การเดินทางฉายเดี่ยว จาก Palm Spring สู่ Los Angeles เรื่องเล่าดีๆ ที่ได้พบเจอแต่คนดี ในวันที่ต้องผจญภัยต่างบ้านต่างเมือง


ข้อความทั้งหมดนี่เราพิมพ์ไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์นี้ใหม่ๆ ด้วยความที่นอนไม่หลับ และอยากบันทึกความทรงจำดีๆเก็บไว้  วันนี้เพิ่งจะได้มีโอกาสนำมาเรียบเรียงใหม่ ใส่รูปเท่าที่จะมี รูปเกี่ยวกับเนื้อหาบ้าง ไม่เกี่ยวบ้าง ต้องขออภัย

6 พฤษภาคม 2017 • ลอสแอนเจลิส, สหรัฐอเมริกา •
เรื่องเล่าดีๆ ที่ได้พบเจอกับคนดีๆ ในวันที่ต้องผจญภัยต่างบ้านต่างเมือง แบบ คนเดียว! คนเดียวจริงๆ
จาก Palm spring สู่ Los Angeles

ถ้าถามถึงความรู้สึก มันตื่นเต้นมากๆ ความกลัวมีบ้างตามประสา แต่ความตื่นเต้นมันท่วมท้นจริงๆ กับผู้หญิงตัวคนเดียว เพิ่งมาอเมริกาครั้งแรก ไม่รู้จักใครใน LA เลยแม้แต่คนเดียว ภาษาอังกฤษก็งูๆปลาๆ ถูๆไถๆ
เริ่มออกเดินทางจากบ้านพักมายังสถานีรถบัส Greyhound Banning station โดยใช้บริการรถจาก Lyft ซึ่งคล้ายๆ กับ Uber แต่ถูกกว่านิดหน่อย เพราะจาก Palm spring ไม่มีรถโดยสารสาธารณะเลย
เมื่อเจอคุณพี่คนขับ แกบอกว่าวันนี้เพิ่งมาขับ Lyft วันแรก เราเป็นคนประเดิมธุรกิจของเค้าเลย แอบดีใจ + หวั่นใจ


ระหว่างทาง แกก็ชวนคุยเรื่อยมา แกบอกว่าแกเป็น Engineer computer อยู่ 21 ปีที่แอลเอ แต่ภรรยาแกชอบบรรยากาศเทือกเขาสวยๆ ใน Yucaipa มากๆ ระหว่างนั่น เรามองภูเขา เราก็พูดไปว่า ที่นี่สวยจัง ไม่อยากไปจากที่นี่เลย แกก็พูดแทรกขึ้นมาว่า "พูดเหมือนภรรยาผมเป๊ะเลย!!!" ทุกครั้งที่พาภรรยามาเที่ยว พอถึงเวลากลับ ภรรยาเค้าจะพูดคำนี้ทุกครั้ง "I hate to leave this place" แกเลยบอกภรรยาว่า ถ้าคุณหางานได้แถวนี้ ผมจะพาเราทั้งครอบครัวย้ายมาอยู่ที่นี้ และต่อมาไม่นาน ภรรยาพี่เค้าก็ได้งานที่นี้จริงๆ เค้าจำเป็นต้องทำตามสัญญา แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เค้าเองก็รักที่นี่เหมือนกัน

สักพักพี่แกถามต่อว่า เราเคยมาเที่ยว Whitewater รึยัง เราเลยบอกว่าเคยมา เมื่อสองสามวันก่อน Whitewater เป็นธารน้ำใสๆ ไหลเป็นสายไปตามพื้นของบริเวณนั้น น้ำไม่ลึกมาก และใสมากๆ

พี่คนขับบอกว่า คุณอยากเห็นมันอีกมั้ย แน่นอน เราตอบว่าอยากเห็น พี่แกก็เลยเปลี่ยนเลน ขับชิดขวา และขับช้าๆ เพื่อให้เราดู Whitewater พี่คนขับถามต่อว่า คุณเห็นใช่มั้ยว่ามันใสมากๆ เพราะแบบนี้ไง เราถึงเรียกมันว่า Whitewater


จากนั้นแกก็หันมาถามเราบ้าง ว่าเรามาทำอะไรที่นี่ จะไปไหนต่อหลังจากนี้ เราก็บอกว่าเรามาเที่ยว มาคนเดียว และไม่รู้จักใครเลย พี่แกตกใจมากเซย์โอ้มายก๊อชชชช ซะลั่นเลย
และพี่แกก็พูกซ้ำๆ ว่า "You are so brave, you are so brave and you will get a good things before you leave, believe me!" เราก็ Thank you ไปตามประสา อมยิ้ม02


สุดท้ายพี่คนขับก็พาเรามาถึงสถานี Banning ซึ่งมันดูเก่าและวังเวงมากกกกก เม่าแพนิค  ดูไม่เหมือนที่เราเคยมาลงรถที่นี่ครั้งแรก พี่คนขับแกบอกให้รอก่อน ดูไม่น่าไว้ใจ แกเดินลงจากรถ แล้วเดินดูที่ประตูสถานี มันดูร้างๆจริงๆ เราเลยบอกว่าวันนั้นที่มามันไม่ใช่ที่นี่ จริงๆ นะ เราจำได้ ไม่รกร้างว่างเปล่าแบบนี้ มีถุงดำกับหนังสือพิมพ์แปะตามกระจก มันไม่ใช่ละ!!!

