สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ จขกท.ชื่อเมย์ เรามีฟาร์มเมล่อนเล็กๆที่สมุทรสงคราม
เพิ่งเริ่มมาหัดปลูกพืชมา 1 ปี
ถ้ามีคนถามว่าทำงานอะไร เรามักตอบว่าธุรกิจส่วนตัว พอไปไต้หวันกลับมาครั้งนี้ ถ้ามีใครถามอีก เราก็จะตอบเต็มปากเต็มคำว่าเป็นเกษตรกรด้วยค่ะ

ที่มาของการได้ไปไต้หวันครั้งนี้ เริ่มจากการที่เราไปสมัครร่วมโครงการ young smart farmer ทำให้ได้รู้จักชาวไร่ชาวสวนคนอื่นๆ ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร แล้วก็ได้รู้ว่ามีโครงการส่งเกษตรกรไปศึกษาดูงานไต้หวัน
ไปตั้ง 30 วัน เป็นโอกาสที่ดีอะไรเช่นนี้ เรารีบสมัครไป
ที่จริงโครงการนี้มี 2 แบบ คือ
1. ศึกษาดูงาน 7 วัน ผู้เข้าร่วมเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่จากทั่วประเทศ 9 คน และเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมอีก 3 คน
2. On the Job Training 30 วัน ผู้เข้าร่วมเป็นเกษตรกร 2 คน และเจ้าหน้าที่ 1 คน ไปทำงานและอาศัยอยู่กับเกษตรกรชาวไต้หวัน
เราสมัครข้อ 2. ต้องผ่านการคัดเลือกระดับเขต และผ่านการสัมภาษณ์รอบสุดท้าย ในที่สุดกรมส่งเสริมการเกษตรก็ให้โอกาสเรา
เราไม่เคยคลุกคลีกับเกษตรกรคนไหน ไม่เคยรู้ชีวิตความเป็นอยู่ เราก็ปลูกพืชและดำเนินชีวิตไปตามแบบที่เราคิดเอง ดังนั้นการได้ไปครั้งนี้มันทำให้เราได้เห็นและซึมซับอะไรใหม่ๆมามากเหลือเกิน (คนที่เป็นเกษตรกรอยู่แล้วอาจจะเฉยๆกับมันแต่สำหรับเรามันคือใหม่มาก ตื่นตาตื่นใจไปหมด)
และก็เปลี่ยนความคิด ความขยันของเราไปมากพอสมควร
ไม่เคยคิดว่าเส้นทางสายเกษตรกรรม จะมอบประสบการณ์เปิดโลกให้เราได้ขนาดนี้
กลับมาย้อนนึกตอนนี้ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่งในชีวิต
โดยที่เราตัวคนเดียวไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้
และต้องขอบคุณใครหลายๆคนทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ไทย และที่ไต้หวัน
คนทำหน้าที่ติดต่อประสานงานทุกอย่างที่ทำให้เราไปที่นั่นอย่างราบรื่น เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และกลับมาโดยสวัสดิภาพ
เพื่อเป็นการตอบแทนโอกาสงามๆนี้ เราตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มเดินทางว่าจะเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด และถ่ายทอดให้ได้มากที่สุด อยากให้มีประโยชน์กับคนที่ไทย อยากให้คนที่ไม่เคยเห็นได้เห็นเหมือนเรา
เมื่อกลับมาแล้ว เราต้องเขียนวิธีการขยายผลองค์ความรู้ที่ได้มา ซึ่งวิธีของเราก็คือ การเผยแพร่ทางSocial media เช่น facebook, youtube, pantipค่ะ เพราะมันสามารถแพร่กระจายได้ง่ายกว่าในยุคนี้
