ศาสตร์แห่งจักรวาลวิทยา ยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งรู้ว่าภายนอกโลกมันอันตรายเพียงใด สิ่งที่เห็น ไม่ใช่แค่อนาคต แต่ก็อาจเป็นจุดจบของมนุษย์ชาติด้วยเช่นกัน
1.การทำลายตัวเอง ภัยจากสงครามโลก สงครามนิวเคลียร์ เชื้อโรค อาวุธชีวภาพ
ด้วยเทคโนโลยี เราค้นพบพลังที่สามารถทำลายล้างโลกใบนี้ได้ แต่เราไม่สามารถค้นพบพลังที่สามารถป้องกันโลกได้ และธรรมชาติของมนุษย์ ก็มักจะทำลายกันเองอยู่แล้ว มนุษย์ จึงถือเป็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกๆช่วงชีวิตอายุไขของมนุษย์ หรือทุกราวๆ80ปี
2.ภัยจากอุกาบาต หรือดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลก
ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสที่มี นน.20ล้านตัน ก็จะเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ ที่เข้ามาเฉียดโลก ในช่วงสงกรานต์ 13 เมษายน 2572 เฉียดผ่านโลกด้วยระยะห่าง 36,350 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 5.7 เท่าของรัศมีโลก ใกล้กว่าดวงจันทร์เกือบ 11 เท่า และใกล้กว่าวงโคจรของดาวเทียมด้วยซ้ำ
เนื่องด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกซึ่งเบนวงโคจรของอะโพฟิส ส่งผลให้การคาดหมายในอนาคตมีความแม่นยำน้อยลง เพราะก่อนหน้านี้ ในปี2547 ยังคำนวนไว้ว่าเฉียดผ่านโลกด้วยระยะห่างประมาณ 64,400 กิโลเมตรอยู่เลยด้วยซ้ำ
การมาของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส ทำให้เรามีโอกาสสังเกตเห็นมันในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบตะวันตกของทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และแอฟริกา สามารถเห็นได้โดยไม่ต้องใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ เห็นได้ชัดเจนในพื้นที่แถบชานเมืองและที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทำการประเมินความเสี่ยงว่า เหตุการณ์ทำนองนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นทุก ๆ 1,300 ปีหรือนานกว่านั้น
3.ภัยจากซุปเปอร์โนวา และ รังสีแกมมา
ในกาแล็คซี่ของเรา มักจะมีดวงดาวที่ตายปรากฏให้เห็นอยู่เสมอในทุกๆ50ปี ในขณะที่ดวงดาวทำลายตัวเอง รังสีแกมมาเป็นรังสีที่อันตรายที่สุดเท่าที่ค้นพบมาจะถูกปลดปล่อย ซึ่งถ้ามาถึงโลก ก็จะกวาดโอโซนออกจากชั้นบรรยากาศ และจะทำให้รังสีที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ส่งผลกระทบโดยตรงต่อมนุษย์
4.ภัยจากดวงอาทิตย์
ซึ่งดวงอาทิตย์เองก็มีวัฏจักรของมัน ต่อไปนี้มันจะค่อยๆร้อนขึ้น ทุกๆ6%ของ1,000ล้านปี 5,000ล้านปี อุณภูมิจะเพิ่มขึ้นราวๆ 200,000ล้านองศา เมื่อถึงจุดนั้น โลกก็จะกลายเป็นแค่ก้อนหินที่หลอมละลาย ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลก จะย่อยยับ นี่คือชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่ที่ๆจะสามารถอยู่อาศัยได้สำหรับมนุษย์อีกต่อไป...
เพราะเหตุใดมนุษย์ชาติ ถึงสมควรให้ความสำคัญกับ ภารกิจสำรวรอวกาศอย่างจริงจัง..
1.การทำลายตัวเอง ภัยจากสงครามโลก สงครามนิวเคลียร์ เชื้อโรค อาวุธชีวภาพ
ด้วยเทคโนโลยี เราค้นพบพลังที่สามารถทำลายล้างโลกใบนี้ได้ แต่เราไม่สามารถค้นพบพลังที่สามารถป้องกันโลกได้ และธรรมชาติของมนุษย์ ก็มักจะทำลายกันเองอยู่แล้ว มนุษย์ จึงถือเป็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกๆช่วงชีวิตอายุไขของมนุษย์ หรือทุกราวๆ80ปี
2.ภัยจากอุกาบาต หรือดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลก
ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสที่มี นน.20ล้านตัน ก็จะเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ ที่เข้ามาเฉียดโลก ในช่วงสงกรานต์ 13 เมษายน 2572 เฉียดผ่านโลกด้วยระยะห่าง 36,350 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 5.7 เท่าของรัศมีโลก ใกล้กว่าดวงจันทร์เกือบ 11 เท่า และใกล้กว่าวงโคจรของดาวเทียมด้วยซ้ำ
เนื่องด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกซึ่งเบนวงโคจรของอะโพฟิส ส่งผลให้การคาดหมายในอนาคตมีความแม่นยำน้อยลง เพราะก่อนหน้านี้ ในปี2547 ยังคำนวนไว้ว่าเฉียดผ่านโลกด้วยระยะห่างประมาณ 64,400 กิโลเมตรอยู่เลยด้วยซ้ำ
การมาของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส ทำให้เรามีโอกาสสังเกตเห็นมันในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบตะวันตกของทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และแอฟริกา สามารถเห็นได้โดยไม่ต้องใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ เห็นได้ชัดเจนในพื้นที่แถบชานเมืองและที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทำการประเมินความเสี่ยงว่า เหตุการณ์ทำนองนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นทุก ๆ 1,300 ปีหรือนานกว่านั้น
3.ภัยจากซุปเปอร์โนวา และ รังสีแกมมา
ในกาแล็คซี่ของเรา มักจะมีดวงดาวที่ตายปรากฏให้เห็นอยู่เสมอในทุกๆ50ปี ในขณะที่ดวงดาวทำลายตัวเอง รังสีแกมมาเป็นรังสีที่อันตรายที่สุดเท่าที่ค้นพบมาจะถูกปลดปล่อย ซึ่งถ้ามาถึงโลก ก็จะกวาดโอโซนออกจากชั้นบรรยากาศ และจะทำให้รังสีที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ส่งผลกระทบโดยตรงต่อมนุษย์
4.ภัยจากดวงอาทิตย์
ซึ่งดวงอาทิตย์เองก็มีวัฏจักรของมัน ต่อไปนี้มันจะค่อยๆร้อนขึ้น ทุกๆ6%ของ1,000ล้านปี 5,000ล้านปี อุณภูมิจะเพิ่มขึ้นราวๆ 200,000ล้านองศา เมื่อถึงจุดนั้น โลกก็จะกลายเป็นแค่ก้อนหินที่หลอมละลาย ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลก จะย่อยยับ นี่คือชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่ที่ๆจะสามารถอยู่อาศัยได้สำหรับมนุษย์อีกต่อไป...