เรื่องสั้น.................คนชอบพอ
โดย.....................ลิอ่อง
เช้านั้น กลิ่นหอมหวานดั่งมนต์เสน่ห์ของมะม่วงอกร่องอวลอยู่ในห้องครัว เพราะเจ้าของกลิ่นได้ถึงพร้อมด้วยลักษณะสุกที่สมบูรณ์ พวกมันเป็นมะม่วงลูกไม่โต แต่มีรสชาติออกไปทางหวานแหลมเคล้ากลิ่นหอมเฉพาะตัว เป็นผลไม้คู่กันดีกับข้าวเหนียวมูนรสกลมกล่อม
ชวนชม หญิงวัยหกสิบเศษ เจ้าของร้านชำใหญ่เก่าแก่หน้าวัดแสนถูกใจยิ่งนัก เพราะนางปลูกมันมากับมือ และคอยทำนุบำรุงให้น้ำให้ปุ๋ยทุกๆ สัปดาห์ แม้จะเริ่มเหนื่อยล้าโรยแรงกับภารกิจประจำวันคือ งานขายของกระจุกกระจิกในร้าน ซึ่งทำมาตั้งแต่นางออกเรือนกับพ่อของเจ้าออมและเอม ลูกชายทั้งคู่ที่เขาฝากฝังกับนางก่อนจบชีวิตลงด้วยคมกระสุนของใคร และเหตุใดก็ไม่อาจรู้ได้
ต้นมะม่วงอกร่องต้นนี้อยู่ในสวนซึ่งเป็นที่ๆ ผัวของนางถูกคนปองร้ายยิงเข้าใส่เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน มันตั้งอยู่ใจกลางที่ขนาดสองไร่อันมีรั้วรอบขอบชิด ติดถนนใหญ่ที่จะออกไปตัวอำเภอ และห่างจากบ้านของนางประมาณสองกิโลเมตร สำหรับผู้คนถิ่นนี้ มันคือมะม่วงที่ไม่ค่อยมีคนหามาปลูก และบางคนก็แทบไม่รู้จัก
นางเก็บมันมาเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากเห็นนวลเต็มผิวลูกมะม่วงเป็นสัญญาณว่าแก่จัด ขณะที่บางลูกก็สุกล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เมื่อยืนเอื้อมเก็บเอาบ้าง ใช้ตะกร้อสอยช่วยบ้าง ก็แทบไม่มีเหลือไว้บนต้นเผื่อเจ้ากระรอกกะแตอีก พอมาชั่งน้ำหนักดูที่บ้านก็เห็นว่าได้เกือบเก้ากิโล
แล้วนางก็แบ่งไว้สิบลูกสำหรับใส่บาตรพระที่เดินมาบิณฑบาตผ่านหน้าร้านตอนเช้า กับห่อกระดาษหนังสือพิมพ์อย่างดีสำหรับฝากไปให้ลูกชายคนโตและลูกสะใภ้ในตัวจังหวัดอีกสี่กิโล เก็บไว้ให้ลูกชายคนเล็กที่กลับมาบ้านทุกวันเสาร์อาทิตย์หลังจากไปอยู่หอพักเพื่อเรียนต่อในเมืองอีกสองกิโลกว่า ยังเหลือที่สุกมากตอนนี้สิบเอ็ดลูก แต่นางไม่อยากขาย เพราะมันไม่ได้มากพอที่จะวางขาย และส่วนตัวเองก็อยากจะชิมสักลูกสองลูกพอให้ได้สมอยาก ทั้งที่หมอพยายามห้ามนักหนา
“ป้าชมต้องระวังน้ำตาลนะคะป้า กินแต่น้อย ไม่งั้นเวียนหัว เวียนหน้า ตามืดอีกเด้อ” พยาบาลสาวที่โรงพยาบาลน้อยในหมู่บ้านเตือนยิ้มๆ “ยิ่งอยู่คนเดียวด้วยเนาะ”
อากาศที่ร้อนอ้าวแต่วานนี้ช่วยเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีให้ความหอมในเนื้อมะม่วงแทรกซึมผิวเปลือกออกมาตลอดเวลาแม้มีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กบางที่นางซื้อมาขายคลุมลูกมะม่วงไว้อย่างมิดชิด ขณะที่นางกลับมาคิดได้ว่า น่าจะแบ่งให้คนชอบพอกันสักหน่อย เพราะโอกาสที่นางจะได้พบใครต่อใครนั้นมีมากอยู่แล้ว ก็ในเมื่อบ้านเป็นร้านค้าที่มีผู้คนเข้าออกแทบตลอดทั้งวัน
“ยาเส้นงัวแดงห่อหนึ่ง”
เสียงแหบพร่าดังมาจากร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวผ้าเนื้อหนา ชายวัยเจ็ดสิบเศษแต่ยังสู้งานในนาไร่ชนิดที่หนุ่มหลายคนยอมถอย นัยน์ตาข้างซ้ายของเขาพิกลไปจากคนอื่น แต่ก็แทบไม่เป็นอุปสรรคต่อการงานใดๆ
“ลงไถรึยัง ?”
