สืบเนื่องจากกระทู้
พระภิกษุ สามารถอยู่โดยไม่รับเงินทองทุกกรณีได้หรือไม่? ซึ่งผมได้มีโอกาสสนทนากับสมาชิกท่านหนึ่ง ผมขอไม่เอ่ยถึงว่าเป็นใครนะครับ
สมาชิกท่านนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมพระรับเงินไม่ได้ ใช้เงินไม่ได้
แม้กระทั่งผมได้นำรูปของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบัน ที่ท่านบอกว่าไม่มีเงินเก็บแม้แต่แดงเดียว แต่สมาชิกท่านนั้นไม่เชื่อ และบอกว่าอาจจะมีคนอื่นเขียนให้ เป็นไปไม่ได้ที่พระจะไม่มีเงิน ไม่ใช้เงิน
ซึ่งผมก็บอกว่า แสดงว่าน่าจะไม่เข้าใจว่าศาสนาพุทธสอนอะไร เราบวชเพื่ออะไร
แต่สมาชิกท่านนั้นยืนยันว่า เข้าใจศาสนาพุทธดี และได้อธิบายว่าแก่นหลักของศาสนาพุทธคืออะไร สรุปก็คือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้เบิกบานผ่องใส และเดินสายกลาง (ขยายความมาว่า ไม่เคร่งเครียด คงหมายถึงทำตัวสบายๆ แบบไม่ตึงไม่หย่อนประมาณนั้น)
ผมรับรู้ได้ถึงความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ ในการแสดงความเห็น (ที่จริงผมแอบชื่นชมการใช้ภาษาไทยของสมาชิกท่านนั้นด้วย) แต่นั่นคือปัญหาสำคัญที่หลายคนมองข้ามในการแก้ปัญหาพระรับเงิน
นั่นก็คือ ความไม่เข้าใจแก่นของพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจว่าเราบวชเพื่ออะไร
ถามว่าคนแบบสมาชิกท่านนั้นมีเยอะหรือไม่? ผมเชื่อว่ามีเป็นจำนวนมาก บางทีอาจจะมากกว่าคนที่เข้าใจด้วยซ้ำ ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่ใช่ใครเลย ก็คือคุณแม่ผมเอง รวมถึงสมาชิกในครอบครัวบางคน
ไม่เพียงเฉพาะญาติโยมเท่านั้น ตัวพระที่บวชเองก็อาจจะไม่มีความเข้าใจด้วยเช่นกัน จะด้วยความไม่รู้จริงๆ หรือไม่รู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจผมคงบอกไม่ได้ (หรือบางทีผู้ที่บวชก็มาจากญาติโยมที่ไม่เข้าใจนั่นเอง)
ถามว่าแล้วเราจะแก้ปัญหาอย่างไร? ความเห็นผมมี 2 วิธีที่ต้องทำควบคู่กัน เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
อย่างแรก ให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนหรือฆราวาส ว่าการบวชพระคืออะไร บวชเพื่ออะไร และที่สำคัญที่สุดคือ แก่นพระพุทธศาสนาคืออะไร (นั่นคืออริยสัจสี่)
แต่คงเป็นไปได้ยาก ที่ทุกคนจะเข้าใจอริยสัจสี่ พระพุทธเจ้าถึงได้จำแนกผู้ที่จะเข้าถึงธรรมะเป็นบัวไว้ 4 เหล่า หากเป็นบัวปริ่มน้ำหรือบัวเหนือน้ำจะเข้าใจเร็ว แต่ถ้าเป็นบัวใต้น้ำจะเข้าใจช้า บางทีอาจจะเป็นชาติต่อๆ ไป ถ้าเป็นบัวที่จมใต้โคลนตมจะไม่เข้าใจเลย
จึงต้องมีอย่างที่สอง นั่นคือ ควบคุมที่ตัวพระเอง ห้ามรับเงินโดยเด็ดขาด โดยถือตามพระวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
อย่างที่บอกครับ มีคนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจว่าทำไมพระรับเงินไม่ได้ เราจึงไม่จำเป็นต้องฟังเหตุผลใดๆ ขอให้ถือตามพระวินัยเป็นหลักก็พอ
พระพุทธเจ้าได้มอบหมายให้พระธรรมและพระวินัยเป็นตัวแทนของพระองค์หลังจากที่ปรินิพพาน หากเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก็ไม่สมควรเข้ามาบวช เท่านั้นเอง
หากพระไม่มีความรู้ความเข้าใจ ก็สอนให้ท่านเข้าใจ และเมื่อผู้ที่บวชรู้ตัวว่าที่เข้ามาบวชไม่ได้บวชเพราะเข้าใจอริยสัจสี่ ไม่ได้บวชเพราะอยากละกิเลส ก็ต้องให้สึกออกไป (ซีเรียสนะครับ ถ้าจะบวชแต่ไม่ปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา จะอยู่ต่อไปเพื่อทำลายอย่างนั้นหรือ? อยู่เพื่อสะสมเงิน สะสมรถ? หรือหาเงินเยอะๆ ไว้ทำความดี สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล?)
