สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
ตอบของเฉพาะ ปท ที่พัฒนาแล้วโดยทั่วๆ ไป และ ของครอบครัวปกติทั่วๆ ไป และ ของคนปกติทั่วๆ ไป ที่เป็นคนมีคุณภาพ
เพราะหลายสาเหตุ จากปัจจัยหลายด้านของเขา ที่หล่อหลอมให้เขาคิดเป็น กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ มีความมั่นใจในตัวเอง มีความเคารพตนเอง
รู้จักตนเอง ไม่ขี้กลัว ไม่ขี้ขลาด ไม่ขี้ตกใจ ไม่อาฆาต ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่มีลับลมคมใน ไม่ปากหนัก ไม่เก็บกด ไม่เครียด ไม่ต้องแอ๊บ
ไม่ต้องพูดอย่างคิดอย่าง สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ตัดสินใจชีวิตเองได้ มีความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวมสูง อาทิเช่น
1. ระบบครอบครัว ระบบเครือญาติ
• พ่อ แม่ ลูก สามารถคุยกันได้ มีความเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• พ่อแม่ไม่บังคับกดขี่ข่มเหงลูก
• พ่อแม่ไม่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของชีวิตลูก
• พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกเพื่อเอาลูกไว้กับตัวตลอดชีวิต ไม่ได้หวังพึ่งลูก
• ทุกคนในครอบครัวมีสิทธิมีเสียงแทบจะเท่าเทียมกัน รับฟังกัน
• ญาติไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องในครอบครัว โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่
• ไม่เอาการศึกษามาคุยอวดข่มแข่งขันเปรียบเทียบกันในหมู่เครือญาติ
2. ระบบการศึกษา
• เด็กๆ ถูกสอนให้คิดเองเป็น
• ถูกสอนให้รู้จักค้นคว้า
• ถูกสอนให้ลงมือปฏิบัติจริง
• ถูกสอนให้แสดงความคิดเห็น โดยที่ไม่ต้องคิดไม่ต้องเห็นเหมือนกับผู้อื่น
• เด็กๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกบังคับให้แต่งตัวเหมือนกัน ไม่ได้ถูกบังคับเรื่องทรงผม
• สามารถซักถามครูได้ หากสงสัย
• สามารถโต้แย้งครูได้ ด้วยเหตุผล
• ไม่ต้องเรียนในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามผู้อื่น หรือ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามใจผู้ปกครอง
• ไม่มีความกดดันว่าจะต้องมีรูปถ่ายในชุดครุยรับปริญญา เพื่อที่จะเอามาติดฝาบ้าน หรือ โพสท์ลงโซเชี่ยลเพื่อความมีหน้ามีตาหรือเพื่อดราม่ากตัญญู
• เด็กๆ ถูกสอนให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้รับผิดชอบดูแลช่วยเหลือตนเองได้ หิ้วกระเป๋าเองได้ ทำอาหารง่ายๆ ได้ ซักผ้าเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้เล่นกีฬาต่างๆ ให้อภิเชษฐ์ธรรมชาติ รักธรรมชาติ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา
• ถูกสอนให้มีจิตสาธารณะ
3. ระบบความคิดของคน
• ไม่งมงาย ไม่ไสยศาสตร์ ไม่พิธีกรรม
• สามารถคิดแบบมีตรรกะที่ดีมีเหตุผลได้
• ไม่เพ้อฝัน ไม่เพ้อเจ้อ ไม่เวิ่นเว้อ
• ไม่คิดซับซ้อน คิดตรงๆ ทำตรงๆ
• คนไม่ได้ถูกควบคุมทางความคิด ร่างกาย จิตใจ
• ไม่ถูกครอบงำไม่ถูกชักจูงได้ง่าย โดนสะกดจิตหมู่ยาก
4. . ระบบสังคม ระบบชุมชน เพื่อนบ้าน
• คนเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• คนเคารพส่วนรวม เคารพสิ่งของที่เป็นของสาธารณะ