เรื่องราวมันอาจจะยาวหน่อย เพราะเราจะเล่าเหมือนเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบคนอื่นใน Pantip คือเป็นเรื่องราวของทุกๆวัน การใช้ชีวิตที่อยู่ที่นั่น ผู้คนที่เจอ(มากมายก่ายกอง)
เนื้อหา จะแบ่งเป็น 4 Episode แบ่งตาม4ช่วงการเดินทางอันยาวนานนะคะ
[กระทู้นี้] Ep1: ศึกษาดูงานกับอาจารย์จาก National Taiwan University
Ep2: High-Value Crop Production under Protected Structure กับสถาบันวิจัย TARI
https://pantip.com/topic/37565018
Ep3: On the Job Training ทำงานและกินอยู่กับเกษตรกรไต้หวัน
https://pantip.com/topic/37578462/
Ep4: ศึกษาเรียนรู้รูปแบบเกษตรในไต้หวัน ร่วมกับคณะเกษตรกรรุ่นใหม่ไทยอีกกลุ่มที่ตามมา
ถ้าหากว่าท่านใดอยากได้แต่เนื้อหาเกษตรล้วนๆ ก็อ่านข้ามๆไปได้ค่ะ
หรือดาวโหลดรายงานศึกษาดูงาน ที่น้องจากกรมส่งเสริมการเกษตรที่ไปอยู่กับเราสรุปรวบรวมไว้ให้
[รายงานการฝึกอบรม On the Job Training]
หรืออ่านจาก Blog นี้ มีลิงค์ไปที่หัวข้อต่างๆ
https://forloveandmelon.com/2018/04/11/30-days-ojt-in-taiwan/
เริ่ม Ep แรกกันเลยดีกว่าค่ะ !!
"ศึกษาดูงานกับอาจารย์จาก National Taiwan University"
>>>>>>>>Day 1 <<<<<<<<<
โครงการนี้จะมีคนไปด้วยกัน 3 คน เกษตรกร2 + ข้าราชการ1 ได้แก่
>> น้องชัย แห่งศรีปราชญ์ฟาร์ม เกษตรกรจากจ.นครศรีธรรมราช
>> น้องเปิ้ล เป็นเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมการเกษตร
เป็นคนแปลกหน้า 3 คน ที่ต้องไปไต้หวันด้วยกัน 1 เดือน
สำหรับเรา ไม่ได้รู้สึกว่าแบ่งว่าใครทำอาชีพอะไร บทบาทอะไร
เราต้องเป็นเพื่อนกันช่วยเหลือกันตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเพื่อความอยู่รอด
จากซ้ายไปขวา ชัย เปิ้ล เมย์

ตอนอยู่บนเครื่องบิน เปิดดูใบงานที่น้องเปิ้ลถือมาแจกทุกคน
ก็คือกรมฯเค้าต้องให้เราบันทึกทุกวันว่าเรียนแล้วได้ไรมาบ้าง
แล้วก็ดูกำหนดการที่แนบมาด้วย ช่างเป็นกำหนดการที่แปลกจริงๆ รายละเอียดมีอยู่แค่ 5 วันแรก
นอกนั้นมันคลุมเครือ ไม่รู้ว่าจะพบกับอะไรบ้าง
นี่เรารู้กิจกรรมของตัวเองแค่ 6 วัน จากทั้งหมด 30 วันที่อยู่ที่นี่
ช่างเถอะ ตื่นเต้นดี
ที่สนามบินจะมีคนมารับชื่อคุณหยาง รู้แค่นั้น
และได้เจอคนไทยอีกกลุ่มด้วย มาจากกรมวิชาการเกษตร เห็นน้องเปิ้ลคุยด้วยแบบรู้จักกัน
เดี๋ยวกลุ่มนั้นต้องเข้าร่วมประชุมกะพวกเราด้วยในอาทิตย์แรก กำหนดการงานเดียวกันโดยบังเอิญ
