หนังสือชีวจิต ฉบับว่าด้วย Cancer Fighter วันที่ 16 มีนาคม 2561 มีเรื่องเกี่ยวกับมะเร็งหลายเรื่อง เช่น Antioxidant Foods การออกกำลังกายสู้มะเร็งฯ บทความอ่านง่ายๆ ให้ความรู้ นำไปปฏิบัติตามได้ไม่ยาก บทความหนึ่งที่น่าจะอินเทรนด์ในเวลานี้เป็นการติดตามการศึกษาวิจัยตำรับยาสมุนไพรไทยสู้มะเร็ง เลยขอสรุปย่อความมาฝากค่ะ (ไม่ได้ยกรายละเอียดมาทั้งหมดนะคะ อันที่จริงข้อมูลไม่เยอะมาก อ่านสบายๆ ประมาณ 5 หน้า แต่พิมพ์ไม่เก่งค่ะ)
แนวทางการศึกษาวิจัยสมุนไพรเพื่อนำมาสู่การผลิตยารักษาผู้ป่วย
การนำยาสมุนไพรมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยอย่างถูกต้องและปลอดภัยตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบันต้องผ่านการศึกษาวิจัยให้ครบกระบวนการ ซึ่ง ศ. นพ. วิษณุ ธรรมลิขิตกุล ภาควิชาอายุรศาสตร์และสถานส่งเสริมการวิจัย คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล อธิบายถึงขั้นตอนทั้งหมดในการวิจัยสมุนไพรเพื่อนำมาสู่การผลิตยารักษาผู้ป่วย (วารสารเวชบันทึก ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2556)
1. การศึกษาวิจัยสมุนไพรในห้องปฏิบัติการ หรือ การวิจัยระดับพรีคลินิก ขั้นตอนนี้เพื่อทราบสารสำคัญ สูตรโครงสร้างของสารสำคัญ ความเป็นพิษเฉียบพลัน พิษกึ่งเรื้อรัง พิษเรื้อรัง และขนาดของยาสมุนไพรที่เหมาะสม เพื่อขจัดสมุนไพรที่มีพิษอย่างชัดเจนออกไปก่อนจะนำมาใช้ในคน และเพื่อให้ทราบว่าสมุนไพรหรือตำรับยานั้นมีสารสำคัญใดที่จะนำมาอธิบายกลไกการออกฤทธิ์ของสมุนไพรและใช้สารสำคัญดังกล่าวเพื่อควบคุมคุณภาพของสมุนไพรในขั้นตอนการวิจัยทางคลินิก
2. การศึกษาวิจัยสมุนไพรในคน หรือ การวิจัยระดับคลินิก แบ่งเป็น 4 ระยะ
2.1 ระยะที่ 1 ศึกษาในคนกลุ่มน้อยเพียงกลุ่มเดียว เช่น 10 คน โดยนำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการมาทดลองในคน เพื่อให้ทราบกระบวนการของร่างกายในการจัดการยาโดยเปรียบเทียบด้วยเวลา การหาข้อมูลขนาดของยาสมุนไพรที่เหมาะสม ตลอดจนผลข้างเคียงที่พบได้
2.2 ระยะที่ 2 ศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรในการรักษาผู้ป่วย โดยนำผลการศึกษาวิจัยระดับคลินิกในระยะที่ 1 มาศึกษาว่ามีประสิทธิผลหรือไม่ มากน้อยเพียงใด โดยทดลองใช้ยาสมุนไพรกับผู้ป่วยที่เป็นโรคในกลุ่มเดียวกัน เปรียบเทียบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อนและหลังการได้รับยาสมุนไพร
2.3 ระยะที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยที่แน่นอนของสมุนไพร โดยมีกลุ่มควบคุมที่เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ
2.4 ระยะที่ 4 ติดตามตรวจสอบประสิทธิผลและความปลอดภัยของสมุนไพรว่านอกจากมีประสิทธิผลและความปลอดภัยจากการวิจัยและนำไปใช้ในเวชปฏิบัติแล้ว ยังมีความปลอดภัยในการรักษา โดยศึกษาในกลุ่มประชากรที่มีจำนวนมากขึ้น เช่น หลักพัน
การศึกษาวิจัย 5 ตำรับยาสมุนไพรเพื่อการรักษาโรคมะเร็ง
1. ยอดยาแก้มะเร็งทุกชนิด วัดคำประมง
วัดคำประมง จังหวัดสกลนคร มีชื่อเสียงในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งมานาน (หมายเหตุ : ปัจจุบัน อโรคยาศาล วัดคำประมง ได้จัดตั้งเป็นโรงพยาบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขในชื่อ “โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานด้านมะเร็ง สกลนคร” เป็นโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยที่รักษาผู้ป่วยเฉพาะทางด้านมะเร็ง ระดับตติยภูมิ) โรงพยาบาลมีข้อตกลงความร่วมมือกับทีมวิจัยจากสถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อศึกษาวิจัยตำรับยาที่ใช้รักษาผู้ป่วย