• คนเคารพในอาชีพของผู้อื่น (เช่น หมอ อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นคนขับแท็กซี่, ตำรวจ พยาบาล มีเพื่อนบ้านเป็นคนทำงานโรงงาน,
หรือ อาจารย์มหาวิทยาลัยดังที่เป็น ดร อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงแกะ แต่คนในชุมชน ในหมู่บ้าน
สามารถช่วยเหลือ สังสรรค์ พูดคุย ทักทาย ไปมาหาสู่กันได้ แบบปกติธรรมดา หรือ ปิ้งบาร์บีคิวกินด้วยกันได้ ตามประสาเพื่อนบ้าน เป็นต้น)
• ระบบชนชั้นวรรณะไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อยมาก และ ไม่แรง ไม่ชัดเจน
• คนไม่ตัดสินกันที่เสื้อผ้า รถ นาฬิกา เครื่องประดับ
• คนสามารถไปไหนมาไหน ทำอะไรคนเดียวได้ โดยที่ไม่มีใครมานินทาว่าร้ายว่าเป็นคนไม่มีเพื่อนไม่มีสังคม
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้ทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ แค่วัยมัธยมต้น วัยมัธยมปลายก็ต้องเริ่มรู้จักทำงานแล้ว
• เยาวชนสามารถแยกจากครอบครัวออกมาอยู่ด้วยตนเองได้ โดยไม่มีใครมานินทาว่าร้ายอะไร
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้เดินทาง โดยเฉพาะเมื่อเรียนจบชั้นมัธยม ก็ต้องเดินทาง ก่อนทำงานจริงๆ จังๆ หรือ ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
และ มักจะเป็นการเดินทางไป ตปท หลายเมือง หลายทวีป บ้างก็เดินทางแค่ไม่กี่เดือน หรือบ้างก็เดินทางเป็นปี
5. ระบบเศรษฐกิจ การเมือง ระบบราชการ การคมนาคม
• คนไม่ถูกกดค่าแรง มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
• คนมีสวัสดิการสังคมในด้านต่างๆ ที่ดี ซึ่งได้มาจากภาษีที่ทุกคนจ่ายในรูปแบบต่างๆ แล้วถูกจัดสรรแบ่งปันคืนสู่สังคมอย่างเป็นธรรม
• ระบบการเมืองเสถียร โปร่งใส นักการเมืองมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ สังคม
• ระบบราชการ มีมาตรฐาน
• กฏหมายแข็งแรง ใช้ได้จริง คนเคารพกฏหมาย
• การคมนาคมทางด้านขนส่งสาธารณะดี ครอบคลุม แต่ถ้าจะมีรถ ก็คือมีเอาไว้ใช้งาน ใช้เป็นพาหนะ ไม่ใช่เอาไว้ประดับบารมี
หรือไม่ใช่เอาไว้แสดงสถานะทางเศรษฐกิจ แต่มีเอาไว้ใช้งานจริงๆ
• สภาพแวดล้อมดี
• คนพิการก็สามารถมีงานทำ มีสวัสดิการสังคม สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นาๆ
6. ระบบการทำงาน
• คนเคารพกันที่ผลงาน
• จะจบที่ไหนมาไม่สำคัญ ไม่มีปริญญาก็ได้ แต่ต้องมีศักยภาพ มีความสามารถในการทำงาน
• การเมืองในที่ทำงานไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อย ไม่ใช่แบบร้ายลึก ไม่ใช่แบบซับซ้อน
• คนไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน
• คนไม่ต้องแกล้งถ่อมตัว ไม่ต้องลดคุณค่าของตนเอง
• หากไปประชุม/สัมนา ที่ ตปท เพื่อนร่วมงานไม่อิจฉา ไม่ฝากซื้อของ ไม่คาดหวังของฝาก
• ไม่ต้องคอยหาพวกหาก๊วนหาแก๊งค์ ไม่ต้องคอยเกาะกลุ่ม
• ไปกินทานอาหารกลางวันคนเดียวได้ หรือ ไปกับใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีกลุ่ม หรือ ถ้าสะดวกไปคนเดียว กินคนเดียวก็ไม่มีใครมานินทาว่าร้าย
• เลิกงานแล้วกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องทำเป็นว่ายังยุ่งอยู่หลังเลิกงาน หรือ หากหัวหน้ายังอยู่ แต่ถ้าคุณเลิกงานแล้ว คุณสามารถกลับบ้านได้