นางถามเขาโดยไม่ต้องคิด มันเป็นคำถามประจำฤดูกาลของชาวบ้านย่านนี้
“ยังเล้ย รอตัดอ้อยอีกแปลงหนึ่งก่อน”
เขาพูดแค่นั้นแล้วก็รีบหยิบเงินทอนใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกไป นางมองตามหลังคอยดูเขาก้าวคร่อมอานจักรยานคันใหญ่สมตัวแล้วออกแรงถีบทะยานไปบนถนนมุ่งหน้าทางทิศใต้
ตาขม-ชีวิตของคนที่เกี่ยวข้องกับตาขมอย่างยายปั่น ย่อมขมขื่นสมชื่อ ถ้าไม่ใช่หลักฐานบนใบหน้าหรือตามเนื้อตัวของยายปั่นที่มักมีร่องรอยขีดข่วน เขียวช้ำ บวม ก็มาจากเสียงทุบตี ทะเลาะดุด่าจากชายชราผู้นี้ในยามที่สติสัมปชัญญะของเขาถูกครอบครองด้วยฤทธิ์สุราสี่สิบดีกรี
นึกภาพแล้ว นางก็รู้สึกชิงชังแทนเมียของเขาเหลือเกิน...ฉันไม่แจกมะม่วงแกกินดอก ตาขมเอ๋ย....นางคิดพลางใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ป้ายคราบฝุ่นออกจากแผ่นกระจกตู้โชว์สินค้า หนึ่งในกิจวัตรที่พยายามจะทำทุกสัปดาห์ด้วยแรงของตัวเองคนเดียว มิไยที่จะมีคำถามหรือไม่ก็เสียงค่อนขอดมาจากเพื่อนบ้านและลูกค้าบางคน
“จ้างเขามาช่วยบ้างก็ได้ยายชมเอ๊ย จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
“ทำไมขยันละปายป้าชม แกจิหาเงินไปไหนน่ะ เท่านี้ยังไม่พอรึ ?”
