เพื่อนๆ นักลงทุนหลายๆคน น่าจะคุ้นๆ กับกระทู้ ประมาณนี้ใน pantip ซึ่งการที่เราจะลงทุนจนมีรายชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น สำหรับ ตลาดหลักทรัพย์ในไทยมีเงื่อนไข ก็คือ
“ผู้ถือหุ้นใหญ่ (Major Shareholder)” คือผู้ที่ต้องถือหุ้นมากกว่า 0.5% ขึ้นไป
วันนี้เลยจะมา Update กันดูว่า ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ถึงจะมีรายชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยวันนี้ผมเลือกมาซัก 10 บริษัท ไม่รวมบริษัทที่เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ เรียงตามบริษัท ที่มีมูลค่าตลาด (Market capitalization) มาก ไปน้อยที่สุด
(Update. ณ วันที่ 27/4/2561)
อันดับ 10: MPG มูลค่าตลาด 274 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.37 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ชื่อ MPG หรือบริษัท เอ็มพีจี คอร์ปอเรชั่น อาจไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่า ชื่อเดิมคือ บริษัท แมงป่อง ที่เป็นเจ้าของร้านแมงป่อง ที่ขาย DVD หลายๆ คนน่าจะร้องอ๋อ
บริษัทมีความพยายาม ที่จะฟื้นฟูกิจการทั้งการเปลี่ยนไปขาย Gadget หรือเปิดร้านเครื่องสำอาง Stardust หรือแม้กระทั่งข่าวทำพลังงานทดแทน
แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก บริษัทยังขาดทุนมากอยู่ หากไปดูงบกระแสเงินสด บริษัทมี กระแสเงินสดจากการดำเนินการติดลบ ก็ไม่ค่อยน่าลงทุนซักเท่าไหร่
บริษัทนี้มี warrant (ใบสำคัญแสดงสิทธิ) ด้วย ก่อนพิจารณาลงทุน ก็ต้องคำนวณมูลค่า warrant เข้าไปด้วยนะครับ
อันดับ 9: NPK มูลค่าตลาด 273 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.365 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
บริษัทชื่อเหมือน ปุ๋ย NPK แต่จริงๆ แล้วชื่อบริษัท นิวพลัสนิตติ้ง เป็นบริษัท ในเครือสหพัฒน์ฯ ประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตถุงน่องสตรี, ถุงเท้า, ชุดชั้นใน บริษัทนี้เป็นโรงงานผลิต ส่งให้กับบริษัท นิวซิตี้ หรือ NC
ธุรกิจก็ดูเหมือนจะทรงๆ ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 362 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย จากปี 2559 ที่มียอดขาย 399 ล้านบาท, กำไรปี 2560 สุทธิ 31 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ 43 ล้านบาท
ปัจจุบัน PE 8.7 เท่า, PBV 0.7 เท่า, ROE เท่ากับ ROA ประมาณ 8.6% เท่านั้น
ก็ถือว่าเป็นหุ้นโรงงาน หากจะดูการเติบโต คงต้องลุ้นว่า NC จะขายถุงน่องได้มากน้อยแค่ไหน
อันดับ 8: ARIP มูลค่าตลาด 270 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.35 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ARIP ประกอบธุรกิจ 3 ส่วน คือ
1) สื่อและคอนเทนต์ (เกี่ยวกับ computer)
2)ธุรกิจจัดงานนิทรรศการ งานแสดงสินค้า และกิจกรรมทางการตลาด (งาน commart)
3) ธุรกิจบริการดิจิทัล
บริษัทเซไปพักใหญ่ ตอนนี้เหมือนจะเริ่มกลับมาได้ ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 163 ล้านบาท ลดลง จากปี 2559 ที่มียอดขาย 178 ล้านบาท, กำไรปี 2560 สุทธิ 2.16 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ 1.85 ล้านบาท
ปัจจุบัน PE 125 เท่า, PBV 1.3 เท่า, ROE เท่ากับ ROA ประมาณ 1% เท่านั้น