ตำรับยอดยาแก้มะเร็งทุกชนิด ประกอบด้วยสมุนไพร 11 ชนิด ทีมผู้วิจัยศึกษาสารสกัดจากตำรับยาดังกล่าว และสารสกัดจากสมุนไพรเดี่ยวในตำรับ พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยงที่ทำการทดสอบ ได้แก่ เซลล์มะเร็งเต้านมชนิด MFC-7 เซลล์มะเร็งปากมดลูกชนิด HELA เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากชนิด PC-3 เซลล์มะเร็งปอดชนิด COR-L23 กับชนิด A549 โดยมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด MFC-7 ได้ดีที่สุด
นอกจากนี้สารสกัดจากตำรับยาดังกล่าวยังมีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระได้ดีกว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นเคมี ตลอดจนสามารถยับยั้งการเหนี่ยวนำให้เกิดการเจริญของเซลล์เนื้องอกในหนูทดลองจากแบบจำลองการศึกษามะเร็ง 3 ชนิด ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับ ได้ด้วย
สถานภาพ ปัจจุบันยาตำรับนี้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นยาเม็ดและยาแคปซูลแล้ว ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเป้าหมายจะศึกษาวิจัยในระดับคลินิกหรือการวิจัยในคนต่อไป
2. ยาสมานฉันท์ วัดคำประมง
ตำรับยาสมานฉันท์ประกอบด้วยสมุนไพร 10 ชนิด การทดสอบสารสกัดของตำรับยาพบว่ามีฤทธิ์ฆ่าและยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับ HepG2 และมะเร็งท่อน้ำดี KKU-M156 ส่วนการศึกษาสมุนไพรเดี่ยวในตำรับพบว่าสารสกัดของฝางแดงมีฤทธิ์ฆ่าและยับยั้งเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ SW480 ได้ดีที่สุด รองลงมาเป็นเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี KKU-M156 ส่วนสารสกัดของฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ฆ่าและยับยั้งเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ SW480 ได้ดีที่สุด รองลงมาเป็นเซลล์มะเร็งตับ HepG2 นอกจากนี้ตำรับยาดังกล่าวยังมีฤทธิ์ทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เช่นลดการอักเสบเรื้อรังและต้านอนุมูลอิสระได้ดี
สถานภาพ ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเป้าหมายจะพัฒนาตำรับยาสมุนไพรสมานฉันท์เป็นยาเม็ดและยาแคปซูล จากนั้นจะศึกษาวิจัยในระดับคลินิกต่อไป
3. ตำรับยาเบญจกูล
ตำรับยานี้ได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ แพทย์แผนไทยนิยมใช้รักษาโรคเรื้อรัง เช่น ใช้ร่วมกับยารักษาริดสีดวงทวาร ภูมิแพ้ โรคระบบทางเดินอาหาร อัมพฤกษ์ อัมพาต หมอพื้นบ้านทางภาคใต้นิยมใช้ยาตำรับนี้ปรับธาตุให้ผู้ป่วยมะเร็งก่อนทำการรักษา วัดคำประมงใช้ยาตำรับนี้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปอด ทีมผู้วิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พบว่าตำรับยานี้มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยทำให้เม็ดเลือดขาวชนิด Natural Killer Cell และลิมโฟไซต์ ทำงานได้ดี
นอกจากนี้ตำรับยาดังกล่าวยังมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งปอดทั้งในระดับหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง รวมทั้งยับยั้งการอักเสบได้ดีกว่ายาสเตียรอยด์ชนิด Phenylbutazone ในขนาดของยาที่เท่ากันทั้งในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง อีกทั้งมีฤทธิ์ทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เช่น ต้านเชื้อ ต้านการอักเสบ เพิ่มภูมิต้านทาน
สถานภาพ การศึกษาของทีมวิจัยพบว่าตำรับยาเบญจกูลยังมีผลต่อฮอร์โมนเพศหญิง จึงช่วยสนับสนุนการรักษาโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกได้ ซึ่งยังต้องศึกษาต่อไปทั้งในระดับพรีคลินิกและระดับคลินิก
4. เบญจอำมฤตย์