ไม่จำเป็นต้องกลับหลังหัวหน้าหรือเจ้านาย
• สามารถลาหยุดได้ตามสิทธิ โดยที่ไม่ต้องมีดราม่า ไม่มีใครมาจิกมาตามในช่วงที่หยุด ไม่มีใครมาโน้มน้าวกดดันให้ยกเลิกแผนการเดินทางพักผ่อน
• ไม่โทรจิก ไม่วุ่นวายนอกเวลางาน
• เคารพเวลาส่วนตัว
• ไม่ต้องถูกเกณฑ์ หรือ ไม่ต้องถูกกึ่งบังคับแบบไม่เต็มใจ ให้ไปร่วมงานต่างๆ ของคนที่ตนเองไม่รู้จัก ไม่ต้องคอยรับซองงานแต่ง งานบวช งานศพ
งานกฐิน งานผ้าป่า งานบริจาคเอาหน้า
• ไม่ต้องมาคอยทำความเคารพใครรอบออฟฟิส แต่แค่ทักทาย ก้มๆ ให้กันเป็นเชิงทัก หรือ ยิ้มๆ กัน หรือ โบกมือให้กัน ก็พอแล้ว
• สามารถแสดงความคิดเห็นได้ในที่ประชุม
_______
ตอนนี้นึกออกแค่นี้นะ
ที่แจกแจงเป็นข้อๆ เพราะทุกๆ อย่างเกี่ยวข้องกันหมดเป็นวงจร เป็นธรรมชาติ เป็นปกติ
สิ่งเหล่านี้แหละ ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนในแต่ละ ปท แตกต่างกัน
และ เขียนมาในมุมกว้างๆ ทั่วๆ ไปนะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ยังมีคนใน ปท ที่พัฒนาแล้วส่วนหนึ่ง
ที่อาจจะมีนิสัยบางอย่าง หรือ การกระทำบางอย่าง ที่เหมือน หรือ คล้ายกับคนใน ปท ที่กำลังพัฒนาแล้วได้
เอาเป็นว่า ที่เขียนมาใน คห นี้ เขียนถึงคนในระดับที่มีคุณภาพโดยทั่วๆ ไป
บ้านเมืองไหนก็แล้วแต่ จะสามารถจะพัฒนาได้ ก็ต้องมีการสร้างคนพัฒนาคนก่อน
เมื่อคุณภาพของคนส่วนใหญ่ดี สังคม สภาพแวดล้อม ประเทศ ก็จะดีไปตามคุณภาพของประชากรนั่นเอง
แล้วบ้านเมืองที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีคนที่จบปริญญาเยอะๆ เพราะบางบ้านเมืองมีคนจบปริญญาเยอะมาก แต่เมื่อมองไปรอบๆ
ไม่สามารถหาปัญญาชนเจอเลย หรือ หาปัญญาชนเจอยากมาก
ถ้านึกอะไรออกอีก จะมาพิมพ์เพิ่มเติมอีก
_____
*แวะมา Edit เพื่อเพิ่มเติมความคิดเห็นในข้อ 6
เพราะหลายสาเหตุ จากปัจจัยหลายด้านของเขา ที่หล่อหลอมให้เขาคิดเป็น กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ มีความมั่นใจในตัวเอง มีความเคารพตนเอง
รู้จักตนเอง ไม่ขี้กลัว ไม่ขี้ขลาด ไม่ขี้ตกใจ ไม่อาฆาต ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่มีลับลมคมใน ไม่ปากหนัก ไม่เก็บกด ไม่เครียด ไม่ต้องแอ๊บ
ไม่ต้องพูดอย่างคิดอย่าง สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ตัดสินใจชีวิตเองได้ มีความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวมสูง อาทิเช่น
1. ระบบครอบครัว ระบบเครือญาติ
• พ่อ แม่ ลูก สามารถคุยกันได้ มีความเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• พ่อแม่ไม่บังคับกดขี่ข่มเหงลูก
• พ่อแม่ไม่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของชีวิตลูก
• พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกเพื่อเอาลูกไว้กับตัวตลอดชีวิต ไม่ได้หวังพึ่งลูก
• ทุกคนในครอบครัวมีสิทธิมีเสียงแทบจะเท่าเทียมกัน รับฟังกัน
• ญาติไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องในครอบครัว โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่
• ไม่เอาการศึกษามาคุยอวดข่มแข่งขันเปรียบเทียบกันในหมู่เครือญาติ