แต่ชวนชมก็เพียงฟังแล้วยิ้มๆ ไม่ใคร่โต้ตอบใครนัก หรือหากตอบ นางก็ตอบด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
“ยังพอมีเรี่ยวแรงอยู่ มีเวลาว่างก็ทำไป”
น้ำเสียงและท่าทีชาวบ้านที่ตั้งคำถามแกมค่อนขอดเอากับนางเป็นมาเช่นนี้นานแล้ว โดยเฉพาะเมื่อชวนชมรื้อร้านค้าหลังเดิมออกพร้อมกับรื้อบ้านไม้หลังใหญ่หลังร้าน เพื่อปรับพื้นที่และสร้างอาคารพาณิชย์สองชั้นขนาดใหญ่ขึ้นมาแทน โดยแบ่งเป็นร้านค้าของนางห้องหนึ่ง ร้านทำธุรกิจเกมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของลูกชายคนโตห้องหนึ่ง และแบ่งให้คนมาเช่าพักอาศัยอีกห้องหนึ่ง น้ำเสียงกับท่าทีและคำถามที่เคยมีจากใครบางคนก็ยังคงอยู่และไม่เคยหายไป นอกจากเก็บไว้ภายในใจ หรือทำเป็นลืมๆ ไปบ้าง
เสียงจักรยานยนต์แล่นเข้ามาจอดหน้าร้าน เด็กสาวสองคนเดินลงมาจากรถเพื่อมาที่ตู้เบิกถอนเงินสดที่ลูกชายของนางไปติดต่อธนาคารแห่งหนึ่งในตัวอำเภอให้มาติดตั้งสำหรับบริการคนในหมู่บ้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางออกไปที่ตลาดในอำเภออีกเกือบสิบห้ากิโลเมตร มันคือสิ่งแรกที่ทำให้หมู่บ้านนี้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้เกือบสมบูรณ์เท่าคนในเขตเทศบาล
“ป้าชม ซื้อนมงัวจืดสองกล่อง”
นางหันไปตามเสียงเรียก เด็กหญิงรุ่นสาวร่างบางในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อแขนกุดสีสดเดินเข้ามาในร้าน ตรงเข้ามาที่ตู้แช่เครื่องดื่มใกล้กับที่นางกำลังยืนเช็ดถูบานกระจก
“เอาสินาง หยิบเอา ดูเป็นมั้ย”
เด็กหญิงก้มกายลงมองดูกล่องเครื่องดื่มที่ตั้งเรียงแถวในตู้แช่
“ยายอยู่บ้านมั้ยดาว ?”
“ฮึ” เธอตอบด้วยคำที่คุ้นเคย
“ไปไหน ?”
“แกไม่เห็นบอก”
ชวนชมนึกอยากจะให้มะม่วงเพื่อฝากไปถึงน้องสาวน้องชายของเธอ แต่เมื่อใจไพล่ไปนึกเห็นยายของเด็กหญิงที่กำลังนั่งล้อมวงอันเป็นกิจกรรมบางอย่างโดยไม่สนใจเดือนตะวัน นางก็รีบเปลี่ยนใจ มองเงินในมือที่เด็กหญิงดาวยื่นให้อย่างพิจารณา
“ใครให้มาซื้อ..นมนี่น่ะ?”
“ไอ้โจมันหิว หนูเลยเอาเงินที่แม่ให้มาซื้อ”
ชวนชมรู้จักแม่ของเด็กอยู่พอสมควร หล่อนทำงานในโรงงานประกอบเครื่องมือแพทย์อยุ่ที่ต่างอำเภอ มีรถบัสคันใหญ่เข้ามารับ-ส่งเป็นประจำ เด็กหญิงดาวหันหลังเดินกลับไปแล้ว นางจึงหันมาทำงานตัวเองต่อ และไม่ถึงสิบนาที สายม่าน อบต.หญิงหมู่บ้านเดียวกับนางก็ขี่จักรยานยนต์เข้ามาพร้อมกับตะโกนเข้ามาก่อนด้วยเสียงอันดัง