จากนั้นพี่คนขับรถก็เสิร์ชกูเกิ้ลเพื่อหาข้อมูลต่างๆนานา แต่มันก็ขึ้นมาเป็นรูปที่ออฟฟิศถึกทึนนั่นจริงๆ แกพยายามโทรหาเบอร์ออฟฟิศของสถานี แต่ก็ไม่มีคนรับ แกเลยตัดสินใจ ขับออกไปถามคนแถวนั้น ว่ามันใช่ที่นี่จริงๆเหรอ ปรากฏว่ามันใช่! แต่เรามั่นใจว่ามันไม่ใช่! พี่แกก็พยายามขับรถวนไปมา เพื่อหาจุดที่มันน่าจะใช่จริงๆ สุดท้าย เค้าเลยบอกว่าเค้าจำเป็นต้องให้เราลงตรงนี้จริงๆ เค้าเกลียดที่ต้องทำแบบนี้ เพราะดูสถานที่นี้มันแปลกจริงๆ และเค้าเชื่อที่เราบอกว่าวันนั้นไม่ได้ลงที่นี่ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ในเมื่อทุกคนพูดตรงกันหมด ว่านี่คือ Banning station ก่อนลงแกย้ำนักย้ำหน้า อยู่ในที่ปลอดโปร่งนะ พยายามยืนกับคนเยอะๆ แถวนี้ Homeless เยอะมาก ขอให้สนุกกับการเดินทาง พอเราลงรถ พี่แกก็จอดอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมขับออกไป


เราถึงที่นั่น 9 โมงเช้า ซึ่งรถจะมา 10.35 เรากำลังจะซื้อตั๋วออนไลน์ เพราะซื้อที่สถานีไม่ได้ ออฟฟิศมันปิดและรกร้างขนาดนั้น! แต่... ปรากฏว่าตั๋วออนไลน์ ยกเลิกการขายรอบนั้นไปแล้ว ทำไงดี!!! เหลืออีกรอบนึงคือ 12.55 เลย รออีกยาวนานมากกกก เลยเดินเข้าไปใน coffee shop ใกล้ๆ สถานี
ซื้อกาแฟแล้วถามคนขาย ได้ความว่า สถานีนี้มันปิดไปแล้ว มีแต่ bus stop ไม่มีออฟฟิศแล้ว

อ้าว! ทำไงอ่าทีนี้ ตั๋วก็ไม่ได้ซื้อออนไลน์ไว้ด้วย เครียดหนักมาก โทรหา Main office ก็ไม่มีคนรับสาย เดินไปถามคนแถวนั้น เค้าก็บอกว่ารอตรงนี้แหละ เดี๋ยวก็มา เอาวะ! รอมันตรงนี้แหละ เดี๋ยวค่อยถามคนขับเอา รอแล้วรอเล่า รถก็ยังไม่มา รอจน 11.30 ก็ยังไม่มา เลท ชม. นึง ไม่ใช่ละมั้ง Homeless ก็ดูน่ากลัว ซักพักเดินมาขอตังค์ เราไม่ให้ แล้วเดินหนีออกมา เราตัดสินใจ เดินเข้าร้านอาหาร Mexican  หาอะไรรองท้อง

นั่งกินไปก็พยายามนึกถึงวันที่เรานั่งรถบัสมาลงที่สถานีนี้ ว่าทำไมวันนั้นเราถึงไม่รู้สึกคุ้นเลย อาจจะมืดแล้วด้วยมั้ง เลยจำไม่ค่อยได้ นึกไปนึกมา ก็จำได้ว่า อ๋ออออ... วันนั้นเรามาลงตรงข้ามสถานีร้างนั้น มันมีลานจอดรถกว้างๆ ตามรูปด้านบนนั้นเลย จำได้ละ อมยิ้ม04

รถคงไม่มาละ เดี๋ยวซื้อออนไลน์เที่ยว 12.55 ละกัน สั่งอาหารเสร็จ กะมากดโทรศัพท์จองตั๋วออนไลน์ ปรากฏว่า... เที่ยว 12.55 หายไปแล้ว!!! เม่าตกใจ
ตายล่ะวา เครียดกำลังสอง เดินไปถามพนักงานร้าน Mexican food ที่เคาน์เตอร์ ว่าเราไปซื้อตั๋วบนรถหรือจ่ายปลายทางได้มั้ย เราต้องไปเที่ยวนี้จริงๆ ไม่งั้นพลาดเที่ยวนี้คือหกโมงเย็นเลย กว่าจะถึง LA สามทุ่มกว่า ไม่ดีแน่!