ใครสนใจลงทุน ต้องดูแผนธุรกิจว่าจะ Turnaround ได้หรือไม่ โดยบริษัทนี้มีเจ้าของเดียวกับ IT city และ SVOA
อันดับ 7: DTCI มูลค่าตลาด 265 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.33 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
บริษัท ดี.ที.ซี.อินดัสตรี่ส์ เป็นบริษัทที่ผลิตปากกาใน Brand ที่หลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกันก็คือ Lancer
ธุรกิจก็ทรงๆ ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 240 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย จากปี 2559 ที่มียอดขาย 242 ล้านบาท, กำไรปี 2560 สุทธิ 25.5 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ 30 ล้านบาท
ปัจจุบัน PE 10.5 เท่า, PBV 0.75 เท่า, ROE กับ ROA พอๆ กันประมาณ 8% เท่านั้น
ก็ถือว่าเป็นหุ้นโรงงาน แถมถูก disrupt ในยุคดิจิตอล ซะอีก แต่จริงๆ แล้วทำปากกาได้ Gross margin 35% ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย
อันดับ 6: SPORT มูลค่าตลาด 260 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.3 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
สำหรับแฟนกีฬา คงคุ้นเคยกับสื่อสิ่งพิมพ์ของบริษัทนี้เป็นอย่างดี เช่น หนังสือพิมพ์ สยามสปอร์ต ซึ่งก็เป็นกลุ่มธุรกิจ ที่ถูก disrupt ด้วยสื่อดิจิตอล ทั้ง Facebook, Line, etc.
ธุรกิจก็กำลังปรับตัวอย่างมาก เพื่อให้รอดพ้นการ disrupt ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากปี 2559 ที่มียอดขาย 1,104ล้านบาท, ปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 200 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ขาดทุนสุทธิ 358 ล้านบาท
บริษัทนี้มี warrant (ใบสำคัญแสดงสิทธิ) ด้วย และค่อนข้างเยอะมาก ก่อนพิจารณาลงทุน ก็ต้องคำนวณมูลค่า warrant เข้าไปด้วยนะครับ ส่วนผู้ถือหุ้นก็ใกล้ติดลบเต็มที่
อันดับ 5: CPH มูลค่าตลาด 246 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.23 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
CPH หรือ บริษัท คาสเซ่อร์พีคโฮลดิ้งส์ ประกอบธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป (รับผลิตแบบ OEM ให้ Brand ดังๆ) และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ส่วนใหญ่จะขาดทุนเป็นหลัก ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 1,209 ล้านบาท ลดลง จากปี 2559 ที่มียอดขาย 1,294 ล้านบาท, ปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 97ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ขาดทุนสุทธิ 100 ล้านบาท
หาข้อมูลบริษัทนี้ค่อนข้างยาก แต่ด้วยราคาต่ำ Book ด้วย PBV เพียง 0.3 เท่า ใครอยากซื้อ ก็คงต้องซื้อแล้วไป unlock asset เอาเอง
อันดับ 4: NINE มูลค่าตลาด 240 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.2 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
หากใครทัน ช่วงประมูลช่องทีวีดิจิตอล ก็คงคุ้นกับบริษัทนี้ดี บริษัท NINE หรือ บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ เป็นบริษัทในเครือเนชั่น โดย NINE และบริษัทอื่นๆ ในเครื่อเนชั่น (NMG, NBC) เคยสร้างอภินิหารทำราคาขึ้นไปหลายเท่าตัว ช่วงประมูลทีวีดิจิตอล, ตอนนั้น NMG มี Slogan ที่ผมยังจำได้ดีคือ Sky is the limit, ซึ่งก็อาจจะโชคดีที่ NINE ประมูลช่องไม่ได้ ก็ไม่เจ็บตัวหนักมาก