“ยายชม มีน้ำแข็งก้อนใหญ่มะ...สองก้อน--ไวๆ”
เธอเป็นสมาชิก อบต.ผู้หญิงคนแรกของหมู่บ้านเมื่อสามปีก่อนด้วยความคล่องแคล่วในการจัดการเรื่องราวต่างๆ พร้อมกับท่าทีสาวห้าวที่ออกมาทางคำพูดเสียงดังฟังชัด และเนื้อความแบบขวานผ่าซาก และต่อมาก็เพราะคุณสมบัตินี้ของเธอจึงทำให้คนแก่หลายคนเริ่มไม่ชอบใจ รวมทั้งชวนชม
“ตอนประกาศชื่อให้ไปรับเบี้ยคนแก่ มันเรียกยังก๊ะเพื่อนมัน ‘ปาน สุดใจ...ปาน....มาไหม ปาน’ ‘นางเพ็ญ ดวงเงิน...เพ็ญ เพ็ญ ไปนั่งอยู่ไหน เพ็ญ มาเอาเงินนี่’ มันถือว่ามันเป็น อบต.ละมั้ง ? ข้าไม่ชอบ” ยายแก้วจากบ้านปลาใหญ่นั่งบ่นให้นางฟังตอนออกมาเป็นเพื่อนหลานเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มหน้าร้าน
ชวนชมยกน้ำแข็งด้วยสองมือแล้วเดินออกไปหาสายม่านที่คว้าถุงหูหิ้วขนาดใหญ่ไปอ้าปากถุงรอ
“เดือนนี้เขายังไม่บอกรึ รับเบี้ยคนเฒ่าเมื่อไร ?” นางถามตอนที่ก้อนน้ำแข็งลงไปอยู่ในถุงเรียบร้อยแล้ว
“ยังไม่รู้เลย นายกฯยังไม่แจ้งมา อีกซักสองสามวันละมั้ง” เธอหยิบน้ำอัดลมขวดเล็กเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งก่อนล้วงกระเป๋าเสื้อ “ทำไมด่วน แกไม่เห็นจะเดือดร้อนอย่างเค้า”
ชวนชมรับเงินมาใส่กระเป๋าผ้ากันเปื้อนด้วยสีหน้าเคร่งนิดๆ คิดเลขในใจ ก่อนจะหยิบเงินเหรียญทอนให้ แล้วพูดเนิบๆ
“ไม่เดือดร้อนดอก แค่อยากรู้ จะได้บอกคนอื่น”
นางไม่แปลกใจว่าเหตุใดชีวิตคู่ของสายม่านกับผัวเธอจึงไปได้ไม่สุดทาง ความถือดีในตัวและมาดมั่นเกินไปของเธอนั่นเองที่ทำให้ต้องอยู่เป็นม่ายมาตั้งห้าหกปีแล้ว
(ต่อ)
เรื่องสั้นวันพุธ (2 พ.ค. 61) : คนชอบพอ
โดย.....................ลิอ่อง
เช้านั้น กลิ่นหอมหวานดั่งมนต์เสน่ห์ของมะม่วงอกร่องอวลอยู่ในห้องครัว เพราะเจ้าของกลิ่นได้ถึงพร้อมด้วยลักษณะสุกที่สมบูรณ์ พวกมันเป็นมะม่วงลูกไม่โต แต่มีรสชาติออกไปทางหวานแหลมเคล้ากลิ่นหอมเฉพาะตัว เป็นผลไม้คู่กันดีกับข้าวเหนียวมูนรสกลมกล่อม
ชวนชม หญิงวัยหกสิบเศษ เจ้าของร้านชำใหญ่เก่าแก่หน้าวัดแสนถูกใจยิ่งนัก เพราะนางปลูกมันมากับมือ และคอยทำนุบำรุงให้น้ำให้ปุ๋ยทุกๆ สัปดาห์ แม้จะเริ่มเหนื่อยล้าโรยแรงกับภารกิจประจำวันคือ งานขายของกระจุกกระจิกในร้าน ซึ่งทำมาตั้งแต่นางออกเรือนกับพ่อของเจ้าออมและเอม ลูกชายทั้งคู่ที่เขาฝากฝังกับนางก่อนจบชีวิตลงด้วยคมกระสุนของใคร และเหตุใดก็ไม่อาจรู้ได้
