรกิจนี้ลงทุนน้อย
และ เราก็ไม่ได้หาเงินเอง เราใช้เงินจากที่บ้านอยู่ผมจึงไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่แฟนผมหาเงินส่งเลี้ยงที่บ้าน จึงอาจจะมองว่า 400 บาท ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่กับ 1 เดือน!!
แต่ผมก็ลงมือทำต่อไป โดยไม่ได้สนใจคำใคร แม้แต่แม่ผมยังบอกว่าให้ไปตั้งใจเรียน!! จบมาค่อยมาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ จะเสียทั้ง 2 อย่าง!! ผมจึงเริ่มแบ่งเวลา ถ้าเราว่างจากเรียนเราจะมาทำงาน หรือ เวลาพักเที่ยงก็สามารถทำได้ คือธุรกิจผมสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ผมกับแฟนก็ทำงานด้วยความสุจริต ไม่เคยคดโกงใคร ไม่เคยเอาเปรียบใคร บางครั้งที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น เราก็ไม่เคยมีปากเสียงกัน เพราะ ใช้ศีลข้อที่ 4 การไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ สอดเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่นินทา หรือว่าร้ายใครๆ พูดจาแต่คำดีๆ **อันนี้ได้ผลมากๆกับการทำงานร่วมกับผู้อื่น**
จนทำงานมาซักระยะหนึ่ง จากเดือนแรกกำไรเดือนละ 400 บาท
จนเข้าเดือนที่ 4 ได้กำไร เดือนละ 10,000 บาท
เดือนที่ 5 กำไร 20,00 บาท
เดือนที่ 6 กำไร 35,000 บาท
จนผ่านไป 1 ปีผมกับแฟนมีเงินเก็บ 200,000 บาทกว่าบาท ผมภมิใจมากๆ ให้แม่ดู แม่ก็ดีใจด้วย แต่ธุรกิจนี้มันอาจจะไม่ค่อยมั่งคงเท่าไหร่ เพราะ แต่ละธุรกิจก็มีขาขึ้นขาลงทั้งนั้น แม่ผมก็อยากจะให้ตั้งใจเรียนซะมากกว่า
เงิน 2 แสน ผมแบ่งกับแฟนคนละครึ่ง ผมคิดว่าจะเอาไปลงทุนต่อ หรือ หาธุรกิจทำอะไรทำใหม่ๆ
แต่แฟนผมให้แม่เกือบหมดเลย คือประมาณว่า มี 100,000 ให้ 90,000 อะ
เหลือไว้ใช้นิดเดียว จนผม "เห้ย" ผมมีแต่ก็ให้แม่บ้างนิดหน่อย ไม่ได้ให้จนหมด ผมถามแฟนเสียดายไหม
แฟนบอกไม่ แล้วก็บอกว่าคอยดูนะ "ให้กับพ่อกับแม่เราจะได้คืนมาเป็น 10 เท่า" และก็ไม่เคยเสียดายเลย แค่นี้ยังตอบแทนพระคุณไม่หมดเลย ต่อให้มี 100 ล้านจะให้ 100 ล้าน ผมอึ้งแล้วก็คิดแต่ว่า "สำหรับผมขอเก็บให้ได้เยอะกว่านี้แล้วค่อยให้ดีกว่า เราจะได้เอาไปลงทุนทำอะไรซักอย่าง"
เชื่อไหมครับ เพียงไม่นานหลังจากวันนั้น ไม่กี่เดือน แฟนผมได้กลับมาเกิน 10 เท่า เน้นย้ำว่าเกิน 10เท่า!!
จนทุกวันนี้ ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ผมได้เอาเงินลงทุนทำหลายธุรกิจ และก็ให้พ่อให้แม่แบบแฟนของผม คุณจะไม่เชื่อเลยว่า ทุกวันนี้ ผมมีกำไรจากการทำธุรกิจของผม วินาทีละ 1 บาท อยากรู้ว่าเท่าไหร่คำนวณเอาเลยครับผม และผมเชื่อว่าหลายๆอย่างเกิดจากที่ผมกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ถ้าผมเป็นแบบเดิมผมก็คงไม่มีวันนี้แน่นอน ผมอาจจะไม่ใช่คนเก่ง แต่ผมขยัน!! ทั้งหมดนี่ทุกคนจะไม่เชื่อผม แต่ผมพูดจริงและไม่เคยโกหก ในวันนี้ผมเจอคนที่ประสบความสำเร็จในมากมาย ทุกคนล้วนมีความแตกต่าง แต่ที่เหมือนกันคือ ทุกคนล้วนเป็นคนดี
แล้วก็ฝากหลักธรรมข้อนี้ไว้ว่า ทุกคนล้วนเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ไม่ว่าคุณหรือผม ไม่ว่าจนหรือรวยเราล้วนเคยเป็นกันมาหมด ตอนแรกที่ผมมีเงิน ผมยอบรับเลยว่า ค่อนข้างหลงตัวเอง ดูถูกคนอื่น คิดว่าตัวเองใหญ่กว่าคนอื่น ยึดมั่นถือตน แต่ทุกวันนี้ มันไม่มีแล้ว ความยึดมั่นถือตน ทุกคนล้วนแล้วเท่ากันหมด วันนี้ผมอาจจะมีมากกว่าคุณ แต่ วันหน้าคุณอาจจะมีมากกว่าผมเป็น ร้อยๆพันๆเท่า แต่สุดท้ายแล้วเราก็เอาไปไม่ได้ นอกจากความดีของเราเองที่จะติดตัวไปตลอด ธรรมะสวัสดี.