EP3/4 [แชร์ประสบการณ์] ชีวิต30วันของYoung Smart Farmerไทยในไต้หวัน On-the-Job-Training

สวัสดีค่ะ ขอเล่าประสบการณ์การไปอยุ่ไต้หวัน 1 เดือนในฐานะเกษตรกรรุ่นใหม่จากไทย
ต่อจาก Ep ที่แล้วนะคะ สามารถย้อนอ่านตอนอื่นๆได้ที่นี่ค่ะ

Ep1: ศึกษาดูงานกับอาจารย์จาก National Taiwan University https://pantip.com/topic/37557457
Ep2: High-Value Crop Production under Protected Structure กับสถาบันวิจัย TARI https://pantip.com/topic/37565018
[กระทู้นี้]  Ep3: On the Job Training ทำงานและกินอยู่กับเกษตรกรไต้หวัน
Ep4: ศึกษาเรียนรู้รูปแบบเกษตรในไต้หวัน ร่วมกับคณะเกษตรกรรุ่นใหม่ไทยอีกกลุ่มที่ตามมา https://pantip.com/topic/37591785/





ต่อไปนี้จะเป็นช่วงที่มีแต่การทำงาน และใช้ชีวิตร่วมกับเกษตรกรไต้หวันค่ะ
ไม่มีดูงาน ไม่มีการเรียนการสอนแล้ว
เป็นช่วงที่กินระยะเวลานานที่สุด คือ 11 วันค่ะ

>>>>>>>>>> Day14 <<<<<<<<<
นาข้าวของMinchung @Fuli

ตีห้าครึ่ง แต่ฟ้าสว่างแล้ว หมินจงขับรถเลี้ยวเข้ามาที่บ้านเพจ มารับตามเวลาที่บอกไว้แบบพอดีเป๊ะๆ
นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก


เมื่อคืนหลังจากที่พวกเรา3คนแยกจากเจ้าหน้าที่จากศูนย์วิจัย TARI ขึ้นรถไฟลงใต้มาจนถึง Hualien ก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาหาเราที่ชานชาลา เราคิดว่าเขาจะเป็น Farmer A ที่อยู่ในกระดาษScheduleที่พกมาจากไทย

“ยินดีที่ได้รู้จัก เรนใช่มั้ย” เราถาม
เค้าส่ายหัว บอกว่า ไม่ใช่ๆ เขาเป็นเพื่อนของเรน ชื่อJack เรนให้ช่วยมารับ
รับไปนั่งอยู่ข้างล่างสถานี ใจดีจัง ซื้อชานมให้กินด้วย

..ผ่านไปครึ่งชม. ผู้ชายอีกคนก็เดินเข้ามา เราก็ทักทาย “หวัดดี นี่เรนใช่มั้ย”
คำตอบเหมือนเดิม ...ไม่ใช่ เขาเป็นเพื่อนของเรน ชื่อไค จะมารับเราไปอีกทอด
แล้วJackก็จากไป คือหน้าที่Jack มาเพื่อพาเราลงจากชานชาลามานั่งรอไคตรงนี้นั่นเอง
ไคพาพวกเราออกไปซื้อข้าวกล่องมานั่งกินหน้าสถานีเดิม อีกประมาณชั่วโมงกว่าเราถึงจะไปขึ้นรถไฟ

มื้อเบาๆที่ถวิลหามานาน

ระหว่างกิน ไคก็บอกว่า “เรนเค้ายุ่งมาก เลยให้มารับแทน”
แล้วถามว่าชื่อไรกันมั่ง กินอะไรไม่ได้มั่ง จะส่งไปบอกคนที่ต้องเตรียมอาหารให้เรา
(อาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่นี่จริงๆ)
เมย์ แพ้แอลกอฮอล์
เปิ้ล กินทุกอย่างยกเว้นเนื้อ
ชัย แพ้ต้นหอมที่ยังไม่ผ่านการปรุงอาหาร (วันนี้ก็ดันไปชิมต้นหอมสดๆที่สวน TT)