ธุรกิจเดิมคือ ขายหนังสือเน้นที่เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งก็โดน disrupt เช่นกัน ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 158 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ที่มียอดขาย 182 ล้านบาท, ปี 2560 พลิกมามีกำไร 7 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ขาดทุนสุทธิไปถึง 213 ล้านบาท
บริษัทนี้มี warrant (ใบสำคัญแสดงสิทธิ) ด้วย ก่อนพิจารณาลงทุน ก็ต้องคำนวณมูลค่า warrant เข้าไปด้วยนะครับ
อันดับ 3: NC มูลค่าตลาด 224 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.12 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น NC เป็นบริษัท ในเครือสหพัฒน์ฯ จัดจำหน่ายถุงน่องสตรี ยี่ห้อ Cherilon (สาวๆ หลายคนน่าจะคุ้นเคยยี่ห้อนี่) และก็จำหน่ายชุดชั้นใน ทั้งของสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษ
ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 655 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ที่มียอดขาย 673 ล้านบาท, ปี 2560 มีกำไร 15.2 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่มีกำไร 14.5 ล้านบาท
ปัจจุบัน PE 14.5 เท่า, PBV 0.51 เท่า, ROE กับ ROA พอๆ กันประมาณ 3% เท่านั้น
อันดับ 2: EIC มูลค่าตลาด 222 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.1 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
บริษัท EIC เดิมประกอบธุรกิจด้านชิ้นส่วนอีเล็คโทรนิคส์ แต่ช่วงปลายปี 2560 เพิ่งประกาศลงทุนในบริษัท ส.ธนา มีเดีย ซึ่งก็ไม่รู้จะ diversification กันอย่างไรเหมือนกัน
ใครอยากทราบรายละเอียด ผมแนะนำ link นี้
https://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9600000071254
และสุดท้าย บริษัทที่ใช้เงินน้อยที่สุดก็คือ
อันดับ 1: Focus มูลค่าตลาด 190 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 0.95ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
FOCUS เดิมทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (ส่วนใหญ่ก็งานคอนโด และศูนย์การค้า) แล้วก็สร้างคอนโดขายอยู่ช่วงหนึ่ง
เมื่อปี 2559 บริษัทประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท เวก บริษัทโฟคัส เวก คอร์ปอเรชั่น โดย FOCUS ลงทุน 60% ที่ทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท และจะประกอบธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการขยะ
บริษัท Wheig (เวก) คือ บริษัทจากประเทศฝรั่งเศส มีประสบการณ์ด้านนี้
http://www.wheig.com/?lang=en
Project แรก คือการรับบริหารขยะให้ห้าง Mega Bangna เงินลงทุนโครงการล่าสุดเพิ่มทุนไปที่ 75 ล้านบาท
ธุรกิจใหม่ ก็น่าติดตามดูนะครับ ส่วนธุรกิจเดิม ก็ตาม Style รับเหมาก่อสร้าง
** จบด้วยคำเตือน **
1. บริษัทที่สามารถซื้อจนติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ อาจไม่ใช่บริษัทที่เราต้องการลงทุน ดังนั้น ควรดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ประกอบกับราคาที่จ่ายไป มากกว่าสิ่งอื่นใด
2. บริษัทเกือบทั้งหมด ROE, ROA ไม่สูง บางบริษัทก็ขาดทุน ซึ่งหากจะลงทุนจริงๆ ก็ต้องทำการบ้านดีๆ ให้เข้าใจถึงแผนธุรกิจ และแนวโน้มของการเติบโตในอนาคต ซึ่งการลงทุนก็ต้องดูอนาคต หรือมองกระจกหน้าเป็นหลัก มองอดีต ก็แค่ให้อุ่นใจเท่านั้น ไม่ได้เป็นเครื่องบอกอนาคต