เราซื้อซิมมือถือสำหรับ 30 วัน เห็นรีวิวเค้าว่าค่ายไหนก็สัญญาณดีเนตลื่นไหลหัวแตกเหมือนกัน เราเข้าไปซื้อค่ายที่แถวสั้นสุด เพราะกลัวชักช้าเดี๋ยวคนอื่นรอ
คุณหยางพาขึ้นบัส พี่ๆวิชาการมากัน 6 คน และเรา 3 คน ทั้งคันเลยมีแค่ 9 คนเท่านั้น
นี่เป็นการเดินทางมาต่างประเทศครั้งแรกของชัย น่าจะตื่นเต้นน่าดู เรายังตื่นเต้นแทนเลย
ชัยเหมือนจะมึน เราเรียกมันว่าโรคเมาต่างประเทศ ต้องกินยาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
คือเขาบอกว่าตั้งแต่ทำสวนก็ไม่ต้องกินยาเลย

นั่งชมวิวนอกหน้าต่างรถแบบง่วงๆ พร้อมๆกับฟังเค้าคุยกัน
เค้าคุยกันว่าในงานประชุมที่เราต้องเข้าร่วมพรุ่งนี้เนี่ย มีใครต้องพรีเซ้นท์อะไรมั้ย ได้เบี้ยเลี้ยงกันมั้ย อะไรงี้
เรา 3 คนไม่ได้เบี้ยเลี้ยง แต่รัฐบาลไต้หวันจะดูแลเรื่องอาหารสามมื้อ ค่ารถ และที่พักให้หมด ถ้าจะซื้ออะไรส่วนตัวก็ออกเงินเอง
นี่ขนาดแค่ออกจากสนามบิน ก็เจอโรงเรือนปลูกพืชเป็นตับๆละ ผสมกับโซนอุตสาหกรรม มีควันๆออกมาจากปล่อง
ถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะฝนตก ขมุกขมัวนัก

รถราที่นี่ก็เหมือนไทย รุ่นๆเดียวกับที่วิ่งในไทย
โตโยต้า มิตซู นิสสัน มาสด้า เบนซ์
นั่งมา 20 กว่านาที เพิ่งรู้ว่าไม่เหมือนไทยอ่ะ เพราะที่นี่เค้าขับเลนขวากันค่ะ พวงมาลัยซ้าย สลับกับไทย
ก็ว่า ทำไมตอนขึ้นรถบัสมันรู้สึกแปลกๆ คือประตูมันอยู่คนละด้านกะบัสที่ไทยไง
ประมาณ 50นาที รถก็จอดหน้าตึกไรซักอย่าง คนขับก็ลงมาช่วยเอากระเป๋าออกทีละใบๆแบบไม่พูดไม่จา
แล้วก็ขับรถออกไป
เพิ่งรู้ว่าคุณหยางไม่ได้มากะเรานะ คือสรุปว่าคุณหยางมีหน้าที่พาพวกเราเดินมาที่รถเท่านั้น
ยืนเอ๋อกันอยู่ 9 คนหน้าตึก ที่เดาว่าเป็นโรงแรม
โอเค ลองเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าก็เป็นโรงแรมแหละ ชื่อ Mellow Field Hotel
แต่มีป้ายแปะหน้าประตูทางเข้าว่า “National Training Institute for Farmers Organization”
โอ้ว มันมีสถาบันฝึกอบรมของเกษตรกรอยู่ในนี้ด้วยนั่นเอง

ระหว่างเช็คอิน ก็คุยกับคนอื่นว่า เอ๊ะละพรุ่งนี้ยังไง มีใครรู้อะไรบ้างคะ ต้องออกกี่โมง เค้าจะมารับกี่โมง ไปประชุมยังไง
คือไม่มีใครรู้เลย สงสัยไปสงสัยมา พนักงานต้อนรับโรงแรมก็แจกคีย์การ์ดห้องให้แต่ละคน พักคนละห้อง
แล้วพนักงานก็บอกว่า พรุ่งนี้กินข้าว 7 โมง แล้วก็ประชุมที่ห้อง 401 นะ แต่กี่โมงไม่รู้
อ๋ออออ คือไม่ต้องนั่งรถไปไหนหรอกพรุ่งนี้ ประชุมมันที่นี่เลย
เราไปถามพนักงานอีกรอบ ได้ความว่า ประชุม กิน อยู่ หลับ นอน ที่นี่เลยสามวัน ไม่ต้องไปไหน
สบายเลย ไม่เสียเวลาเดินทาง เหมือนโรงแรมนี้มีไว้เพื่อจัดประชุมโดยเฉพาะสำหรับเกษตรกรด้วย