พระพุทธเจ้าพระองค์ทราบดีว่า ทำไมถึงไม่ให้พระรับเงิน ถ้าฆราวาส โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่ดูแลศาสนพุทธ รู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า ก็คงต้องให้ออกไปตั้งศาสนาใหม่เอง
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่า เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้โดยทันที แต่อย่างน้อย ถ้าเราเริ่มต้นตอนนี้ ก็เหมือนกับการค่อยๆ เติมน้ำสะอาดเข้าไป น้ำที่สกปรกก็ปล่อยไว้อย่างนั้น เมื่อเติมน้ำสะอาดไปมากๆ นานๆ เข้าน้ำก็จะค่อยๆ สะอาดขึ้นมาเอง
ก็ขอฝากไว้เป็นข้อสังเกตนะครับ อย่ามองว่าพระที่รับเงิน สะสมเงิน เป็นพระที่ไม่ดีเสมอไป พวกเขาอาจจะไม่รู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ได้
และต้องขออภัยสมาชิกท่านดังกล่าวด้วยนะครับที่ยกเรื่องราวมาพูดถึง
ปัญหาพระรับเงิน รวมถึงญาติโยมให้เงินพระ กับสิ่งที่หลายคนมองข้าม
สมาชิกท่านนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมพระรับเงินไม่ได้ ใช้เงินไม่ได้
แม้กระทั่งผมได้นำรูปของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบัน ที่ท่านบอกว่าไม่มีเงินเก็บแม้แต่แดงเดียว แต่สมาชิกท่านนั้นไม่เชื่อ และบอกว่าอาจจะมีคนอื่นเขียนให้ เป็นไปไม่ได้ที่พระจะไม่มีเงิน ไม่ใช้เงิน
ซึ่งผมก็บอกว่า แสดงว่าน่าจะไม่เข้าใจว่าศาสนาพุทธสอนอะไร เราบวชเพื่ออะไร
แต่สมาชิกท่านนั้นยืนยันว่า เข้าใจศาสนาพุทธดี และได้อธิบายว่าแก่นหลักของศาสนาพุทธคืออะไร สรุปก็คือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้เบิกบานผ่องใส และเดินสายกลาง (ขยายความมาว่า ไม่เคร่งเครียด คงหมายถึงทำตัวสบายๆ แบบไม่ตึงไม่หย่อนประมาณนั้น)
ผมรับรู้ได้ถึงความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ ในการแสดงความเห็น (ที่จริงผมแอบชื่นชมการใช้ภาษาไทยของสมาชิกท่านนั้นด้วย) แต่นั่นคือปัญหาสำคัญที่หลายคนมองข้ามในการแก้ปัญหาพระรับเงิน
นั่นก็คือ ความไม่เข้าใจแก่นของพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจว่าเราบวชเพื่ออะไร
ถามว่าคนแบบสมาชิกท่านนั้นมีเยอะหรือไม่? ผมเชื่อว่ามีเป็นจำนวนมาก บางทีอาจจะมากกว่าคนที่เข้าใจด้วยซ้ำ ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่ใช่ใครเลย ก็คือคุณแม่ผมเอง รวมถึงสมาชิกในครอบครัวบางคน
ไม่เพียงเฉพาะญาติโยมเท่านั้น ตัวพระที่บวชเองก็อาจจะไม่มีความเข้าใจด้วยเช่นกัน จะด้วยความไม่รู้จริงๆ หรือไม่รู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจผมคงบอกไม่ได้ (หรือบางทีผู้ที่บวชก็มาจากญาติโยมที่ไม่เข้าใจนั่นเอง)