ที่มา:
https://m.facebook.com/thaisuperstocks/?ref=bookmarks
หุ้นตัวไหนที่เราจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ โดยใช้เงินน้อยที่สุด
“ผู้ถือหุ้นใหญ่ (Major Shareholder)” คือผู้ที่ต้องถือหุ้นมากกว่า 0.5% ขึ้นไป
วันนี้เลยจะมา Update กันดูว่า ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ถึงจะมีรายชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยวันนี้ผมเลือกมาซัก 10 บริษัท ไม่รวมบริษัทที่เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ เรียงตามบริษัท ที่มีมูลค่าตลาด (Market capitalization) มาก ไปน้อยที่สุด
(Update. ณ วันที่ 27/4/2561)
อันดับ 10: MPG มูลค่าตลาด 274 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.37 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ชื่อ MPG หรือบริษัท เอ็มพีจี คอร์ปอเรชั่น อาจไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่า ชื่อเดิมคือ บริษัท แมงป่อง ที่เป็นเจ้าของร้านแมงป่อง ที่ขาย DVD หลายๆ คนน่าจะร้องอ๋อ
บริษัทมีความพยายาม ที่จะฟื้นฟูกิจการทั้งการเปลี่ยนไปขาย Gadget หรือเปิดร้านเครื่องสำอาง Stardust หรือแม้กระทั่งข่าวทำพลังงานทดแทน
แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก บริษัทยังขาดทุนมากอยู่ หากไปดูงบกระแสเงินสด บริษัทมี กระแสเงินสดจากการดำเนินการติดลบ ก็ไม่ค่อยน่าลงทุนซักเท่าไหร่
บริษัทนี้มี warrant (ใบสำคัญแสดงสิทธิ) ด้วย ก่อนพิจารณาลงทุน ก็ต้องคำนวณมูลค่า warrant เข้าไปด้วยนะครับ
อันดับ 9: NPK มูลค่าตลาด 273 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.365 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
บริษัทชื่อเหมือน ปุ๋ย NPK แต่จริงๆ แล้วชื่อบริษัท นิวพลัสนิตติ้ง เป็นบริษัท ในเครือสหพัฒน์ฯ ประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตถุงน่องสตรี, ถุงเท้า, ชุดชั้นใน บริษัทนี้เป็นโรงงานผลิต ส่งให้กับบริษัท นิวซิตี้ หรือ NC
ธุรกิจก็ดูเหมือนจะทรงๆ ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 362 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย จากปี 2559 ที่มียอดขาย 399 ล้านบาท, กำไรปี 2560 สุทธิ 31 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ 43 ล้านบาท
ปัจจุบัน PE 8.7 เท่า, PBV 0.7 เท่า, ROE เท่ากับ ROA ประมาณ 8.6% เท่านั้น
ก็ถือว่าเป็นหุ้นโรงงาน หากจะดูการเติบโต คงต้องลุ้นว่า NC จะขายถุงน่องได้มากน้อยแค่ไหน
อันดับ 8: ARIP มูลค่าตลาด 270 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.35 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ARIP ประกอบธุรกิจ 3 ส่วน คือ
1) สื่อและคอนเทนต์ (เกี่ยวกับ computer)
2)ธุรกิจจัดงานนิทรรศการ งานแสดงสินค้า และกิจกรรมทางการตลาด (งาน commart)
3) ธุรกิจบริการดิจิทัล
บริษัทเซไปพักใหญ่ ตอนนี้เหมือนจะเริ่มกลับมาได้ ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 163 ล้านบาท ลดลง จากปี 2559 ที่มียอดขาย 178 ล้านบาท, กำไรปี 2560 สุทธิ 2.16 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ 1.85 ล้านบาท
ปัจจุบัน PE 125 เท่า, PBV 1.3 เท่า, ROE เท่ากับ ROA ประมาณ 1% เท่านั้น
ใครสนใจลงทุน ต้องดูแผนธุรกิจว่าจะ Turnaround ได้หรือไม่ โดยบริษัทนี้มีเจ้าของเดียวกับ IT city และ SVOA