ต้นมะม่วงอกร่องต้นนี้อยู่ในสวนซึ่งเป็นที่ๆ ผัวของนางถูกคนปองร้ายยิงเข้าใส่เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน มันตั้งอยู่ใจกลางที่ขนาดสองไร่อันมีรั้วรอบขอบชิด ติดถนนใหญ่ที่จะออกไปตัวอำเภอ และห่างจากบ้านของนางประมาณสองกิโลเมตร สำหรับผู้คนถิ่นนี้ มันคือมะม่วงที่ไม่ค่อยมีคนหามาปลูก และบางคนก็แทบไม่รู้จัก
นางเก็บมันมาเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากเห็นนวลเต็มผิวลูกมะม่วงเป็นสัญญาณว่าแก่จัด ขณะที่บางลูกก็สุกล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เมื่อยืนเอื้อมเก็บเอาบ้าง ใช้ตะกร้อสอยช่วยบ้าง ก็แทบไม่มีเหลือไว้บนต้นเผื่อเจ้ากระรอกกะแตอีก พอมาชั่งน้ำหนักดูที่บ้านก็เห็นว่าได้เกือบเก้ากิโล
แล้วนางก็แบ่งไว้สิบลูกสำหรับใส่บาตรพระที่เดินมาบิณฑบาตผ่านหน้าร้านตอนเช้า กับห่อกระดาษหนังสือพิมพ์อย่างดีสำหรับฝากไปให้ลูกชายคนโตและลูกสะใภ้ในตัวจังหวัดอีกสี่กิโล เก็บไว้ให้ลูกชายคนเล็กที่กลับมาบ้านทุกวันเสาร์อาทิตย์หลังจากไปอยู่หอพักเพื่อเรียนต่อในเมืองอีกสองกิโลกว่า ยังเหลือที่สุกมากตอนนี้สิบเอ็ดลูก แต่นางไม่อยากขาย เพราะมันไม่ได้มากพอที่จะวางขาย และส่วนตัวเองก็อยากจะชิมสักลูกสองลูกพอให้ได้สมอยาก ทั้งที่หมอพยายามห้ามนักหนา
“ป้าชมต้องระวังน้ำตาลนะคะป้า กินแต่น้อย ไม่งั้นเวียนหัว เวียนหน้า ตามืดอีกเด้อ” พยาบาลสาวที่โรงพยาบาลน้อยในหมู่บ้านเตือนยิ้มๆ “ยิ่งอยู่คนเดียวด้วยเนาะ”
อากาศที่ร้อนอ้าวแต่วานนี้ช่วยเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีให้ความหอมในเนื้อมะม่วงแทรกซึมผิวเปลือกออกมาตลอดเวลาแม้มีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กบางที่นางซื้อมาขายคลุมลูกมะม่วงไว้อย่างมิดชิด ขณะที่นางกลับมาคิดได้ว่า น่าจะแบ่งให้คนชอบพอกันสักหน่อย เพราะโอกาสที่นางจะได้พบใครต่อใครนั้นมีมากอยู่แล้ว ก็ในเมื่อบ้านเป็นร้านค้าที่มีผู้คนเข้าออกแทบตลอดทั้งวัน
“ยาเส้นงัวแดงห่อหนึ่ง”
เสียงแหบพร่าดังมาจากร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวผ้าเนื้อหนา ชายวัยเจ็ดสิบเศษแต่ยังสู้งานในนาไร่ชนิดที่หนุ่มหลายคนยอมถอย นัยน์ตาข้างซ้ายของเขาพิกลไปจากคนอื่น แต่ก็แทบไม่เป็นอุปสรรคต่อการงานใดๆ
“ลงไถรึยัง ?”