ส่วนวันแรกนี้ เดี๋ยว 6 โมงก็จะได้เวลาอาหารเย็น
แต่เรามาถึงกันตอนบ่ายสาม รู้สึกว่ามีเวลาอีกเยอะ เลยนัดแนะกันว่าจะไปตึกไทเป 101 ตึกที่เคยสูงทึ่สุดในโลกซะหน่อย
มีคนถามว่าไปไง เราก็บอกว่าไปมั่วๆว่า
”ยังไม่ได้หาวิธีเลยค่ะ แต่น่าจะรถไฟนะคะ”
ตอบไปทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานีรถไฟอยู่ไหน
มั่วจริงตามคาด
เพราะพอเข้าห้องมานอน search ดู อ่อ มันไกลอ่ะ
ต้องนั่งรถเมล์ไป 13 ป้าย แล้วต่อรถไฟใต้ดินอีก 12 ป้าย ใช้เวลารวม 55 นาที
คือโรงแรมที่เราอยู่มันออกจะนอกเมืองหน่อยๆ
เกรงว่าจะกลับมากินข้าวเย็น(ฟรี)ไม่ทัน ก็เลยยกเลิก เหลือแค่ไปหาไรกินเซเว่นใกล้ๆ เดินไป 200 เมตรพอ
ไม่เป็นไร กินข้าวเสร็จค่อยไปก็ได้ ตึกไทเป101ปิดตั้ง 4 ทุ่ม
ชาวไทย 8คน เข้าไปเซเว่น
อารมณ์เหมือนเซเว่นญี่ปุ่นไม่มีผิด

น้องเปิ้ลทำการบ้านมาด้วย บอกว่าต้องกินชานมยี่ห้อนึง ขวดดูดีมาก เหมือนกระติกน้ำร้อน แต่เล็กกว่า มีหลายรสให้เลือก
นี่กะว่าอยู่ที่นี่เดือนนึงต้องกินให้หมดทุกรสทุกสีเลย

เรามุ่งมั่นตั้งใจว่าเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องการเกษตรที่นี่ให้ได้ครบๆ แต่เราก็อยากใช้เวลาว่างไปเที่ยวชมเมืองเขาเหมือนกัน ที่ไทเปเราจะมีเวลาว่างแค่หลังหกโมงเย็น ของ 4 คืน (รวมวันนี้)
เลือกเฉพาะที่ไปได้หลังหกโมงเย็น ไม่รู้จะไปได้ซักกี่ที่เนอะ
-ไทเป 101
-Lungshan Temple + Ximending Night Market
-ตลาดนัดกลางคืน Yongkang Street
อาหารเย็นเป็นโต๊ะจีน อาหารจีนล้วน ก็อร่อยดี แต่ไม่อยากกินมาก เผื่อท้องไว้กินตามทางตามตลาด
มีคนที่จะบรรยายพรุ่งนี้มานั่งร่วมกินด้วยคนนึง เค้าบอกว่าเค้าเป็นคนจัดงานการประชุมและดูแลเราตลอด 5 วันนี้
เราคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ โขมงโฉงเฉงทีเดียว
ถามกันว่าไอ่นี่เรียกไร ไอ้นั่นเรียกไรในภาษาจีน
ถามกันซะเยอะ นี่กินเสร็จก็ลืมทุกคำละ

สรุปว่าวันนี้ไม่ได้ไปไหนเพราะต้องไปแบ่งหน้าที่กันพรีเซ้นท์กะพี่ๆกรมวิชาการฯ
คือพรุ่งนี้มีหัวข้อ
Thailand Agriculture Situation ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยต้องพูด แล้วกลุ่มเรากะอีกกลุ่มจะรวมสไลด์กันแล้วพูดนั่นเอง
เราก็เป็นตัวแทนเกษตรกร ก็ถูกมอบหมายให้พูดถึงฟาร์มตัวเองเล็กๆน้อย
แต่ดูเหมือนถ้าไปพูดเฉพาะเจาะจงแค่เมล่อน ก็คงไม่ค่อยเกี่ยวกะหัวข้อเท่าไหร่
เลยกะว่าพูดสั้นๆ 30 วิจบ
เดี๋ยวคืนนี้ต้องมาเขียนสคริปแล้วท่อง
คนไต้หวันที่เป็นอาจารย์ที่มาคุยด้วยกันตอนกินมื้อเย็นบอกว่า
เราจะนั่งฟังที่นี่ 2.5วัน
และออกไปทัศนศึกษา 2.5วัน
ตื่นเต้นละ!!!!