พี่พนักงานสาวใจดีก็บอกว่า คุณไปจ่ายที่สถานีต่อไปได้นะ ขึ้นไปก่อนได้ ไปรอตรงโน้น (ชี้ไปที่ป้ายรถเมล์) แต่ Homeless เยอะหน่อยต้องระวัง เราบอกว่ารถเรามา 12.55 ซึ่งตอนนั้นเพิ่ง 11.30 เราเล่าให้เค้าฟังว่า มะกี้เค้ามาขอตังค์เรา แต่เราเดินหนี พี่สาวใจดีทำหน้าตกใจ Ohh really! แล้วก็บอกให้เราอยู่ที่ร้านนี่แหละ ก่อนรถมาซัก 10 นาทีค่อยออกไป แต่คำที่เค้าพูดคือประทับใจมากๆๆๆๆ "you can sit here as long as you want, or you can go there before the bus coming 10 minutes. No one can do anything bad here so you will be safe, all of us will safe you  😊!!!" โอ้พระเจ้า เอาใจผมไปเลยครับน้ำตาจะไหล นาทีนั้นคือซึ้งจริงๆ นะ อมยิ้ม17

ถามเค้าต่อว่า ไป LA ขึ้นฝั่งโน้นแน่นะ ทำไมมันเป็นฝั่งเดียวกับที่เรามาหว่า พี่เค้าบอก เดี๋ยวคนขับจะบอกเองว่าไปไหน ฝั่งนั้นแหละ เราก็โอเค โอเค เชื่อเจ้าถิ่น

นั่งกิน Pollo tacos จนอิ่ม มองนาฟิกา 12.30 ถึงเวลาแล้ว ไปรอก่อนดีกว่า ก่อนกลับให้ทิปพี่เค้า แล้วยกมือไหว้ขอบคุณเป็นภาษาสเปน ให้ดูใกล้ชิดเป็นกันเองมากขึ้น อิอิ พี่สาวยิ้มแล้วบอกว่ารู้ ภาษาสเปนด้วยเหรอ เลยตอบกลับไปว่านิดหน่อย (นิดหน่อยจริงๆ สามสี่คำเห็นจะได้ นับเลข 1-10ได้ก็บุญละ)

ปล. ที่ LA และ แถบ Valley จะใช้ภาษาอังกฤษกับภาษาสเปนเยอะมาก แทบจะครึ่งๆ เพราะประชากรจำนวนมากเป็นชาว Mexican ซึ่งชาว Mexican ใช้ภาษาสเปนในการสื่อสาร (ข้อมูลไม่ได้อ้างอิงที่ไหน คิดเองล้วนๆ ฮ่าๆ)
ส่วนบริเวณอื่นของอเมริกาอย่าง New York, Boston หรือที่อื่นๆ เราไม่รู้นะ ว่ามีชาว Mexican เยอะแบบนี้มั้ย

กลับมาต่อกันที่มหากาพย์ Greyhound เรายืนรอตั้งแต่ 12.35 ถึง 13.10 เฮ้ย! ทำไมยังไม่มา มีคนเคยบอกว่า Greyhound ตรงเวลามากนะ ตอนที่เรานั่งมามันก็ตรงเวลาแป๊ะๆ จอดแต่ละสถานีตามตารางเลย นี่เราชวดอีกแล้วเหรอ เราจับตามอง ไม่ให้คลาดสายตาเลยนะ มันมาตอนไหน และไปตอนไหน ?!?!? เดินไปถามซุ้มการกุศลที่ตั้งอยู่แถวนั้น เค้าบอกว่าเค้าก็ยังไม่เห็นนะ มันอาจจะเลท เราก็คิดว่าเลท 15 นาทีเลยเหรอ ขอให้เป็นงั้นละกัน ขออย่าให้พลาดเลยเพี้ยง! จากนั้น เสิร์ทหาข้อมูลในกูเกิ้ล ว่า Greyhound มันเคยเลทขนาดนี้มั้ย เสิร์ทไปมองถนนไปเผื่อมันมา
รอจน 13.30 ถอดใจละ เราคงพลาดมันไปละ รอบหกโมงเย็นไม่รอละ อีกตั้งหลาย ชม. แถมไปถึงมืดด้วย คงต้องกลับบ้าน นาทีนั้นน้ำตาคลอเบ้านะ จะร้องไห้จริงๆ

คิดแค่ว่า...ทำไมวะ ทำไมวะ แค่นี้ก็พลาด เมื่อเช้าก็พลาดมารอบนึงแล้ว ถ้าจะกลับตอนนี้ก็เสียดายตังค์ค่าแท็กซี่ ทั้งมาทั้งกลับ ร่วมสองพันบาท น้ำตาจะไหล พรุ่งนี้ต้องมาใหม่อีก เสียค่าแท็กซี่อีก เครียดคูณสาม ตั้งใจว่า เอาวะ! ยืนรอนี่แหละ ถึงบ่ายสอง ถ้าไม่มา คงต้องกลับที่พักจริงๆ ร้อนก็ร้อน อากาศเย็น แต่แดดร้อน แผดเผามาก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่