2. ระบบการศึกษา
• เด็กๆ ถูกสอนให้คิดเองเป็น
• ถูกสอนให้รู้จักค้นคว้า
• ถูกสอนให้ลงมือปฏิบัติจริง
• ถูกสอนให้แสดงความคิดเห็น โดยที่ไม่ต้องคิดไม่ต้องเห็นเหมือนกับผู้อื่น
• เด็กๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกบังคับให้แต่งตัวเหมือนกัน ไม่ได้ถูกบังคับเรื่องทรงผม
• สามารถซักถามครูได้ หากสงสัย
• สามารถโต้แย้งครูได้ ด้วยเหตุผล
• ไม่ต้องเรียนในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามผู้อื่น หรือ เพียงเพราะว่าต้องเรียนตามใจผู้ปกครอง
• ไม่มีความกดดันว่าจะต้องมีรูปถ่ายในชุดครุยรับปริญญา เพื่อที่จะเอามาติดฝาบ้าน หรือ โพสท์ลงโซเชี่ยลเพื่อความมีหน้ามีตาหรือเพื่อดราม่ากตัญญู
• เด็กๆ ถูกสอนให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้รับผิดชอบดูแลช่วยเหลือตนเองได้ หิ้วกระเป๋าเองได้ ทำอาหารง่ายๆ ได้ ซักผ้าเป็น
• เด็กๆ ถูกสอนให้เล่นกีฬาต่างๆ ให้อภิเชษฐ์ธรรมชาติ รักธรรมชาติ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา
• ถูกสอนให้มีจิตสาธารณะ
3. ระบบความคิดของคน
• ไม่งมงาย ไม่ไสยศาสตร์ ไม่พิธีกรรม
• สามารถคิดแบบมีตรรกะที่ดีมีเหตุผลได้
• ไม่เพ้อฝัน ไม่เพ้อเจ้อ ไม่เวิ่นเว้อ
• ไม่คิดซับซ้อน คิดตรงๆ ทำตรงๆ
• คนไม่ได้ถูกควบคุมทางความคิด ร่างกาย จิตใจ
• ไม่ถูกครอบงำไม่ถูกชักจูงได้ง่าย โดนสะกดจิตหมู่ยาก
4. . ระบบสังคม ระบบชุมชน เพื่อนบ้าน
• คนเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
• คนเคารพส่วนรวม เคารพสิ่งของที่เป็นของสาธารณะ
• คนเคารพในอาชีพของผู้อื่น (เช่น หมอ อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นคนขับแท็กซี่, ตำรวจ พยาบาล มีเพื่อนบ้านเป็นคนทำงานโรงงาน,
หรือ อาจารย์มหาวิทยาลัยดังที่เป็น ดร อาจจะมีเพื่อนบ้านเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงแกะ แต่คนในชุมชน ในหมู่บ้าน
สามารถช่วยเหลือ สังสรรค์ พูดคุย ทักทาย ไปมาหาสู่กันได้ แบบปกติธรรมดา หรือ ปิ้งบาร์บีคิวกินด้วยกันได้ ตามประสาเพื่อนบ้าน เป็นต้น)
• ระบบชนชั้นวรรณะไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อยมาก และ ไม่แรง ไม่ชัดเจน
• คนไม่ตัดสินกันที่เสื้อผ้า รถ นาฬิกา เครื่องประดับ
• คนสามารถไปไหนมาไหน ทำอะไรคนเดียวได้ โดยที่ไม่มีใครมานินทาว่าร้ายว่าเป็นคนไม่มีเพื่อนไม่มีสังคม
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้ทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ แค่วัยมัธยมต้น วัยมัธยมปลายก็ต้องเริ่มรู้จักทำงานแล้ว
• เยาวชนสามารถแยกจากครอบครัวออกมาอยู่ด้วยตนเองได้ โดยไม่มีใครมานินทาว่าร้ายอะไร
• เยาวชนถูกส่งเสริมให้เดินทาง โดยเฉพาะเมื่อเรียนจบชั้นมัธยม ก็ต้องเดินทาง ก่อนทำงานจริงๆ จังๆ หรือ ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
และ มักจะเป็นการเดินทางไป ตปท หลายเมือง หลายทวีป บ้างก็เดินทางแค่ไม่กี่เดือน หรือบ้างก็เดินทางเป็นปี
5. ระบบเศรษฐกิจ การเมือง ระบบราชการ การคมนาคม
• คนไม่ถูกกดค่าแรง มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