EP1/4 [แชร์ประสบการณ์] ชีวิต30วันของYoung Smart Farmerไทยในไต้หวัน On-the-Job-Training
เพิ่งเริ่มมาหัดปลูกพืชมา 1 ปี
ถ้ามีคนถามว่าทำงานอะไร เรามักตอบว่าธุรกิจส่วนตัว พอไปไต้หวันกลับมาครั้งนี้ ถ้ามีใครถามอีก เราก็จะตอบเต็มปากเต็มคำว่าเป็นเกษตรกรด้วยค่ะ
ที่มาของการได้ไปไต้หวันครั้งนี้ เริ่มจากการที่เราไปสมัครร่วมโครงการ young smart farmer ทำให้ได้รู้จักชาวไร่ชาวสวนคนอื่นๆ ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร แล้วก็ได้รู้ว่ามีโครงการส่งเกษตรกรไปศึกษาดูงานไต้หวัน
ไปตั้ง 30 วัน เป็นโอกาสที่ดีอะไรเช่นนี้ เรารีบสมัครไป
ที่จริงโครงการนี้มี 2 แบบ คือ
1. ศึกษาดูงาน 7 วัน ผู้เข้าร่วมเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่จากทั่วประเทศ 9 คน และเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมอีก 3 คน
2. On the Job Training 30 วัน ผู้เข้าร่วมเป็นเกษตรกร 2 คน และเจ้าหน้าที่ 1 คน ไปทำงานและอาศัยอยู่กับเกษตรกรชาวไต้หวัน
เราสมัครข้อ 2. ต้องผ่านการคัดเลือกระดับเขต และผ่านการสัมภาษณ์รอบสุดท้าย ในที่สุดกรมส่งเสริมการเกษตรก็ให้โอกาสเรา
เราไม่เคยคลุกคลีกับเกษตรกรคนไหน ไม่เคยรู้ชีวิตความเป็นอยู่ เราก็ปลูกพืชและดำเนินชีวิตไปตามแบบที่เราคิดเอง ดังนั้นการได้ไปครั้งนี้มันทำให้เราได้เห็นและซึมซับอะไรใหม่ๆมามากเหลือเกิน (คนที่เป็นเกษตรกรอยู่แล้วอาจจะเฉยๆกับมันแต่สำหรับเรามันคือใหม่มาก ตื่นตาตื่นใจไปหมด)
และก็เปลี่ยนความคิด ความขยันของเราไปมากพอสมควร
ไม่เคยคิดว่าเส้นทางสายเกษตรกรรม จะมอบประสบการณ์เปิดโลกให้เราได้ขนาดนี้
กลับมาย้อนนึกตอนนี้ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่งในชีวิต
โดยที่เราตัวคนเดียวไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้
และต้องขอบคุณใครหลายๆคนทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ไทย และที่ไต้หวัน
คนทำหน้าที่ติดต่อประสานงานทุกอย่างที่ทำให้เราไปที่นั่นอย่างราบรื่น เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และกลับมาโดยสวัสดิภาพ
เพื่อเป็นการตอบแทนโอกาสงามๆนี้ เราตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มเดินทางว่าจะเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด และถ่ายทอดให้ได้มากที่สุด อยากให้มีประโยชน์กับคนที่ไทย อยากให้คนที่ไม่เคยเห็นได้เห็นเหมือนเรา
เมื่อกลับมาแล้ว เราต้องเขียนวิธีการขยายผลองค์ความรู้ที่ได้มา ซึ่งวิธีของเราก็คือ การเผยแพร่ทางSocial media เช่น facebook, youtube, pantipค่ะ เพราะมันสามารถแพร่กระจายได้ง่ายกว่าในยุคนี้
