คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
คนเราไม่เหมือนกันครับ ทั้งพื้นฐาน ความรู้ ประสบการณ์
สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่หล่อหลอม "ตัวตน" ขึ้นมา
ผมมองสองด้านครับ
1. ด้านการแสดงความเห็น ที่ต้องระมัดระวัง อย่างน้อยต้องรู้เรื่อง มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะแสดงความเห็นพอสมควร
แต่บ่อยมากครับ ที่การแสดงความเห็นจะ "ออกตัว" ไว้ก่อนว่า ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ติดตาม แต่ขอแสดงความเห็น
ตรงนี้แหละครับ ที่ต้องระมัดระวัง ต้องเป็นกลาง อย่ากระทบใคร ไม่งั้นเป็นเรื่อง
2. ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแสดงความเห็น บางคนอาจจุดเดือดต่ำ อะไรกระทบหน่อยปรี๊ดแตกเอาง่าย ๆ
ผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ ปรี๊ดแตกนี่ ไม่นานหรอกครับ ฉูนเฉียวแป๊บ ๆ เดียวก็หาย ขอโทษขอโพยกันไป จบ
ส่วนพวกที่ปรี๊ดแตกเกินขอบเขต ผมว่ามาจากการหล่อหลอมครับ ไม่ใช่จากอารมณ์ชั่ววูบ
ยิ่งบางคนนี้ ไม่ใช่เรื่องอารมณ์ชั่ววูบเลย หยาบคายเหลือรับ แต่ก็มีการแถช่วยกันว่าจุดเดือดต่ำ อารมณ์ชั่ววูบ
ความเคยชินครับ เวลาคนหลุดนี่แหละ ทำให้เห็นไส้เห็นปอดเห็นตับดี
ว่าคน ๆ นั้นผ่านการหล่อหลอมขัดเกลามายังไง
บางคนโดนด่าถึงบุพการี โคตรเหง้าไม่เหลือ ยังตอบโต้อย่างสุภาพ
แม้จะโมโห แสดงอาการโกรธ แต่ก็สุภาพ
แต่บางคน ใครทำไม่ถูกใจนิดเดียว สันดานดิบโผล่ทันที
นี่เรียกว่า ชีวิตคงอยู่ในสภาพแวดล้อมเลว ๆ มาตลอด ไม่เคยผ่านการขัดเกลา
สำคัญสุด ผมว่า ผู้แสดงความเห็นนั้น ต้องระมัดระวัง คิด ทบทวน ให้มาก ๆ ก่อนโพสต์
ไม่ใช่ให้คนที่จุดเดือดต่ำ หรือจุดเดือดสูง เป็นผู้ต้องคิดพิจารณาซะเอง
คนเรา บางครั้งไม่รู้หรอกครับว่า สิ่งที่เราไม่เจตนานั้น ไม่ได้หมายถึงนั้น คนอื่นเขาไม่เห็นอย่างนั้น
ผมถึงถือหลัก หากไม่เห็นด้วย ผมก็ซัดตรง ๆ ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย
จะแย้ง จะติ จะด่า จะอะไร ผมก็แสดงออกให้เห็นชัดเจน ตัดเรื่องการตีความให้หมดไป ไม่ต้องมาตีความกันให้เมื่อย
แต่ถึงขนาดนี้ หลายครั้ง ก็ยังมีคนตีความไปคนละเรื่อง
นั่นเพราะไม่อ่านให้ทั่ว ไม่พิจารณาเนื้อหา เอาแต่มองหาแง่ว่าจะเอาอะไรมาเถียงได้เท่านั้น
ผมว่า มันดีนะ ที่คนเราจะขัดแย้งกันทางความคิดความเห็น
จะแสดงอารมณ์บ้างก็เป็นเรื่องปกติ ก็แหม ในชีวิตจริงเรายังซัดกับคนรอบตัวอยู่ทุกวัน
คนเรา มีการขัดเกลา มีเบ้าหลอม กดเก็บสัญชาตญาณดิบไว้ ใช้ระเบียบสังคม กฎหมาย ขัดเกลา
สร้างสรรค์อุปนิสัย วัฒนธรรม อันดีงามในการอยู่ร่วมกัน
มีหลุดบ้างถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากครับ
ผมด่าสลิ่มประจำครับ ว่าใช้แต่สัญชาตญาณ อะไรสบอารมณ์ก็ว่าดี อะไรที่ไม่สบอารมณ์ก็ด่า
ไม่ได้พิจารณาถึงอื่นใด เหตุ ปัจจัย ไม่สนทั้งนั้น อยู่กับความถูกใจไม่ถูกใจเท่านั้น
สิ่งขัดเกลาอย่างหนึ่งที่สังคมสร้างขึ้น
นั่นคือคำว่า กล้าทำ ก็กล้ารับ
จะรับจริง รับหลอก อย่างน้อยก็คือการกล้ารับ แสดงให้เห็นพื้นฐานจิตใจ
แต่บางคน ไม่ใช่แค่ไม่กล้ารับ ถึงขนาดไม่ยอมรับเลยล่ะ ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำ
และเรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่แค่การเอาชนะคะคาน แต่คือการเรียกร้องถึงความรับผิดชอบต่อการกระทำ
เมื่อไม่ยอมรับผิดชอบ คนที่เขาโดนกระทำ เขาก็ตามด่า ด่าไม่เลิกจนกว่าจะแสดงความรับผิดชอบ
คนบางคน โดนด่าแม่ เขาโกรธสักพัก ก็หายครับ
แต่บางคน ไม่หายนะครับ แบบถ้าไม่ขอโทษไม่มียอม ตามทวงตามด่าอยู่นั่นแหละ
ผมเห็นว่า นี่คือเรื่องพื้นฐานในสังคมคนตามปกติครับ คนเราไม่เหมือนกัน
.
สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่หล่อหลอม "ตัวตน" ขึ้นมา
ผมมองสองด้านครับ
1. ด้านการแสดงความเห็น ที่ต้องระมัดระวัง อย่างน้อยต้องรู้เรื่อง มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะแสดงความเห็นพอสมควร
แต่บ่อยมากครับ ที่การแสดงความเห็นจะ "ออกตัว" ไว้ก่อนว่า ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ติดตาม แต่ขอแสดงความเห็น
ตรงนี้แหละครับ ที่ต้องระมัดระวัง ต้องเป็นกลาง อย่ากระทบใคร ไม่งั้นเป็นเรื่อง
2. ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแสดงความเห็น บางคนอาจจุดเดือดต่ำ อะไรกระทบหน่อยปรี๊ดแตกเอาง่าย ๆ
ผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ ปรี๊ดแตกนี่ ไม่นานหรอกครับ ฉูนเฉียวแป๊บ ๆ เดียวก็หาย ขอโทษขอโพยกันไป จบ
ส่วนพวกที่ปรี๊ดแตกเกินขอบเขต ผมว่ามาจากการหล่อหลอมครับ ไม่ใช่จากอารมณ์ชั่ววูบ
ยิ่งบางคนนี้ ไม่ใช่เรื่องอารมณ์ชั่ววูบเลย หยาบคายเหลือรับ แต่ก็มีการแถช่วยกันว่าจุดเดือดต่ำ อารมณ์ชั่ววูบ
ความเคยชินครับ เวลาคนหลุดนี่แหละ ทำให้เห็นไส้เห็นปอดเห็นตับดี
ว่าคน ๆ นั้นผ่านการหล่อหลอมขัดเกลามายังไง
บางคนโดนด่าถึงบุพการี โคตรเหง้าไม่เหลือ ยังตอบโต้อย่างสุภาพ
แม้จะโมโห แสดงอาการโกรธ แต่ก็สุภาพ
แต่บางคน ใครทำไม่ถูกใจนิดเดียว สันดานดิบโผล่ทันที
นี่เรียกว่า ชีวิตคงอยู่ในสภาพแวดล้อมเลว ๆ มาตลอด ไม่เคยผ่านการขัดเกลา
สำคัญสุด ผมว่า ผู้แสดงความเห็นนั้น ต้องระมัดระวัง คิด ทบทวน ให้มาก ๆ ก่อนโพสต์
ไม่ใช่ให้คนที่จุดเดือดต่ำ หรือจุดเดือดสูง เป็นผู้ต้องคิดพิจารณาซะเอง
คนเรา บางครั้งไม่รู้หรอกครับว่า สิ่งที่เราไม่เจตนานั้น ไม่ได้หมายถึงนั้น คนอื่นเขาไม่เห็นอย่างนั้น
ผมถึงถือหลัก หากไม่เห็นด้วย ผมก็ซัดตรง ๆ ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย
จะแย้ง จะติ จะด่า จะอะไร ผมก็แสดงออกให้เห็นชัดเจน ตัดเรื่องการตีความให้หมดไป ไม่ต้องมาตีความกันให้เมื่อย
แต่ถึงขนาดนี้ หลายครั้ง ก็ยังมีคนตีความไปคนละเรื่อง
นั่นเพราะไม่อ่านให้ทั่ว ไม่พิจารณาเนื้อหา เอาแต่มองหาแง่ว่าจะเอาอะไรมาเถียงได้เท่านั้น
ผมว่า มันดีนะ ที่คนเราจะขัดแย้งกันทางความคิดความเห็น
จะแสดงอารมณ์บ้างก็เป็นเรื่องปกติ ก็แหม ในชีวิตจริงเรายังซัดกับคนรอบตัวอยู่ทุกวัน
คนเรา มีการขัดเกลา มีเบ้าหลอม กดเก็บสัญชาตญาณดิบไว้ ใช้ระเบียบสังคม กฎหมาย ขัดเกลา
สร้างสรรค์อุปนิสัย วัฒนธรรม อันดีงามในการอยู่ร่วมกัน
มีหลุดบ้างถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากครับ
ผมด่าสลิ่มประจำครับ ว่าใช้แต่สัญชาตญาณ อะไรสบอารมณ์ก็ว่าดี อะไรที่ไม่สบอารมณ์ก็ด่า
ไม่ได้พิจารณาถึงอื่นใด เหตุ ปัจจัย ไม่สนทั้งนั้น อยู่กับความถูกใจไม่ถูกใจเท่านั้น
สิ่งขัดเกลาอย่างหนึ่งที่สังคมสร้างขึ้น
นั่นคือคำว่า กล้าทำ ก็กล้ารับ
จะรับจริง รับหลอก อย่างน้อยก็คือการกล้ารับ แสดงให้เห็นพื้นฐานจิตใจ
แต่บางคน ไม่ใช่แค่ไม่กล้ารับ ถึงขนาดไม่ยอมรับเลยล่ะ ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำ
และเรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่แค่การเอาชนะคะคาน แต่คือการเรียกร้องถึงความรับผิดชอบต่อการกระทำ
เมื่อไม่ยอมรับผิดชอบ คนที่เขาโดนกระทำ เขาก็ตามด่า ด่าไม่เลิกจนกว่าจะแสดงความรับผิดชอบ
คนบางคน โดนด่าแม่ เขาโกรธสักพัก ก็หายครับ
แต่บางคน ไม่หายนะครับ แบบถ้าไม่ขอโทษไม่มียอม ตามทวงตามด่าอยู่นั่นแหละ
ผมเห็นว่า นี่คือเรื่องพื้นฐานในสังคมคนตามปกติครับ คนเราไม่เหมือนกัน
.