• คนมีสวัสดิการสังคมในด้านต่างๆ ที่ดี ซึ่งได้มาจากภาษีที่ทุกคนจ่ายในรูปแบบต่างๆ แล้วถูกจัดสรรแบ่งปันคืนสู่สังคมอย่างเป็นธรรม
• ระบบการเมืองเสถียร โปร่งใส นักการเมืองมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ สังคม
• ระบบราชการ มีมาตรฐาน
• กฏหมายแข็งแรง ใช้ได้จริง คนเคารพกฏหมาย
• การคมนาคมทางด้านขนส่งสาธารณะดี ครอบคลุม แต่ถ้าจะมีรถ ก็คือมีเอาไว้ใช้งาน ใช้เป็นพาหนะ ไม่ใช่เอาไว้ประดับบารมี
หรือไม่ใช่เอาไว้แสดงสถานะทางเศรษฐกิจ แต่มีเอาไว้ใช้งานจริงๆ
• สภาพแวดล้อมดี
• คนพิการก็สามารถมีงานทำ มีสวัสดิการสังคม สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นาๆ
6. ระบบการทำงาน
• คนเคารพกันที่ผลงาน
• จะจบที่ไหนมาไม่สำคัญ ไม่มีปริญญาก็ได้ แต่ต้องมีศักยภาพ มีความสามารถในการทำงาน
• การเมืองในที่ทำงานไม่มี หรือ ถ้าหากมีก็มีน้อย ไม่ใช่แบบร้ายลึก ไม่ใช่แบบซับซ้อน
• คนไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน
• คนไม่ต้องแกล้งถ่อมตัว ไม่ต้องลดคุณค่าของตนเอง
• หากไปประชุม/สัมนา ที่ ตปท เพื่อนร่วมงานไม่อิจฉา ไม่ฝากซื้อของ ไม่คาดหวังของฝาก
• ไม่ต้องคอยหาพวกหาก๊วนหาแก๊งค์ ไม่ต้องคอยเกาะกลุ่ม
• ไปกินทานอาหารกลางวันคนเดียวได้ หรือ ไปกับใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีกลุ่ม หรือ ถ้าสะดวกไปคนเดียว กินคนเดียวก็ไม่มีใครมานินทาว่าร้าย
• เลิกงานแล้วกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องทำเป็นว่ายังยุ่งอยู่หลังเลิกงาน หรือ หากหัวหน้ายังอยู่ แต่ถ้าคุณเลิกงานแล้ว คุณสามารถกลับบ้านได้
ไม่จำเป็นต้องกลับหลังหัวหน้าหรือเจ้านาย
• สามารถลาหยุดได้ตามสิทธิ โดยที่ไม่ต้องมีดราม่า ไม่มีใครมาจิกมาตามในช่วงที่หยุด ไม่มีใครมาโน้มน้าวกดดันให้ยกเลิกแผนการเดินทางพักผ่อน
• ไม่โทรจิก ไม่วุ่นวายนอกเวลางาน
• เคารพเวลาส่วนตัว
• ไม่ต้องถูกเกณฑ์ หรือ ไม่ต้องถูกกึ่งบังคับแบบไม่เต็มใจ ให้ไปร่วมงานต่างๆ ของคนที่ตนเองไม่รู้จัก ไม่ต้องคอยรับซองงานแต่ง งานบวช งานศพ
งานกฐิน งานผ้าป่า งานบริจาคเอาหน้า
• ไม่ต้องมาคอยทำความเคารพใครรอบออฟฟิส แต่แค่ทักทาย ก้มๆ ให้กันเป็นเชิงทัก หรือ ยิ้มๆ กัน หรือ โบกมือให้กัน ก็พอแล้ว
• สามารถแสดงความคิดเห็นได้ในที่ประชุม
_______
ตอนนี้นึกออกแค่นี้นะ
ที่แจกแจงเป็นข้อๆ เพราะทุกๆ อย่างเกี่ยวข้องกันหมดเป็นวงจร เป็นธรรมชาติ เป็นปกติ
สิ่งเหล่านี้แหละ ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนในแต่ละ ปท แตกต่างกัน
และ เขียนมาในมุมกว้างๆ ทั่วๆ ไปนะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ยังมีคนใน ปท ที่พัฒนาแล้วส่วนหนึ่ง
ที่อาจจะมีนิสัยบางอย่าง หรือ การกระทำบางอย่าง ที่เหมือน หรือ คล้ายกับคนใน ปท ที่กำลังพัฒนาแล้วได้
เอาเป็นว่า ที่เขียนมาใน คห นี้ เขียนถึงคนในระดับที่มีคุณภาพโดยทั่วๆ ไป
บ้านเมืองไหนก็แล้วแต่ จะสามารถจะพัฒนาได้ ก็ต้องมีการสร้างคนพัฒนาคนก่อน
เมื่อคุณภาพของคนส่วนใหญ่ดี สังคม สภาพแวดล้อม ประเทศ ก็จะดีไปตามคุณภาพของประชากรนั่นเอง
แล้วบ้านเมืองที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีคนที่จบปริญญาเยอะๆ เพราะบางบ้านเมืองมีคนจบปริญญาเยอะมาก แต่เมื่อมองไปรอบๆ