เบญจอำมฤตย์เป็นตำรับยาเก่าแก่ที่ได้จากตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ ตีพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2450 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระยาพิษณุประสาทเวชได้รวบรวมตำรายาแพทย์พื้นบ้านต่างๆ จัดทำเป็นตำรายาแพทย์แผนไทยฉบับสมบูรณ์
ในปี พ.ศ. 2557 กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการศึกษาวิจัยการใช้ยาตำรับนี้ในผู้ป่วยมะเร็งตับ ระบุว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายที่รับยาไปใช้ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น กินอาหารได้ ท้องไม่อืด ขับถ่ายดีขึ้น นอนหลับดีขึ้น เคลื่อนไหวร่างกายได้ดีขึ้น และระยะเวลาการมีชีวิตขยายเพิ่มขึ้น การติดตามผู้ป่วยมะเร็งตับที่ใช้ยาตำรับนี้ต่อเนื่องพบว่าคะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อัตรารอดชีวิตใน 1 ปีของผู้ป่วยที่รับยาตำรับนี้อยู่ที่ร้อยละ 27.08 ขณะที่ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่ที่ 17.5
ทั้งนี้ข้อค้นพบที่น่าสนใจคือผู้ป่วยไม่มีอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง จึงเป็นตำรับยาที่ใช้ร่วมรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับได้อย่างปลอดภัย
สถานภาพ ปัจจุบันกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข มีการติดตามผลการใช้ยาตำรับนี้ในโรงพยาบาลรัฐ 5 แห่งทั่วประเทศ และกำลังศึกษาวิจัยทางคลินิกระยะที่ 2 ที่โรงพยาบาลมะเร็ง อุบลราชธานี
5. ตำรับยา N040
ยาตำรับนี้มาจากฐานข้อมูลตำรับยา “มโนสร้อย” ซึ่งเป็นการรวบรวมตำรายาสมุนไพรไทยจากทั่วประเทศ โดย ดร. เภสัชกร จีรเดช มโนสร้อย อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ และศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่อมาในปี พ.ศ. 2557 กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้คัดเลือกตำรับยาสมุนไพร 4 สูตร มาวิจัยต่อ โดยในการวิจัยระดับพรีคลินิกพบว่าสารสกัดจากตำรับยา N040 มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งปากมดลูกในระดับหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2560 การวิจัยระดับคลินิกระยะที่ 1 เสร็จสิ้น ไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกกลุ่มตัวอย่าง 32 คน ในกลุ่มนี้ 16 คนร่างกายตอบสนองต่อการรักษาดี และ 4 คนที่ก้อนมะเร็งหายไป แต่เนื่องจากการวิจัยระยะที่ 1 ครั้งนี้ไม่มีกลุ่มควบคุม จึงยังไม่สามารถระบุได้ว่าการที่ก้อนมะเร็งหายไปเกิดจากยาหรือไม่
สถานภาพ กรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ยังคงศึกษาในระดับคลินิกระยะที่ 2 ต่อไป เพื่อให้ทราบผลการรักษาที่มีรายละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น
สำหรับกรณียาหมอแสงนั้น ข้อมูลในหนังสือระบุว่า (ขอยกข้อความมาทั้งหมดเลยแล้วกัน)
“นพ. เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าจากการทดสอบตำรับยาของนายแสงชัย แหเลิศตระกูล ในกลุ่มตัวอย่าง 1,062 คน ได้ข้อมูลมา 566 คน พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 80 มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น กินอาหารได้ นอนหลับ รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้น แต่ข้อมูลเรื่องการลดขนาดของก้อนเนื้อยังไม่มีผลยืนยัน โดยต้องรอผลการศึกษาในระดับหลอดทดลองจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติต่อไป
ทั้งนี้ นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อธิบายว่าขอให้ประชาชนมีวิจารณญาณในการตัดสินใจ เนื่องจากมะเร็งเป็นโรคที่ซับซ้อนและรักษายาก ขอแนะนำให้รักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งทั่วโลกยอมรับว่าควรใช้เป็นขั้นตอนการรักษาอันดับแรก ส่วนการแพทย์ทางเลือกนั้นสามารถนำมารักษาร่วมกันได้ แต่เพื่อความปลอดภัยควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างต่อเนื่อง”