เรื่องราวมันอาจจะยาวหน่อย เพราะเราจะเล่าเหมือนเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบคนอื่นใน Pantip คือเป็นเรื่องราวของทุกๆวัน การใช้ชีวิตที่อยู่ที่นั่น ผู้คนที่เจอ(มากมายก่ายกอง)
เนื้อหา จะแบ่งเป็น 4 Episode แบ่งตาม4ช่วงการเดินทางอันยาวนานนะคะ
[กระทู้นี้] Ep1: ศึกษาดูงานกับอาจารย์จาก National Taiwan University
Ep2: High-Value Crop Production under Protected Structure กับสถาบันวิจัย TARI https://pantip.com/topic/37565018
Ep3: On the Job Training ทำงานและกินอยู่กับเกษตรกรไต้หวัน https://pantip.com/topic/37578462/
Ep4: ศึกษาเรียนรู้รูปแบบเกษตรในไต้หวัน ร่วมกับคณะเกษตรกรรุ่นใหม่ไทยอีกกลุ่มที่ตามมา
ถ้าหากว่าท่านใดอยากได้แต่เนื้อหาเกษตรล้วนๆ ก็อ่านข้ามๆไปได้ค่ะ
หรือดาวโหลดรายงานศึกษาดูงาน ที่น้องจากกรมส่งเสริมการเกษตรที่ไปอยู่กับเราสรุปรวบรวมไว้ให้
[รายงานการฝึกอบรม On the Job Training]
หรืออ่านจาก Blog นี้ มีลิงค์ไปที่หัวข้อต่างๆ https://forloveandmelon.com/2018/04/11/30-days-ojt-in-taiwan/
เริ่ม Ep แรกกันเลยดีกว่าค่ะ !!
"ศึกษาดูงานกับอาจารย์จาก National Taiwan University"
>>>>>>>>Day 1 <<<<<<<<<
โครงการนี้จะมีคนไปด้วยกัน 3 คน เกษตรกร2 + ข้าราชการ1 ได้แก่
>> น้องชัย แห่งศรีปราชญ์ฟาร์ม เกษตรกรจากจ.นครศรีธรรมราช
>> น้องเปิ้ล เป็นเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมการเกษตร
เป็นคนแปลกหน้า 3 คน ที่ต้องไปไต้หวันด้วยกัน 1 เดือน
สำหรับเรา ไม่ได้รู้สึกว่าแบ่งว่าใครทำอาชีพอะไร บทบาทอะไร
เราต้องเป็นเพื่อนกันช่วยเหลือกันตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเพื่อความอยู่รอด
จากซ้ายไปขวา ชัย เปิ้ล เมย์
ตอนอยู่บนเครื่องบิน เปิดดูใบงานที่น้องเปิ้ลถือมาแจกทุกคน
ก็คือกรมฯเค้าต้องให้เราบันทึกทุกวันว่าเรียนแล้วได้ไรมาบ้าง
แล้วก็ดูกำหนดการที่แนบมาด้วย ช่างเป็นกำหนดการที่แปลกจริงๆ รายละเอียดมีอยู่แค่ 5 วันแรก
นอกนั้นมันคลุมเครือ ไม่รู้ว่าจะพบกับอะไรบ้าง
นี่เรารู้กิจกรรมของตัวเองแค่ 6 วัน จากทั้งหมด 30 วันที่อยู่ที่นี่
ช่างเถอะ ตื่นเต้นดี
ที่สนามบินจะมีคนมารับชื่อคุณหยาง รู้แค่นั้น
และได้เจอคนไทยอีกกลุ่มด้วย มาจากกรมวิชาการเกษตร เห็นน้องเปิ้ลคุยด้วยแบบรู้จักกัน
เดี๋ยวกลุ่มนั้นต้องเข้าร่วมประชุมกะพวกเราด้วยในอาทิตย์แรก กำหนดการงานเดียวกันโดยบังเอิญ