ไม่สามารถหาปัญญาชนเจอเลย หรือ หาปัญญาชนเจอยากมาก
ถ้านึกอะไรออกอีก จะมาพิมพ์เพิ่มเติมอีก
_____
*แวะมา Edit เพื่อเพิ่มเติมความคิดเห็นในข้อ 6
ความคิดเห็นที่ 2
เราว่าเด็กๆที่นี่พ่อแม่สนับสนุนให้หาตัวเองนะ ทั้งพ่อแม่ ทั้งสังคมเลย
ถ้าเด็กๆอยู่ เค้าก็อาจจะพาไปพวก Kidzania ที่มันเป็นคล้ายๆสวนสนุกที่ให้เด็กๆได้ทำอาชีพที่ตัวเองอยากเป็น หรือว่าบางทีเค้าก็มี event ที่ได้ลองเป็นนักดับเพลิง เป็นตำรวจวันนึง อะไรแบบนั้น
พอโตขึ้นมาหน่อยแบบประถมอะไรแบบนั้นก็จะมี career presentation ที่มีเหมือนคนทำอาชีพต่างๆมาพูดเกี่ยวกับอาชีพของตัวเอง
พอขึ้นม.ปลายแล้ว เพราะว่ามหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศเค้าไม่ได้ดูแค่เกรดหรือผลสอบเอนทรานซ์เท่านั้น เค้าต้องเขียน personal statement ที่โชว์ว่าทำไมเราถึงอยากเรียนคณะนี้ ซึ่งการที่จะเขียนพวกนี้ได้ดี เราควรจะต้องมีเหมือน work experience อะไรแบบนั้น คือเราลองไปทำอะไรแนวๆที่จะเรียนดู เช่น อยากเป็นหมอ เป็นพยาบาลก็ไป volunteer ตามโรงพยาบาล หรือว่าบ้านพักคนชรา หรืออะไรแบบนั้น ซึ่งจริงๆแล้ว มันไม่จำเป็นว่าจะเค้าจะรับแค่เด็กม.6 เพื่อให้เค้ามีอะไรเขียนใน personal statement ม.4 ม.5 ก็สมัครได้ ถ้าเด็กๆพอจะรู้ว่าเราจะเรียนอะไรประมาณไหน เราก็ลองไปสมัคร volunteer สมัคร work experience เพื่อดูว่าตัวเองชอบรึเปล่า หรือว่าสมัครเพื่อเป็นการค้นหาตัวเองก็ได้ ทีนี้พอจะเข้ามหาวิทยาลัยก็พอจะรู้แล้วว่าอยากเรียนอะไร
พวก work experience พวกนี้เปิดกว้างสำหรับเด็กม.ปลายมากๆ เพราะเค้า encourage ให้เด็กหาตัวเอง มันเลยมีหลายที่มากๆที่เค้าสามารถเข้าไปดู ไปลอง ตั้งแต่โรงพยาบาลไปถึง law firm เลย แล้วพอเค้าเข้าไปดู ได้เข้าไปลอง เค้าก็สามารถรู้ชีวิตการทำงาน ได้คุยกับผู้คน ก็จะได้แนวทางมาด้วยว่าควรจะต้องไปแบบไหน ต้องทำอะไรต่อหลังจากจบมหาวิทยาลัย ที่ไหนดี อะไรแบบนั้น
แล้วโรงเรียนก็มีกิจกรรมต่างๆที่ส่งเสริม skill เด็ก หรือไม่ก็ให้เด็กหาตัวเองด้วย ซึ่งพ่อแม่ก็สนับสนุนให้ทำกิจกรรมมากกว่าไปเรียนพิเศษวิชาการต่างๆ เช่นโรงเรียนเค้าก็จะมี debate club / MUN / science club หรือ พวก sport / art club พวกนี้ให้เด็กๆเข้า อยากเป็นนักกฎหมายก็ลองเข้า debate club ดู ถ้าชอบ debate ก็รู้ว่าตัวเองอาจจะเหมาะกับอาชีพนี้ (หรือทำอาชีพนี้รอด) แล้วก็จะได้พัฒนา skill debate ไปในตัวด้วย พอเข้ามหาวิทยาลัยก็มีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว
หรือมหาวิทยาลัยบางที่เช่นอเมริกาหรือออสเตรเลียที่การจะเรียนวิชาชีพต่างๆเช่นกฎหมาย หมอ จิตวิทยา หรือ เภสัช เราจะต้องจบป.ตรีสาขานึงมาก่อน ถึงค่อยเรียนได้ ป.ตรีนั่นเลยเป็นสิ่งที่ให้เด็กหาตัวเองว่าจริงๆแล้วเราอยากเป็นหมอจริงๆรึเปล่า อยากเป็นนักกฎหมายจริงๆรึเปล่า เราเรียนพวก biomed เนี่ย เราทำได้ดี เราชอบจริงมั้ย ถ้าไม่ชอบ เป็นหมอก็คงไม่เหมาะ นั่นก็สามารถลดโอกาสที่เด็กจะไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองเรียนแล้วไปทำอย่างอื่น แล้วเราก็เสียบุคคลากรอาชีพนั้นไปคนนึงได้ เช่น เรียนหมอจนจบมา แต่ไม่ชอบ สุดท้ายไปทำอย่างอื่น เราก็เสียหมอไปคนนึง สู้ให้เด็กคนนั้นรู้ว่าตัวเองไม่ชอบก่อน คนอื่นที่อยากเป็นหมอจริงๆจะได้เรียนหมอ อะไรแบบนั้น