ข้อมูลความคืบหน้าในการศึกษาวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง
แนวทางการศึกษาวิจัยสมุนไพรเพื่อนำมาสู่การผลิตยารักษาผู้ป่วย
การนำยาสมุนไพรมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยอย่างถูกต้องและปลอดภัยตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบันต้องผ่านการศึกษาวิจัยให้ครบกระบวนการ ซึ่ง ศ. นพ. วิษณุ ธรรมลิขิตกุล ภาควิชาอายุรศาสตร์และสถานส่งเสริมการวิจัย คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล อธิบายถึงขั้นตอนทั้งหมดในการวิจัยสมุนไพรเพื่อนำมาสู่การผลิตยารักษาผู้ป่วย (วารสารเวชบันทึก ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2556)
1. การศึกษาวิจัยสมุนไพรในห้องปฏิบัติการ หรือ การวิจัยระดับพรีคลินิก ขั้นตอนนี้เพื่อทราบสารสำคัญ สูตรโครงสร้างของสารสำคัญ ความเป็นพิษเฉียบพลัน พิษกึ่งเรื้อรัง พิษเรื้อรัง และขนาดของยาสมุนไพรที่เหมาะสม เพื่อขจัดสมุนไพรที่มีพิษอย่างชัดเจนออกไปก่อนจะนำมาใช้ในคน และเพื่อให้ทราบว่าสมุนไพรหรือตำรับยานั้นมีสารสำคัญใดที่จะนำมาอธิบายกลไกการออกฤทธิ์ของสมุนไพรและใช้สารสำคัญดังกล่าวเพื่อควบคุมคุณภาพของสมุนไพรในขั้นตอนการวิจัยทางคลินิก
2. การศึกษาวิจัยสมุนไพรในคน หรือ การวิจัยระดับคลินิก แบ่งเป็น 4 ระยะ
2.1 ระยะที่ 1 ศึกษาในคนกลุ่มน้อยเพียงกลุ่มเดียว เช่น 10 คน โดยนำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการมาทดลองในคน เพื่อให้ทราบกระบวนการของร่างกายในการจัดการยาโดยเปรียบเทียบด้วยเวลา การหาข้อมูลขนาดของยาสมุนไพรที่เหมาะสม ตลอดจนผลข้างเคียงที่พบได้
2.2 ระยะที่ 2 ศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรในการรักษาผู้ป่วย โดยนำผลการศึกษาวิจัยระดับคลินิกในระยะที่ 1 มาศึกษาว่ามีประสิทธิผลหรือไม่ มากน้อยเพียงใด โดยทดลองใช้ยาสมุนไพรกับผู้ป่วยที่เป็นโรคในกลุ่มเดียวกัน เปรียบเทียบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อนและหลังการได้รับยาสมุนไพร
2.3 ระยะที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยที่แน่นอนของสมุนไพร โดยมีกลุ่มควบคุมที่เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ
2.4 ระยะที่ 4 ติดตามตรวจสอบประสิทธิผลและความปลอดภัยของสมุนไพรว่านอกจากมีประสิทธิผลและความปลอดภัยจากการวิจัยและนำไปใช้ในเวชปฏิบัติแล้ว ยังมีความปลอดภัยในการรักษา โดยศึกษาในกลุ่มประชากรที่มีจำนวนมากขึ้น เช่น หลักพัน
การศึกษาวิจัย 5 ตำรับยาสมุนไพรเพื่อการรักษาโรคมะเร็ง
1. ยอดยาแก้มะเร็งทุกชนิด วัดคำประมง
วัดคำประมง จังหวัดสกลนคร มีชื่อเสียงในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งมานาน (หมายเหตุ : ปัจจุบัน อโรคยาศาล วัดคำประมง ได้จัดตั้งเป็นโรงพยาบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขในชื่อ “โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานด้านมะเร็ง สกลนคร” เป็นโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยที่รักษาผู้ป่วยเฉพาะทางด้านมะเร็ง ระดับตติยภูมิ) โรงพยาบาลมีข้อตกลงความร่วมมือกับทีมวิจัยจากสถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อศึกษาวิจัยตำรับยาที่ใช้รักษาผู้ป่วย
ตำรับยอดยาแก้มะเร็งทุกชนิด ประกอบด้วยสมุนไพร 11 ชนิด ทีมผู้วิจัยศึกษาสารสกัดจากตำรับยาดังกล่าว และสารสกัดจากสมุนไพรเดี่ยวในตำรับ พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยงที่ทำการทดสอบ ได้แก่ เซลล์มะเร็งเต้านมชนิด MFC-7 เซลล์มะเร็งปากมดลูกชนิด HELA เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากชนิด PC-3 เซลล์มะเร็งปอดชนิด COR-L23 กับชนิด A549 โดยมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด MFC-7 ได้ดีที่สุด