นางถามเขาโดยไม่ต้องคิด มันเป็นคำถามประจำฤดูกาลของชาวบ้านย่านนี้
“ยังเล้ย รอตัดอ้อยอีกแปลงหนึ่งก่อน”
เขาพูดแค่นั้นแล้วก็รีบหยิบเงินทอนใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกไป นางมองตามหลังคอยดูเขาก้าวคร่อมอานจักรยานคันใหญ่สมตัวแล้วออกแรงถีบทะยานไปบนถนนมุ่งหน้าทางทิศใต้
ตาขม-ชีวิตของคนที่เกี่ยวข้องกับตาขมอย่างยายปั่น ย่อมขมขื่นสมชื่อ ถ้าไม่ใช่หลักฐานบนใบหน้าหรือตามเนื้อตัวของยายปั่นที่มักมีร่องรอยขีดข่วน เขียวช้ำ บวม ก็มาจากเสียงทุบตี ทะเลาะดุด่าจากชายชราผู้นี้ในยามที่สติสัมปชัญญะของเขาถูกครอบครองด้วยฤทธิ์สุราสี่สิบดีกรี
นึกภาพแล้ว นางก็รู้สึกชิงชังแทนเมียของเขาเหลือเกิน...ฉันไม่แจกมะม่วงแกกินดอก ตาขมเอ๋ย....นางคิดพลางใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ป้ายคราบฝุ่นออกจากแผ่นกระจกตู้โชว์สินค้า หนึ่งในกิจวัตรที่พยายามจะทำทุกสัปดาห์ด้วยแรงของตัวเองคนเดียว มิไยที่จะมีคำถามหรือไม่ก็เสียงค่อนขอดมาจากเพื่อนบ้านและลูกค้าบางคน
“จ้างเขามาช่วยบ้างก็ได้ยายชมเอ๊ย จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
“ทำไมขยันละปายป้าชม แกจิหาเงินไปไหนน่ะ เท่านี้ยังไม่พอรึ ?”
แต่ชวนชมก็เพียงฟังแล้วยิ้มๆ ไม่ใคร่โต้ตอบใครนัก หรือหากตอบ นางก็ตอบด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
“ยังพอมีเรี่ยวแรงอยู่ มีเวลาว่างก็ทำไป”
น้ำเสียงและท่าทีชาวบ้านที่ตั้งคำถามแกมค่อนขอดเอากับนางเป็นมาเช่นนี้นานแล้ว โดยเฉพาะเมื่อชวนชมรื้อร้านค้าหลังเดิมออกพร้อมกับรื้อบ้านไม้หลังใหญ่หลังร้าน เพื่อปรับพื้นที่และสร้างอาคารพาณิชย์สองชั้นขนาดใหญ่ขึ้นมาแทน โดยแบ่งเป็นร้านค้าของนางห้องหนึ่ง ร้านทำธุรกิจเกมคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของลูกชายคนโตห้องหนึ่ง และแบ่งให้คนมาเช่าพักอาศัยอีกห้องหนึ่ง น้ำเสียงกับท่าทีและคำถามที่เคยมีจากใครบางคนก็ยังคงอยู่และไม่เคยหายไป นอกจากเก็บไว้ภายในใจ หรือทำเป็นลืมๆ ไปบ้าง
เสียงจักรยานยนต์แล่นเข้ามาจอดหน้าร้าน เด็กสาวสองคนเดินลงมาจากรถเพื่อมาที่ตู้เบิกถอนเงินสดที่ลูกชายของนางไปติดต่อธนาคารแห่งหนึ่งในตัวอำเภอให้มาติดตั้งสำหรับบริการคนในหมู่บ้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางออกไปที่ตลาดในอำเภออีกเกือบสิบห้ากิโลเมตร มันคือสิ่งแรกที่ทำให้หมู่บ้านนี้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้เกือบสมบูรณ์เท่าคนในเขตเทศบาล
“ป้าชม ซื้อนมงัวจืดสองกล่อง”
นางหันไปตามเสียงเรียก เด็กหญิงรุ่นสาวร่างบางในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อแขนกุดสีสดเดินเข้ามาในร้าน ตรงเข้ามาที่ตู้แช่เครื่องดื่มใกล้กับที่นางกำลังยืนเช็ดถูบานกระจก
“เอาสินาง หยิบเอา ดูเป็นมั้ย”
เด็กหญิงก้มกายลงมองดูกล่องเครื่องดื่มที่ตั้งเรียงแถวในตู้แช่
“ยายอยู่บ้านมั้ยดาว ?”
“ฮึ” เธอตอบด้วยคำที่คุ้นเคย
“ไปไหน ?”