เราซื้อซิมมือถือสำหรับ 30 วัน เห็นรีวิวเค้าว่าค่ายไหนก็สัญญาณดีเนตลื่นไหลหัวแตกเหมือนกัน เราเข้าไปซื้อค่ายที่แถวสั้นสุด เพราะกลัวชักช้าเดี๋ยวคนอื่นรอ
คุณหยางพาขึ้นบัส พี่ๆวิชาการมากัน 6 คน และเรา 3 คน ทั้งคันเลยมีแค่ 9 คนเท่านั้น
นี่เป็นการเดินทางมาต่างประเทศครั้งแรกของชัย น่าจะตื่นเต้นน่าดู เรายังตื่นเต้นแทนเลย
ชัยเหมือนจะมึน เราเรียกมันว่าโรคเมาต่างประเทศ ต้องกินยาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
คือเขาบอกว่าตั้งแต่ทำสวนก็ไม่ต้องกินยาเลย
เค้าคุยกันว่าในงานประชุมที่เราต้องเข้าร่วมพรุ่งนี้เนี่ย มีใครต้องพรีเซ้นท์อะไรมั้ย ได้เบี้ยเลี้ยงกันมั้ย อะไรงี้
เรา 3 คนไม่ได้เบี้ยเลี้ยง แต่รัฐบาลไต้หวันจะดูแลเรื่องอาหารสามมื้อ ค่ารถ และที่พักให้หมด ถ้าจะซื้ออะไรส่วนตัวก็ออกเงินเอง
นี่ขนาดแค่ออกจากสนามบิน ก็เจอโรงเรือนปลูกพืชเป็นตับๆละ ผสมกับโซนอุตสาหกรรม มีควันๆออกมาจากปล่อง
ถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะฝนตก ขมุกขมัวนัก
โตโยต้า มิตซู นิสสัน มาสด้า เบนซ์
นั่งมา 20 กว่านาที เพิ่งรู้ว่าไม่เหมือนไทยอ่ะ เพราะที่นี่เค้าขับเลนขวากันค่ะ พวงมาลัยซ้าย สลับกับไทย
ก็ว่า ทำไมตอนขึ้นรถบัสมันรู้สึกแปลกๆ คือประตูมันอยู่คนละด้านกะบัสที่ไทยไง
ประมาณ 50นาที รถก็จอดหน้าตึกไรซักอย่าง คนขับก็ลงมาช่วยเอากระเป๋าออกทีละใบๆแบบไม่พูดไม่จา
แล้วก็ขับรถออกไป
เพิ่งรู้ว่าคุณหยางไม่ได้มากะเรานะ คือสรุปว่าคุณหยางมีหน้าที่พาพวกเราเดินมาที่รถเท่านั้น
ยืนเอ๋อกันอยู่ 9 คนหน้าตึก ที่เดาว่าเป็นโรงแรม
โอเค ลองเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าก็เป็นโรงแรมแหละ ชื่อ Mellow Field Hotel
แต่มีป้ายแปะหน้าประตูทางเข้าว่า “National Training Institute for Farmers Organization”
โอ้ว มันมีสถาบันฝึกอบรมของเกษตรกรอยู่ในนี้ด้วยนั่นเอง
ระหว่างเช็คอิน ก็คุยกับคนอื่นว่า เอ๊ะละพรุ่งนี้ยังไง มีใครรู้อะไรบ้างคะ ต้องออกกี่โมง เค้าจะมารับกี่โมง ไปประชุมยังไง
คือไม่มีใครรู้เลย สงสัยไปสงสัยมา พนักงานต้อนรับโรงแรมก็แจกคีย์การ์ดห้องให้แต่ละคน พักคนละห้อง
แล้วพนักงานก็บอกว่า พรุ่งนี้กินข้าว 7 โมง แล้วก็ประชุมที่ห้อง 401 นะ แต่กี่โมงไม่รู้
อ๋ออออ คือไม่ต้องนั่งรถไปไหนหรอกพรุ่งนี้ ประชุมมันที่นี่เลย
เราไปถามพนักงานอีกรอบ ได้ความว่า ประชุม กิน อยู่ หลับ นอน ที่นี่เลยสามวัน ไม่ต้องไปไหน
สบายเลย ไม่เสียเวลาเดินทาง เหมือนโรงแรมนี้มีไว้เพื่อจัดประชุมโดยเฉพาะสำหรับเกษตรกรด้วย
ส่วนวันแรกนี้ เดี๋ยว 6 โมงก็จะได้เวลาอาหารเย็น