นอกจากนี้สารสกัดจากตำรับยาดังกล่าวยังมีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระได้ดีกว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นเคมี ตลอดจนสามารถยับยั้งการเหนี่ยวนำให้เกิดการเจริญของเซลล์เนื้องอกในหนูทดลองจากแบบจำลองการศึกษามะเร็ง 3 ชนิด ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับ ได้ด้วย
สถานภาพ ปัจจุบันยาตำรับนี้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นยาเม็ดและยาแคปซูลแล้ว ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเป้าหมายจะศึกษาวิจัยในระดับคลินิกหรือการวิจัยในคนต่อไป
2. ยาสมานฉันท์ วัดคำประมง
ตำรับยาสมานฉันท์ประกอบด้วยสมุนไพร 10 ชนิด การทดสอบสารสกัดของตำรับยาพบว่ามีฤทธิ์ฆ่าและยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับ HepG2 และมะเร็งท่อน้ำดี KKU-M156 ส่วนการศึกษาสมุนไพรเดี่ยวในตำรับพบว่าสารสกัดของฝางแดงมีฤทธิ์ฆ่าและยับยั้งเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ SW480 ได้ดีที่สุด รองลงมาเป็นเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี KKU-M156 ส่วนสารสกัดของฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ฆ่าและยับยั้งเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ SW480 ได้ดีที่สุด รองลงมาเป็นเซลล์มะเร็งตับ HepG2 นอกจากนี้ตำรับยาดังกล่าวยังมีฤทธิ์ทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เช่นลดการอักเสบเรื้อรังและต้านอนุมูลอิสระได้ดี
สถานภาพ ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเป้าหมายจะพัฒนาตำรับยาสมุนไพรสมานฉันท์เป็นยาเม็ดและยาแคปซูล จากนั้นจะศึกษาวิจัยในระดับคลินิกต่อไป
3. ตำรับยาเบญจกูล
ตำรับยานี้ได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ แพทย์แผนไทยนิยมใช้รักษาโรคเรื้อรัง เช่น ใช้ร่วมกับยารักษาริดสีดวงทวาร ภูมิแพ้ โรคระบบทางเดินอาหาร อัมพฤกษ์ อัมพาต หมอพื้นบ้านทางภาคใต้นิยมใช้ยาตำรับนี้ปรับธาตุให้ผู้ป่วยมะเร็งก่อนทำการรักษา วัดคำประมงใช้ยาตำรับนี้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปอด ทีมผู้วิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พบว่าตำรับยานี้มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยทำให้เม็ดเลือดขาวชนิด Natural Killer Cell และลิมโฟไซต์ ทำงานได้ดี
นอกจากนี้ตำรับยาดังกล่าวยังมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งปอดทั้งในระดับหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง รวมทั้งยับยั้งการอักเสบได้ดีกว่ายาสเตียรอยด์ชนิด Phenylbutazone ในขนาดของยาที่เท่ากันทั้งในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง อีกทั้งมีฤทธิ์ทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เช่น ต้านเชื้อ ต้านการอักเสบ เพิ่มภูมิต้านทาน
สถานภาพ การศึกษาของทีมวิจัยพบว่าตำรับยาเบญจกูลยังมีผลต่อฮอร์โมนเพศหญิง จึงช่วยสนับสนุนการรักษาโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกได้ ซึ่งยังต้องศึกษาต่อไปทั้งในระดับพรีคลินิกและระดับคลินิก
4. เบญจอำมฤตย์
เบญจอำมฤตย์เป็นตำรับยาเก่าแก่ที่ได้จากตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ ตีพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2450 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระยาพิษณุประสาทเวชได้รวบรวมตำรายาแพทย์พื้นบ้านต่างๆ จัดทำเป็นตำรายาแพทย์แผนไทยฉบับสมบูรณ์