ไคพาเรานั่งรถไฟกันไปอีกชั่วโมงกว่า ก็ถึงสถานี Chishang

ความจริงเมืองที่เราอยู่ชื่อว่า Fuli แต่สถานีFuliเล็กๆ รถไฟขบวนที่เรานั่งจะวิ่งผ่านไปเลย ไม่จอด เราเลยต้องลงที่นี่แล้วนั่งรถย้อนกลับไป
ที่นี่จะมีคนชื่อเรนมารับแล้วใช่มั้ยนะ

ทันทีที่ไปถึง ก็เจอคน7-8คนเข้ามารุมทักทายและช่วยถือกระเป๋า เห็นแววแล้วว่าเราคงได้รู้จักคนใหม่ๆอีกเพียบเลยที่นี่
มีผู้หญิงคนนึงชื่อว่าเพจ แนะนำว่าเดี๋ยวพวกเราจะไปพักที่บ้านเค้า
“เหนื่อยมั้ย เมื่อเช้าตื่นกันกี่โมง” เพจถาม
“ประมาณ 7โมง” เราตอบ เพจตกใจเล็กน้อย

เพจชี้ไปทางผู้ชายอีกคนที่ยืนข้างๆ แล้วบอกว่า
”พรุ่งนี้เขาจะพาเธอไปที่นาข้าวของเค้า ตีห้า โอเคมั้ย”

เราพร้อมใจกันตอบ “โอเค๊ๆๆๆ” เริ่มงานเช้ามากๆๆ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาปฏิเสธ

แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นรถ ชัยโดนดึงหายไปรถคันไหนก็ไม่รู้ ส่วนเรากะน้องเปิ้ลนั่งรถของเพจมา

เพจอายุ 35 ปี พาลูกสาวอายุ 1ขวบ8เดือนมารับเราด้วย เพจเรียกว่า เหม่เหม แปลว่าน้องสาว เพราะเค้ามีพี่ชายอีกสองคน
เราแอบคิดในใจว่า เด็กเก่งเนอะ ออกมาลุยกลางดึกแบบนี้กะแม่ได้ด้วย

หึๆ ต่อมาเราถึงรู้ว่า เหม่เหมทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดอีกมากกก

ระหว่างนั่งรถ เพจถามพวกเราว่า อายุเท่าไหร่ มีแฟนมั้ย แต่งงานยัง
เมื่อถึงบ้านเพจ รถที่ชัยนั่งมาก็เข้ามาจอดด้วย

ก่อนจะขนกระเป๋าขึ้นห้องไปพักผ่อน ก็นัดหมายกันอีกรอบ ว่าตีห้าครึ่งพ่อหนุ่มที่ชัยนั่งรถมาด้วยมะกี้จะมารับเรา
เราถามเค้าว่า ชื่ออะไร
“หมินจง” เค้าตอบ

หมินจงบอกว่า พูดอังกฤษไม่ค่อยได้นะ
เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เราใช้ app Google translate กันได้ แล้วก็เปิดแอพให้ดู

หมินจงทำหน้าดีใจระดับ8 ประมาณว่ารอดตายแล้ว “Okay!!!!” ปกติเค้าก็ใช้เหมือนกัน
นี่คือภาพที่ถ่ายตอนพบกันที่สถานี ทุกคนมารับเรา


ตัดภาพกลับมาที่เช้าวันนี้ หมินจงกำลังขับรถพาเราออกไปทำงานกะเค้า
ตอนแรกก็พาไปที่บ้านของหมินจงก่อน แล้วจึงเปลี่ยนไปเป็นรถตู้เล็กๆที่ข้างหลังไม่มีเบาะนั่ง เอาไว้ขนของเท่านั้น

งานวันนี้คือจะไปใส่ปุ๋ยกัน หมินจงให้ชัยช่วยขนปุ๋ย และเครื่องพ่นปุ๋ยขึ้นรถตู้
ที่บ้านมีโรงเก็บของ เก็บปุ๋ย แต่จะมีโรงงานของเขาแยกไปอยู่อีกที่ (บ้านหมินจงมีรถยกด้วย)