แสดงความคิดเห็น
จุดเดือดต่ำ
แต่หมายถึงสภาวะอารมณ์ของมนุษย์ ที่เกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่มากระทบและแสดงพฤติกรรมออกมาในทางลบ
หรือตามภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "หัวร้อน" นั่นเอง
ในเว็บ "กลยุทธ" ได้กล่าวไว้ว่า
คนทุกคนมีจุดเดือดที่ต่างกัน บางคนนิ่งซะมาก ยากที่ใครจะกวนโมโหได้
ส่วนบางคน ต่ำมาก แค่มาสะกิด แหย่ๆ ก็พร้อมที่จะปรี๊ดแตกแล้ว
......... ผลของการกระทำในขณะที่โกรธ มักเป็นโทษเสมอ
คนส่วนใหญ่ มารู้ตัวอีกที ก็สายไปแล้ว กระทำบางสิ่งบางอย่างลงไปแล้วในขณะที่โกรธ
แต่ถ้าเรารู้ทันล่ะ ว่าตอนนี้เราโกรธแล้วนะ หน้าเริ่มแดง หายใจเริ่มเร็ว
เรามีทางเลือกครับ อาจจะหลีกเลี่ยงการปะทะ หนีไปอยู่คนเดียวสักพัก กลับมาคุยกันต่อด้วยเหตุผล
(ขอขอบคุณมุมมองดีๆ จากเว็บ"กลยุทธ")
ทีนี้มาดูเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว
จากอาการจุดเดือดต่ำ บวกกับแรงกระพือมาปะทะ ทำให้เกิดความเสียหายต่อตนเองอย่างมาก
จากคลิปวิดีโอที่จะนำเสนอด้านล่าง
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
คลิปจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดเองนะครับ
คลิปแรก เป็นคลิปที่ได้มีการกระชับแล้ว จากสื่อหนึ่ง
ส่วนคลิปที่สอง เป็นคลิปเต็มที่ได้จากร้านสะดวกซื้อนั้น
เราจะเห็นได้ว่า ก่อนที่ชายหัวร้อนคนนั้นจะถึงจุดเดือด ย่อมต้องมีแรงกระพือมาก่อน
กล่าวคือ
- ลูกค้าโยนสินค้าลงบนเคาท์เตอร์คิดเงิน (คงจะไปฟัดกับใครมาก่อนหน้านี้)
- พนักงานไม่พอใจ แล้วชี้ไปทางประตู พร้อมนำสินค้าชิ้นนั้นมาเก็บไว้ข้างลิ้นชักเก็บเงิน (ไล่ลูกค้า)
- หลังจากเจรจากัน พนักงานยอมขายให้
- ลูกค้ารูดบัตรกับเครื่องรูดบัตร แต่ไม่ผ่าน
- พนักงานคงพูดอะไรสักอย่าง ที่ทำให้จุดเดือดที่ต่ำอยู่แล้ว ต่ำลงไปอีก
หลังจากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ตามที่เห็น
ดังนั้น อยากจะให้ข้อคิดว่า การรักษาอารมณ์ผ่านการเจรจากันด้วยตัวอักษร มันไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะในระหว่างที่อ่านแล้วปรี๊ด และในระหว่างที่ปรี๊ดแล้วพิมพ์ ย่อมต้องใช้เวลาสักพัก อารมณ์นั้นน่าจะบรรเทาความร้อนลงบ้างแล้ว
อย่าเอาความสะใจ หรือความต้องการเอาชนะ มาเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์นี้เลย
เพราะผลที่ตามมา ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี
และสื่อ ก็ไม่ได้ช่วยเรื่องความเป็นธรรมเลย
(คลิปข่าวจากสื่อ)
(คลิปเหตุการณ์ที่ไม่มีการตัด)
แก้ไขลิงค์วิดีโอให้ถูกต้อง