ในปี พ.ศ. 2557 กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการศึกษาวิจัยการใช้ยาตำรับนี้ในผู้ป่วยมะเร็งตับ ระบุว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายที่รับยาไปใช้ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น กินอาหารได้ ท้องไม่อืด ขับถ่ายดีขึ้น นอนหลับดีขึ้น เคลื่อนไหวร่างกายได้ดีขึ้น และระยะเวลาการมีชีวิตขยายเพิ่มขึ้น การติดตามผู้ป่วยมะเร็งตับที่ใช้ยาตำรับนี้ต่อเนื่องพบว่าคะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อัตรารอดชีวิตใน 1 ปีของผู้ป่วยที่รับยาตำรับนี้อยู่ที่ร้อยละ 27.08 ขณะที่ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่ที่ 17.5
ทั้งนี้ข้อค้นพบที่น่าสนใจคือผู้ป่วยไม่มีอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง จึงเป็นตำรับยาที่ใช้ร่วมรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับได้อย่างปลอดภัย
สถานภาพ ปัจจุบันกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข มีการติดตามผลการใช้ยาตำรับนี้ในโรงพยาบาลรัฐ 5 แห่งทั่วประเทศ และกำลังศึกษาวิจัยทางคลินิกระยะที่ 2 ที่โรงพยาบาลมะเร็ง อุบลราชธานี
5. ตำรับยา N040
ยาตำรับนี้มาจากฐานข้อมูลตำรับยา “มโนสร้อย” ซึ่งเป็นการรวบรวมตำรายาสมุนไพรไทยจากทั่วประเทศ โดย ดร. เภสัชกร จีรเดช มโนสร้อย อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ และศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่อมาในปี พ.ศ. 2557 กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้คัดเลือกตำรับยาสมุนไพร 4 สูตร มาวิจัยต่อ โดยในการวิจัยระดับพรีคลินิกพบว่าสารสกัดจากตำรับยา N040 มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งปากมดลูกในระดับหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2560 การวิจัยระดับคลินิกระยะที่ 1 เสร็จสิ้น ไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกกลุ่มตัวอย่าง 32 คน ในกลุ่มนี้ 16 คนร่างกายตอบสนองต่อการรักษาดี และ 4 คนที่ก้อนมะเร็งหายไป แต่เนื่องจากการวิจัยระยะที่ 1 ครั้งนี้ไม่มีกลุ่มควบคุม จึงยังไม่สามารถระบุได้ว่าการที่ก้อนมะเร็งหายไปเกิดจากยาหรือไม่
สถานภาพ กรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ยังคงศึกษาในระดับคลินิกระยะที่ 2 ต่อไป เพื่อให้ทราบผลการรักษาที่มีรายละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น
สำหรับกรณียาหมอแสงนั้น ข้อมูลในหนังสือระบุว่า (ขอยกข้อความมาทั้งหมดเลยแล้วกัน)
“นพ. เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าจากการทดสอบตำรับยาของนายแสงชัย แหเลิศตระกูล ในกลุ่มตัวอย่าง 1,062 คน ได้ข้อมูลมา 566 คน พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 80 มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น กินอาหารได้ นอนหลับ รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้น แต่ข้อมูลเรื่องการลดขนาดของก้อนเนื้อยังไม่มีผลยืนยัน โดยต้องรอผลการศึกษาในระดับหลอดทดลองจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติต่อไป
ทั้งนี้ นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อธิบายว่าขอให้ประชาชนมีวิจารณญาณในการตัดสินใจ เนื่องจากมะเร็งเป็นโรคที่ซับซ้อนและรักษายาก ขอแนะนำให้รักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งทั่วโลกยอมรับว่าควรใช้เป็นขั้นตอนการรักษาอันดับแรก ส่วนการแพทย์ทางเลือกนั้นสามารถนำมารักษาร่วมกันได้ แต่เพื่อความปลอดภัยควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างต่อเนื่อง”