หมินจงพาไปกินข้าวเช้าก่อน ที่ร้านเล็กๆแถวบ้าน เป็นหัวไชเท้าผสมกับแป้ง ราดซอสดำๆ พร้อมด้วยแซนด์วิชก้อนใหญ่มากอีกคนละก้อน
เรากินแค่ขนมหัวไชเท้าก็อิ่มมากละ เก็บแซนด์วิชไว้ก่อน

นี่คือหมินจงกะเรา

ระหว่างขับรถไปที่นา เรากะเปิ้ลนั่งข้างหลังเคียงข้างกระสอบปุ๋ย ให้ชัยนั่งหน้าคู่กับหมินจง
วิวระหว่างทางสวยมาก เต็มไปด้วยท้องนา ที่นี่คงจะเน้นปลูกข้าว แปลงของหมินจงห่างจากบ้านเค้าไปประมาณ 20 นาทีได้

ระหว่างทางก็ได้สอบถามประวัติกันไปมา (คุยกันด้วยGoogle translate ผสมภาษามือ)

หมินจงอายุ 24 เท่านั้น นาข้าวที่เรากำลังจะไปนี้ขนาด 18.75ไร่ และมีอีกแปลงอยู่ที่อื่น ขนาด 37.5ไร่
แต่ก่อนมีมากกว่านี้นะ แต่ขายไปละ ทั้งหมดทั้งมวลนี้หมินจงดูแลเองหมดเลย เป็นการปลูกข้าวแบบปกติ ยังไม่ใช่ข้าวอินทรีย์

หมินจงจะหยิบอะไรบางอย่างจากกระปุกเล็กๆเหมือนกระปุกหมากฝรั่ง แล้วเอามาเคี้ยวๆตลอดเวลา เราสงสัยเลยชะโงกไปถามว่ากินไร
หมินจงบอกว่า “เป็นบุหรี่แบบเคี้ยว…”
บุหรี่แบบเคี้ยว?? เป็นครั้งแรกที่รู้ว่ามีแบบนี้ด้วย ไม่ต้องสูบให้เหม็นควัน ใช้เคี้ยวแทน
..แต่ห้ามกลืนนะ ต้องบ้วนออกมา

เราบอกไปว่า หมินจงหน้าเหมือนคนไทยมากๆ และไม่เหมือนชาวนาเลยด้วย…
ใช่…หมินจงเป็นชาวนา
หน้าตาน่ารักแบบนี้เหมือนเด็กมหาลัยมากกว่า ..นี่ถ้าเอาหนวดออก จะดูเด็กมากเลยนะเนี่ย

งานอดิเรกชอบเล่นเบสบอล รูปในFacebookก็เป็นรูปตอนเด็กๆใส่ชุดเบสบอล จ้ำม่ำตั้งแต่เด็กเลย
เดี๋ยวเดือนหน้า (ต.ค. 2560) หมินจงจะไปเที่ยวพัทยากับเพื่อนๆด้วย

ถึงนาข้าว หมินจงพ่นปุ๋ยให้ดูเป็นตัวอย่าง ปกติจะมาใส่ปุ๋ย 1 ครั้ง ทุกๆ 2 อาทิตย์ ช่วยพ่อทำมาตั้งแต่อายุ 13ละ

ชัยเห็นหมินจงทำแล้วดูไม่ยาก เลยเสนอตัวช่วยทันที “ok i can , i help you”
ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาที่ชัยรอคอยมาตลอด ที่ผ่านมาเนื่องจากภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง เลยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ถ้ามาลงมือทำงานกับเกษตรกรแล้ว น่าจะคล่องเลยล่ะ
ชัยจึงได้ลงไปลุยในแปลง แบกเครื่องพ่นสลับกับหมินจงคนละรอบ