แต่เรามาถึงกันตอนบ่ายสาม รู้สึกว่ามีเวลาอีกเยอะ เลยนัดแนะกันว่าจะไปตึกไทเป 101 ตึกที่เคยสูงทึ่สุดในโลกซะหน่อย
มีคนถามว่าไปไง เราก็บอกว่าไปมั่วๆว่า
”ยังไม่ได้หาวิธีเลยค่ะ แต่น่าจะรถไฟนะคะ”
ตอบไปทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานีรถไฟอยู่ไหน
มั่วจริงตามคาด
เพราะพอเข้าห้องมานอน search ดู อ่อ มันไกลอ่ะ
ต้องนั่งรถเมล์ไป 13 ป้าย แล้วต่อรถไฟใต้ดินอีก 12 ป้าย ใช้เวลารวม 55 นาที
คือโรงแรมที่เราอยู่มันออกจะนอกเมืองหน่อยๆ
เกรงว่าจะกลับมากินข้าวเย็น(ฟรี)ไม่ทัน ก็เลยยกเลิก เหลือแค่ไปหาไรกินเซเว่นใกล้ๆ เดินไป 200 เมตรพอ
ไม่เป็นไร กินข้าวเสร็จค่อยไปก็ได้ ตึกไทเป101ปิดตั้ง 4 ทุ่ม
ชาวไทย 8คน เข้าไปเซเว่น
อารมณ์เหมือนเซเว่นญี่ปุ่นไม่มีผิด
น้องเปิ้ลทำการบ้านมาด้วย บอกว่าต้องกินชานมยี่ห้อนึง ขวดดูดีมาก เหมือนกระติกน้ำร้อน แต่เล็กกว่า มีหลายรสให้เลือก
นี่กะว่าอยู่ที่นี่เดือนนึงต้องกินให้หมดทุกรสทุกสีเลย
เรามุ่งมั่นตั้งใจว่าเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องการเกษตรที่นี่ให้ได้ครบๆ แต่เราก็อยากใช้เวลาว่างไปเที่ยวชมเมืองเขาเหมือนกัน ที่ไทเปเราจะมีเวลาว่างแค่หลังหกโมงเย็น ของ 4 คืน (รวมวันนี้)
เลือกเฉพาะที่ไปได้หลังหกโมงเย็น ไม่รู้จะไปได้ซักกี่ที่เนอะ
-ไทเป 101
-Lungshan Temple + Ximending Night Market
-ตลาดนัดกลางคืน Yongkang Street
อาหารเย็นเป็นโต๊ะจีน อาหารจีนล้วน ก็อร่อยดี แต่ไม่อยากกินมาก เผื่อท้องไว้กินตามทางตามตลาด
มีคนที่จะบรรยายพรุ่งนี้มานั่งร่วมกินด้วยคนนึง เค้าบอกว่าเค้าเป็นคนจัดงานการประชุมและดูแลเราตลอด 5 วันนี้
เราคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ โขมงโฉงเฉงทีเดียว
ถามกันว่าไอ่นี่เรียกไร ไอ้นั่นเรียกไรในภาษาจีน
ถามกันซะเยอะ นี่กินเสร็จก็ลืมทุกคำละ
สรุปว่าวันนี้ไม่ได้ไปไหนเพราะต้องไปแบ่งหน้าที่กันพรีเซ้นท์กะพี่ๆกรมวิชาการฯ
คือพรุ่งนี้มีหัวข้อ Thailand Agriculture Situation ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยต้องพูด แล้วกลุ่มเรากะอีกกลุ่มจะรวมสไลด์กันแล้วพูดนั่นเอง
เราก็เป็นตัวแทนเกษตรกร ก็ถูกมอบหมายให้พูดถึงฟาร์มตัวเองเล็กๆน้อย
แต่ดูเหมือนถ้าไปพูดเฉพาะเจาะจงแค่เมล่อน ก็คงไม่ค่อยเกี่ยวกะหัวข้อเท่าไหร่
เลยกะว่าพูดสั้นๆ 30 วิจบ
เดี๋ยวคืนนี้ต้องมาเขียนสคริปแล้วท่อง
คนไต้หวันที่เป็นอาจารย์ที่มาคุยด้วยกันตอนกินมื้อเย็นบอกว่า
เราจะนั่งฟังที่นี่ 2.5วัน
และออกไปทัศนศึกษา 2.5วัน
ตื่นเต้นละ!!!!