อันดับ 7: DTCI มูลค่าตลาด 265 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.33 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
บริษัท ดี.ที.ซี.อินดัสตรี่ส์ เป็นบริษัทที่ผลิตปากกาใน Brand ที่หลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกันก็คือ Lancer
ธุรกิจก็ทรงๆ ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 240 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย จากปี 2559 ที่มียอดขาย 242 ล้านบาท, กำไรปี 2560 สุทธิ 25.5 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ 30 ล้านบาท
ปัจจุบัน PE 10.5 เท่า, PBV 0.75 เท่า, ROE กับ ROA พอๆ กันประมาณ 8% เท่านั้น
ก็ถือว่าเป็นหุ้นโรงงาน แถมถูก disrupt ในยุคดิจิตอล ซะอีก แต่จริงๆ แล้วทำปากกาได้ Gross margin 35% ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย
อันดับ 6: SPORT มูลค่าตลาด 260 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.3 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
สำหรับแฟนกีฬา คงคุ้นเคยกับสื่อสิ่งพิมพ์ของบริษัทนี้เป็นอย่างดี เช่น หนังสือพิมพ์ สยามสปอร์ต ซึ่งก็เป็นกลุ่มธุรกิจ ที่ถูก disrupt ด้วยสื่อดิจิตอล ทั้ง Facebook, Line, etc.
ธุรกิจก็กำลังปรับตัวอย่างมาก เพื่อให้รอดพ้นการ disrupt ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากปี 2559 ที่มียอดขาย 1,104ล้านบาท, ปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 200 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ขาดทุนสุทธิ 358 ล้านบาท
บริษัทนี้มี warrant (ใบสำคัญแสดงสิทธิ) ด้วย และค่อนข้างเยอะมาก ก่อนพิจารณาลงทุน ก็ต้องคำนวณมูลค่า warrant เข้าไปด้วยนะครับ ส่วนผู้ถือหุ้นก็ใกล้ติดลบเต็มที่
อันดับ 5: CPH มูลค่าตลาด 246 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.23 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
CPH หรือ บริษัท คาสเซ่อร์พีคโฮลดิ้งส์ ประกอบธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป (รับผลิตแบบ OEM ให้ Brand ดังๆ) และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ส่วนใหญ่จะขาดทุนเป็นหลัก ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 1,209 ล้านบาท ลดลง จากปี 2559 ที่มียอดขาย 1,294 ล้านบาท, ปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 97ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ขาดทุนสุทธิ 100 ล้านบาท
หาข้อมูลบริษัทนี้ค่อนข้างยาก แต่ด้วยราคาต่ำ Book ด้วย PBV เพียง 0.3 เท่า ใครอยากซื้อ ก็คงต้องซื้อแล้วไป unlock asset เอาเอง
อันดับ 4: NINE มูลค่าตลาด 240 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.2 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
หากใครทัน ช่วงประมูลช่องทีวีดิจิตอล ก็คงคุ้นกับบริษัทนี้ดี บริษัท NINE หรือ บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ เป็นบริษัทในเครือเนชั่น โดย NINE และบริษัทอื่นๆ ในเครื่อเนชั่น (NMG, NBC) เคยสร้างอภินิหารทำราคาขึ้นไปหลายเท่าตัว ช่วงประมูลทีวีดิจิตอล, ตอนนั้น NMG มี Slogan ที่ผมยังจำได้ดีคือ Sky is the limit, ซึ่งก็อาจจะโชคดีที่ NINE ประมูลช่องไม่ได้ ก็ไม่เจ็บตัวหนักมาก