หน้าที่ของพวกเราผู้หญิงก็คือ แกะกระสอบปุ๋ย ทุบๆปุ๋ยที่จับเป็นก้อนให้แตกๆแล้วกรอกใส่เครื่องพ่น
ตรงก้อนๆนี้สำคัญมาก เพราะมันจะไปอุดตันทำให้พ่นไม่ได้ ต้องบี้ให้ละเอียด
เปิ้ลบอก “งานหนักให้ผู้ชายทำ งานเบาให้ผู้ชายช่วย”


ระหว่างที่พ่นปุ๋ย หมินจงจะคอยสังเกตุสุขภาพต้นข้าวของตัวเองด้วย
แล้วมานั่งแกะใส้ต้นข้าวให้ดูว่านี่เป็นช่วงที่มันกำลังตั้งท้อง

หมินจงหันมาบอกพวกเราผ่านเสียงผู้หญิงจาก google translate
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ”



พอพ่นบริเวณนึงเสร็จ หมินจงจะขยับรถไปอีกนิดนึงเพื่อพ่นบริเวณถัดไป พักกินน้ำบ้างเป็นระยะ
จนทั่วแปลงก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็กลับบ้านหมินจงเพื่อไปอาบน้ำ หมินจงกับชัยเหงื่อท่วมตัว


ตอนนั้นเราสงสัยเหมือนกันนะ ทำไมกระทรวงเกษตรของไต้หวันถึงจัดให้เรามาอยู่ในเมืองที่คนส่วนใหญ่ปลูกข้าว ทั้งๆที่เรา3คน ก็ไม่มีใครปลูกข้าวซักคน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เริ่มจะเข้าใจละว่าเค้าให้เรามาเรียนรู้อะไร …มันไม่ใช่แค่เกษตรกรรมค่ะ



ระหว่างทางกลับ หมินจงหันมาถามว่า ต้องการ"เจิงจูหน่ายชา"มั้ย
ทีแรกก็ฟังไม่ออกหรอก แต่ก็บ้าใบ้กันไปจนกระทั่งเข้าใจว่า…

อ๋อออ “เจิงจูหน่ายชา” คือชานมไข่มุก

หมินจงขับรถมาจอดหน้าร้านชานมบ้านๆร้านนึง ลงไปซื้อให้คนละแก้ว ถือดูดกินระหว่างทางไปบ้าน
…เฮ้อ..อร่อยจัง
และตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา นั่นคือคำศัพท์ตลกๆที่เราพูดทุกวัน วันละหลายๆรอบ
จนกระทั่งกลับมาแล้วเราก็ยังพูดอยู่
เจิงจูหน่ายชา….เจิงจูหน่ายชา….เจิงจูหน่ายชา….

ทันทีที่ถึงบ้าน หมินจงพาเข้าไปดูในห้องเย็นที่เก็บข้าวเปลือก มีกระสอบข้าวใหญ่ๆตั้งอยู่เป็นสิบๆกระสอบ
กระสอบนึงมีข้าวเปลือกประมาณ 600kg กระสอบละประมาณ40,000NT$ ทะยอยขาย

หมินจงหยิบห่อข้าวห่อละ 2 kg ที่แพคพร้อมขายแล้วเอามาให้ดู แล้วพูดว่า

“My rice…” …ข้าวของฉัน

น่าเสียดายที่เราไม่ได้ถ่ายวิดีโอโมเม้นท์นั้นไว้
มันเป็นหน้าตาของเด็กหนุ่มคนนึงที่โคตรจะภูมิใจในข้าวที่ตัวเองปลูกมากับมือ

แต่ถึงเราจะไม่ได้ถ่ายVDOไว้ ก็มั่นใจว่าจะจำสีหน้านั้นไปได้อีกนาน

หมินจงให้ข้าวมาคนละห่อ ให้เราเอากลับมากินที่ไทยด้วย แพคเกจนี้เขาออกแบบเอง
  
จากนั้นก็เข้าไปนั่งพักในบ้าน เจอแม่และน้องสาวของหมินจง พอหมินจงอาบน้ำล้างเหงื่อเสร็จก็พาเรากลับไปที่บ้านเพจกัน

ภาพประกอบแบบเคลื่อนไหวของวันนี้ค่ะ ดูได้ที่นี่
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่