“แกไม่เห็นบอก”
ชวนชมนึกอยากจะให้มะม่วงเพื่อฝากไปถึงน้องสาวน้องชายของเธอ แต่เมื่อใจไพล่ไปนึกเห็นยายของเด็กหญิงที่กำลังนั่งล้อมวงอันเป็นกิจกรรมบางอย่างโดยไม่สนใจเดือนตะวัน นางก็รีบเปลี่ยนใจ มองเงินในมือที่เด็กหญิงดาวยื่นให้อย่างพิจารณา
“ใครให้มาซื้อ..นมนี่น่ะ?”
“ไอ้โจมันหิว หนูเลยเอาเงินที่แม่ให้มาซื้อ”
ชวนชมรู้จักแม่ของเด็กอยู่พอสมควร หล่อนทำงานในโรงงานประกอบเครื่องมือแพทย์อยุ่ที่ต่างอำเภอ มีรถบัสคันใหญ่เข้ามารับ-ส่งเป็นประจำ เด็กหญิงดาวหันหลังเดินกลับไปแล้ว นางจึงหันมาทำงานตัวเองต่อ และไม่ถึงสิบนาที สายม่าน อบต.หญิงหมู่บ้านเดียวกับนางก็ขี่จักรยานยนต์เข้ามาพร้อมกับตะโกนเข้ามาก่อนด้วยเสียงอันดัง
“ยายชม มีน้ำแข็งก้อนใหญ่มะ...สองก้อน--ไวๆ”
เธอเป็นสมาชิก อบต.ผู้หญิงคนแรกของหมู่บ้านเมื่อสามปีก่อนด้วยความคล่องแคล่วในการจัดการเรื่องราวต่างๆ พร้อมกับท่าทีสาวห้าวที่ออกมาทางคำพูดเสียงดังฟังชัด และเนื้อความแบบขวานผ่าซาก และต่อมาก็เพราะคุณสมบัตินี้ของเธอจึงทำให้คนแก่หลายคนเริ่มไม่ชอบใจ รวมทั้งชวนชม
“ตอนประกาศชื่อให้ไปรับเบี้ยคนแก่ มันเรียกยังก๊ะเพื่อนมัน ‘ปาน สุดใจ...ปาน....มาไหม ปาน’ ‘นางเพ็ญ ดวงเงิน...เพ็ญ เพ็ญ ไปนั่งอยู่ไหน เพ็ญ มาเอาเงินนี่’ มันถือว่ามันเป็น อบต.ละมั้ง ? ข้าไม่ชอบ” ยายแก้วจากบ้านปลาใหญ่นั่งบ่นให้นางฟังตอนออกมาเป็นเพื่อนหลานเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มหน้าร้าน
ชวนชมยกน้ำแข็งด้วยสองมือแล้วเดินออกไปหาสายม่านที่คว้าถุงหูหิ้วขนาดใหญ่ไปอ้าปากถุงรอ
“เดือนนี้เขายังไม่บอกรึ รับเบี้ยคนเฒ่าเมื่อไร ?” นางถามตอนที่ก้อนน้ำแข็งลงไปอยู่ในถุงเรียบร้อยแล้ว
“ยังไม่รู้เลย นายกฯยังไม่แจ้งมา อีกซักสองสามวันละมั้ง” เธอหยิบน้ำอัดลมขวดเล็กเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งก่อนล้วงกระเป๋าเสื้อ “ทำไมด่วน แกไม่เห็นจะเดือดร้อนอย่างเค้า”
ชวนชมรับเงินมาใส่กระเป๋าผ้ากันเปื้อนด้วยสีหน้าเคร่งนิดๆ คิดเลขในใจ ก่อนจะหยิบเงินเหรียญทอนให้ แล้วพูดเนิบๆ
“ไม่เดือดร้อนดอก แค่อยากรู้ จะได้บอกคนอื่น”
นางไม่แปลกใจว่าเหตุใดชีวิตคู่ของสายม่านกับผัวเธอจึงไปได้ไม่สุดทาง ความถือดีในตัวและมาดมั่นเกินไปของเธอนั่นเองที่ทำให้ต้องอยู่เป็นม่ายมาตั้งห้าหกปีแล้ว
(ต่อ)