ถามว่าแล้วเราจะแก้ปัญหาอย่างไร? ความเห็นผมมี 2 วิธีที่ต้องทำควบคู่กัน เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
อย่างแรก ให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนหรือฆราวาส ว่าการบวชพระคืออะไร บวชเพื่ออะไร และที่สำคัญที่สุดคือ แก่นพระพุทธศาสนาคืออะไร (นั่นคืออริยสัจสี่)
แต่คงเป็นไปได้ยาก ที่ทุกคนจะเข้าใจอริยสัจสี่ พระพุทธเจ้าถึงได้จำแนกผู้ที่จะเข้าถึงธรรมะเป็นบัวไว้ 4 เหล่า หากเป็นบัวปริ่มน้ำหรือบัวเหนือน้ำจะเข้าใจเร็ว แต่ถ้าเป็นบัวใต้น้ำจะเข้าใจช้า บางทีอาจจะเป็นชาติต่อๆ ไป ถ้าเป็นบัวที่จมใต้โคลนตมจะไม่เข้าใจเลย
จึงต้องมีอย่างที่สอง นั่นคือ ควบคุมที่ตัวพระเอง ห้ามรับเงินโดยเด็ดขาด โดยถือตามพระวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
อย่างที่บอกครับ มีคนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจว่าทำไมพระรับเงินไม่ได้ เราจึงไม่จำเป็นต้องฟังเหตุผลใดๆ ขอให้ถือตามพระวินัยเป็นหลักก็พอ
พระพุทธเจ้าได้มอบหมายให้พระธรรมและพระวินัยเป็นตัวแทนของพระองค์หลังจากที่ปรินิพพาน หากเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก็ไม่สมควรเข้ามาบวช เท่านั้นเอง
หากพระไม่มีความรู้ความเข้าใจ ก็สอนให้ท่านเข้าใจ และเมื่อผู้ที่บวชรู้ตัวว่าที่เข้ามาบวชไม่ได้บวชเพราะเข้าใจอริยสัจสี่ ไม่ได้บวชเพราะอยากละกิเลส ก็ต้องให้สึกออกไป (ซีเรียสนะครับ ถ้าจะบวชแต่ไม่ปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา จะอยู่ต่อไปเพื่อทำลายอย่างนั้นหรือ? อยู่เพื่อสะสมเงิน สะสมรถ? หรือหาเงินเยอะๆ ไว้ทำความดี สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล?)
พระพุทธเจ้าพระองค์ทราบดีว่า ทำไมถึงไม่ให้พระรับเงิน ถ้าฆราวาส โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่ดูแลศาสนพุทธ รู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า ก็คงต้องให้ออกไปตั้งศาสนาใหม่เอง
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่า เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้โดยทันที แต่อย่างน้อย ถ้าเราเริ่มต้นตอนนี้ ก็เหมือนกับการค่อยๆ เติมน้ำสะอาดเข้าไป น้ำที่สกปรกก็ปล่อยไว้อย่างนั้น เมื่อเติมน้ำสะอาดไปมากๆ นานๆ เข้าน้ำก็จะค่อยๆ สะอาดขึ้นมาเอง
ก็ขอฝากไว้เป็นข้อสังเกตนะครับ อย่ามองว่าพระที่รับเงิน สะสมเงิน เป็นพระที่ไม่ดีเสมอไป พวกเขาอาจจะไม่รู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ได้
และต้องขออภัยสมาชิกท่านดังกล่าวด้วยนะครับที่ยกเรื่องราวมาพูดถึง