ธุรกิจเดิมคือ ขายหนังสือเน้นที่เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งก็โดน disrupt เช่นกัน ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 158 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ที่มียอดขาย 182 ล้านบาท, ปี 2560 พลิกมามีกำไร 7 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่ขาดทุนสุทธิไปถึง 213 ล้านบาท
บริษัทนี้มี warrant (ใบสำคัญแสดงสิทธิ) ด้วย ก่อนพิจารณาลงทุน ก็ต้องคำนวณมูลค่า warrant เข้าไปด้วยนะครับ
อันดับ 3: NC มูลค่าตลาด 224 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.12 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น NC เป็นบริษัท ในเครือสหพัฒน์ฯ จัดจำหน่ายถุงน่องสตรี ยี่ห้อ Cherilon (สาวๆ หลายคนน่าจะคุ้นเคยยี่ห้อนี่) และก็จำหน่ายชุดชั้นใน ทั้งของสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษ
ยอดขาย ปี 2560 ประมาณ 655 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ที่มียอดขาย 673 ล้านบาท, ปี 2560 มีกำไร 15.2 ล้านบาท เทียบ ปี 2559 ที่มีกำไร 14.5 ล้านบาท
ปัจจุบัน PE 14.5 เท่า, PBV 0.51 เท่า, ROE กับ ROA พอๆ กันประมาณ 3% เท่านั้น
อันดับ 2: EIC มูลค่าตลาด 222 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 1.1 ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
บริษัท EIC เดิมประกอบธุรกิจด้านชิ้นส่วนอีเล็คโทรนิคส์ แต่ช่วงปลายปี 2560 เพิ่งประกาศลงทุนในบริษัท ส.ธนา มีเดีย ซึ่งก็ไม่รู้จะ diversification กันอย่างไรเหมือนกัน
ใครอยากทราบรายละเอียด ผมแนะนำ link นี้ https://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9600000071254
และสุดท้าย บริษัทที่ใช้เงินน้อยที่สุดก็คือ
อันดับ 1: Focus มูลค่าตลาด 190 ล้านบาท ต้องใช้เงินขั้นต่ำ 0.95ล้านบาท ในการมีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่
FOCUS เดิมทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (ส่วนใหญ่ก็งานคอนโด และศูนย์การค้า) แล้วก็สร้างคอนโดขายอยู่ช่วงหนึ่ง
เมื่อปี 2559 บริษัทประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท เวก บริษัทโฟคัส เวก คอร์ปอเรชั่น โดย FOCUS ลงทุน 60% ที่ทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท และจะประกอบธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการขยะ
บริษัท Wheig (เวก) คือ บริษัทจากประเทศฝรั่งเศส มีประสบการณ์ด้านนี้ http://www.wheig.com/?lang=en
Project แรก คือการรับบริหารขยะให้ห้าง Mega Bangna เงินลงทุนโครงการล่าสุดเพิ่มทุนไปที่ 75 ล้านบาท
ธุรกิจใหม่ ก็น่าติดตามดูนะครับ ส่วนธุรกิจเดิม ก็ตาม Style รับเหมาก่อสร้าง
** จบด้วยคำเตือน **
1. บริษัทที่สามารถซื้อจนติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ อาจไม่ใช่บริษัทที่เราต้องการลงทุน ดังนั้น ควรดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ประกอบกับราคาที่จ่ายไป มากกว่าสิ่งอื่นใด
2. บริษัทเกือบทั้งหมด ROE, ROA ไม่สูง บางบริษัทก็ขาดทุน ซึ่งหากจะลงทุนจริงๆ ก็ต้องทำการบ้านดีๆ ให้เข้าใจถึงแผนธุรกิจ และแนวโน้มของการเติบโตในอนาคต ซึ่งการลงทุนก็ต้องดูอนาคต หรือมองกระจกหน้าเป็นหลัก มองอดีต ก็แค่ให้อุ่นใจเท่านั้น ไม่ได้เป็นเครื่องบอกอนาคต
ที่มา: https://m.facebook.com/thaisuperstocks/?ref=bookmarks