แต่ที่เมืองไทย พวก work experience ส่วนใหญ่จะเปิดแค่ internship สำหรับเด็กปี3 เท่านั้น เมื่อเราไม่เคยได้ลองสัมผัสอาชีพนั้นจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง เราก็ไม่ชัวร์ว่าเราจะเรียนอะไร เราอยากเป็นอะไร ตอนเราเรียน A-Level เรากลับมาเมืองไทยมาหาพวก work experience อ่ะ ยังไม่มีเลย เค้ารับแต่เด็กมหาวิทยาลัยหมด ทำได้ก็แบบ volunteer ที่บางทีก็ไม่ตรงสายกะที่เราจะเรียน
แล้วการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ใช้แค่ผลเอนทรานซ์ ซึ่งเราว่ามันทำให้เด็ก focus แค่ที่ผลการเรียน รู้อย่างเดียวว่าถ้าสอบได้คะแนนเยอะ ก็ได้คณะที่ดี แต่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอยากเข้าอะไร อยากเรียนอะไร เอาวิชาที่ตัวเองสนใจหรือสิ่งที่คนอื่นคิดว่าดีเข้าว่า แต่พอเข้าไปเรียนจริงๆหรือทำงานจริงๆจึงค่อยมารู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเอง
ถ้าเด็กๆอยู่ เค้าก็อาจจะพาไปพวก Kidzania ที่มันเป็นคล้ายๆสวนสนุกที่ให้เด็กๆได้ทำอาชีพที่ตัวเองอยากเป็น หรือว่าบางทีเค้าก็มี event ที่ได้ลองเป็นนักดับเพลิง เป็นตำรวจวันนึง อะไรแบบนั้น
พอโตขึ้นมาหน่อยแบบประถมอะไรแบบนั้นก็จะมี career presentation ที่มีเหมือนคนทำอาชีพต่างๆมาพูดเกี่ยวกับอาชีพของตัวเอง
พอขึ้นม.ปลายแล้ว เพราะว่ามหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศเค้าไม่ได้ดูแค่เกรดหรือผลสอบเอนทรานซ์เท่านั้น เค้าต้องเขียน personal statement ที่โชว์ว่าทำไมเราถึงอยากเรียนคณะนี้ ซึ่งการที่จะเขียนพวกนี้ได้ดี เราควรจะต้องมีเหมือน work experience อะไรแบบนั้น คือเราลองไปทำอะไรแนวๆที่จะเรียนดู เช่น อยากเป็นหมอ เป็นพยาบาลก็ไป volunteer ตามโรงพยาบาล หรือว่าบ้านพักคนชรา หรืออะไรแบบนั้น ซึ่งจริงๆแล้ว มันไม่จำเป็นว่าจะเค้าจะรับแค่เด็กม.6 เพื่อให้เค้ามีอะไรเขียนใน personal statement ม.4 ม.5 ก็สมัครได้ ถ้าเด็กๆพอจะรู้ว่าเราจะเรียนอะไรประมาณไหน เราก็ลองไปสมัคร volunteer สมัคร work experience เพื่อดูว่าตัวเองชอบรึเปล่า หรือว่าสมัครเพื่อเป็นการค้นหาตัวเองก็ได้ ทีนี้พอจะเข้ามหาวิทยาลัยก็พอจะรู้แล้วว่าอยากเรียนอะไร
พวก work experience พวกนี้เปิดกว้างสำหรับเด็กม.ปลายมากๆ เพราะเค้า encourage ให้เด็กหาตัวเอง มันเลยมีหลายที่มากๆที่เค้าสามารถเข้าไปดู ไปลอง ตั้งแต่โรงพยาบาลไปถึง law firm เลย แล้วพอเค้าเข้าไปดู ได้เข้าไปลอง เค้าก็สามารถรู้ชีวิตการทำงาน ได้คุยกับผู้คน ก็จะได้แนวทางมาด้วยว่าควรจะต้องไปแบบไหน ต้องทำอะไรต่อหลังจากจบมหาวิทยาลัย ที่ไหนดี อะไรแบบนั้น
แล้วโรงเรียนก็มีกิจกรรมต่างๆที่ส่งเสริม skill เด็ก หรือไม่ก็ให้เด็กหาตัวเองด้วย ซึ่งพ่อแม่ก็สนับสนุนให้ทำกิจกรรมมากกว่าไปเรียนพิเศษวิชาการต่างๆ เช่นโรงเรียนเค้าก็จะมี debate club / MUN / science club หรือ พวก sport / art club พวกนี้ให้เด็กๆเข้า อยากเป็นนักกฎหมายก็ลองเข้า debate club ดู ถ้าชอบ debate ก็รู้ว่าตัวเองอาจจะเหมาะกับอาชีพนี้ (หรือทำอาชีพนี้รอด) แล้วก็จะได้พัฒนา skill debate ไปในตัวด้วย พอเข้ามหาวิทยาลัยก็มีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว
หรือมหาวิทยาลัยบางที่เช่นอเมริกาหรือออสเตรเลียที่การจะเรียนวิชาชีพต่างๆเช่นกฎหมาย หมอ จิตวิทยา หรือ เภสัช เราจะต้องจบป.ตรีสาขานึงมาก่อน ถึงค่อยเรียนได้ ป.ตรีนั่นเลยเป็นสิ่งที่ให้เด็กหาตัวเองว่าจริงๆแล้วเราอยากเป็นหมอจริงๆรึเปล่า อยากเป็นนักกฎหมายจริงๆรึเปล่า เราเรียนพวก biomed เนี่ย เราทำได้ดี เราชอบจริงมั้ย ถ้าไม่ชอบ เป็นหมอก็คงไม่เหมาะ นั่นก็สามารถลดโอกาสที่เด็กจะไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองเรียนแล้วไปทำอย่างอื่น แล้วเราก็เสียบุคคลากรอาชีพนั้นไปคนนึงได้ เช่น เรียนหมอจนจบมา แต่ไม่ชอบ สุดท้ายไปทำอย่างอื่น เราก็เสียหมอไปคนนึง สู้ให้เด็กคนนั้นรู้ว่าตัวเองไม่ชอบก่อน คนอื่นที่อยากเป็นหมอจริงๆจะได้เรียนหมอ อะไรแบบนั้น
แต่ที่เมืองไทย พวก work experience ส่วนใหญ่จะเปิดแค่ internship สำหรับเด็กปี3 เท่านั้น เมื่อเราไม่เคยได้ลองสัมผัสอาชีพนั้นจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง เราก็ไม่ชัวร์ว่าเราจะเรียนอะไร เราอยากเป็นอะไร ตอนเราเรียน A-Level เรากลับมาเมืองไทยมาหาพวก work experience อ่ะ ยังไม่มีเลย เค้ารับแต่เด็กมหาวิทยาลัยหมด ทำได้ก็แบบ volunteer ที่บางทีก็ไม่ตรงสายกะที่เราจะเรียน
แล้วการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ใช้แค่ผลเอนทรานซ์ ซึ่งเราว่ามันทำให้เด็ก focus แค่ที่ผลการเรียน รู้อย่างเดียวว่าถ้าสอบได้คะแนนเยอะ ก็ได้คณะที่ดี แต่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอยากเข้าอะไร อยากเรียนอะไร เอาวิชาที่ตัวเองสนใจหรือสิ่งที่คนอื่นคิดว่าดีเข้าว่า แต่พอเข้าไปเรียนจริงๆหรือทำงานจริงๆจึงค่อยมารู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเอง
แสดงความคิดเห็น
ทำไมเด็กต่างประเทศถึงรู้ว่าตัวเองอยากทำงานอะไร เมื่อเรียนจบ
คำถามเบสิกๆเวลาคุยกันก็คือ
"โตขึ้นอยากเป็นอะไร" ซึ่งเราไม่สามารถตอบได้แบบแน่นอนว่าอยากเป็นอะไร แต่ตอบได้แค่ว่าจะเรียนในคณะเมื่อขึ้นมหาวิทยาลัย
แต่เพื่อนต่างชาติหลายคนของเรา สามารถระบุได้อย่างละเอียดว่าอยากเป็นอะไร และทำงานกับหน่วยงานอะไร มีแพลนอย่างไรเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้
ยกตัวอย่างเช่น อยากเป็น war correspondent มีแพลนโดยจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยA จากนั้นฝึกงานอีกกี่ปีก็ว่ากันไป
เรารู้สึกละอายใจมากที่เราไม่รู้ตัวเองเลย แต่ชาวต่างชาติอีกหลายคนเค้าได้วางแผนเรียบร้อยแล้ว เราเชื่อว่ามีเด็กไทยอีกหลายคนที่ยังเป็นแบบเรา
สิ่งที่เราอยากทราบคือ เหตุใดนักเรียนต่างชาติถึงสามารถรู้ตัวเองว่าอยากเป็นอะไร แต่นักเรียนไทยจำนวนมาก ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียนอะไรเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย
ขออนุญาตแทค ชีวิตในต่างแดนนะคะ เผื่อมีหลายท่านที่อยู่ต่างประเทศช่วยคลายความสงสัยได้
ขอบคุณทุกคำตอบค่ะ