[หนังโรงเรื่องที่ 225] Peter Rabbit - นึกซะว่าไปดูทอมแอนด์เจอรี่ by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 225] Peter Rabbit - นึกซะว่าไปดูทอมแอนด์เจอรี่ ; (Brad Peyton, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : B+ (จากสเกล D-A)

*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ: เรื่องว่าด้วย "ปีเตอร์" กระต่ายหนุ่มเลือดร้อนที่ชอบท้าทายอันตรายด้วยการบุกเข้าไปใน "สวนของแมคเกรเกอร์" เพื่อแย่งชิงผักและผลไม้สดๆ มาเลี้ยงครอบครัวและเพื่อนฝูงของตัวเอง

อยู่มาวันหนึ่งตาเฒ่าแมคเกรเกอร์ก็เกิดสิ้นใจตายขึ้นมาซะอย่างนั้น ทุกๆ อย่างเหมือนจะเข้าทางให้เจ้ากระต่ายหนุ่ม จนกระทั่ง "โทมัส แมคเกรเกอร์" (Domhnall Gleeson) ผู้รับช่วงต่อบ้านสวนได้เข้ามาอยู่อาศัยแทน ปีเตอร์และผองเพื่อนก็จะต้องสู้รบปรบมือกับแมคเกรเกอร์หนุ่มผู้นี้ เพื่อยึดเอาบ้านสวนกลับมาเป็นของตนอีกครั้งให้ได้
.
.

หนังการ์ตูนเรื่องนี้ก็มีส่วนผสมที่น่าสนใจให้เราพูดถึงอยู่ คือหนังพยายามที่จะตีตลาดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปพร้อมๆ กัน (ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จคือ Zootopia) ไม่ว่าจะเป็นมุกเสียดสี มุกเล่นคำ หรือมุกสถานการณ์หลายๆ อย่างที่มันเอื้อให้กับคนโตมากๆ ชนิดที่ว่าเด็กอาจไม่เก็ตสักนิดเลยว่าตัวละครกำลังพูดถึงอะไรอยู่กันแน่ แต่ในขณะเดียวกันงานภาพและช่วงที่มนุษย์กับกระต่ายมันทะเลาะกันก็เป็นส่วนที่ย่อยง่าย ดูแล้วขำเอิ้กอ้ากได้ทุกเพศทุกวัย
.

สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือการออกแบบตัวละครที่ทำออกมาได้น่ารักดี กระต่ายดูเหมือนกระต่ายของจริงมากๆ ขนปุย ตัวกลม ตาแป๋ว โอ๊ย น่ากอดจริงพ่อคุณ พ่วงด้วยรายละเอียดในการแสดงออกทั้งทางสีหน้าและภาษากายด้วย เช่นเวลากระต่ายหงอยเศร้า หูก็จะลู่ลง เป็นต้น ซึ่งมันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวละครหลักพวกนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นด้วย
.

ในส่วนของความบันเทิง ความฮา ก็ต้องบอกว่าจุดขายของหนังมีอยู่สองหมวดใหญ่ๆ ความฮาที่เด็ดที่สุดก็คือการที่เราได้ไปลุ้นว่า "มันจะเจ็บตัวกันได้ซักแค่ไหน" (หัวเราะ)ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงการ์ตูนแมวหนูตีกันสุดคลาสสิคอย่าง "ทอม แอนด์ เจอรี่" คือในระหว่างสงครามชิงสวน ต่างฝ่ายต่างก็พยายามงัดลูกเล่น งัดอาวุธทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือมาฟาดฟันใส่กันจนเละเทะไปหมด

แต่ฝั่งมนุษย์อย่างโทมัสก็จะเสียเปรียบอยู่บ่อยๆ (จนผู้เขียนก็อดจะสงสารไม่ได้) แต่พอถึงช่วงที่มนุษย์ได้เอาคืนก็ถือว่าสะใจไม่แพ้กัน คือหนังมันเล่นใหญ่ในสเกลเล็กจ้อยของมันได้ดี ยอมรับว่าฮาจริง

.

ความฮาอีกส่วนหนึ่งที่ส่วนตัวแล้วผู้เขียนคิดว่า "ไม่ค่อยฮา" สักเท่าไรก็ได้แก่ "มุกสำนวน/มุกเล่นคำ" ที่เจ้ากระต่ายปีเตอร์ชอบหยิบมาเล่น คือนอกจากว่ามันจะเป็นมุกที่ท้าทายความรู้ด้านภาษาของคนดูมากแล้ว มันยังมารัวๆ แบบที่ไม่เผื่อช่องให้เราประมวลผลกันเลยทีเดียว ผลที่ออกมาก็คือมันแป้กไปแบบน่าเสียดาย

ยังดีว่ามุกจำพวกเสียดสี (Sarcasm) แบบสไตล์บริติชมันยังเวิร์กอยู่ทำให้เราโพล่งขำออกมาได้ แต่ก็นั่นแหละ มันก็ต้องใช้พื้นฐานความเข้าใจในวัฒนธรรมของอังกฤษมากพอตัวเหมือนกัน
.


ส่วนตัวแอบติดตามผลงานของพระเอกคนนี้อยู่ ซึ่งเคยสร้างชื่อไว้จากหนังเรื่อง About Time และ Ex Machina สำหรับในเรื่องนี้ก็ยังถือว่าสอบผ่านในแง่ของความคอเมดี้ขำขันได้ และมาดของหนุ่มโคตรเนี๊ยบของตัวละครก็เหมาะเจาะกับบุคลิกของเขาได้ดี
.

โดยภาพรวมแล้วหนังการ์ตูนเรื่องนี้ก็เป็นความบันเทิงที่ไม่มีพิษมีภัยชนิดหนึ่งนั่นแหละ แต่ปัญหามันก็อยู่ที่ความกว้างของมุกในหนังที่มันพยายามจะครอบคลุมผู้ชมทุกกลุ่มมากไป ในหลายๆ มุมเลยไปไม่สุดซักเท่าไร

เกรด B ที่ยกให้ไปคือช่วงตอนกลางที่เป็นสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ล้วนๆ มันตลกดี วายป่วงไปหมด และรู้สึกได้เลยว่าเป็นช่วงเดียวที่ทุกคนในโรงพร้อมใจกันขำให้กับหนังได้

*คำเตือน ให้เลือกที่นั่งอย่างรอบคอบ เพราะรอบที่ผู้เขียนไปดูโดนเด็กน้อยกระหนาบซ้ายขวา ที่พีคสุดคือเด็กน้อยชวนหม่าม๊าตัวเองคุยแทบทั้งเรื่อง ที่น่าเห็นใจคือตัวคุณแม่ก็กำลังอินกับหนังก็เลยอิกนอร์ลูกน้อยไป
ซะฉิบ
... สุดท้ายไอ้หนูทางซ้ายใช้ท่าไม้ตาย เอาหลอดดีดน้ำมาใส่แม่ -- แม่หลบได้ มาเข้าเบ้าตาข้าพเจ้าเต็มๆ เอาเป็นว่าเลือกเบาะสูงๆ ได้ยิ่งดี เชื่อผู้เขียนเถอะครับ

#ตั๋วหนังมันแพง

ถูกใจกับรีวิวหรืออยากมาพูดคุยเกี่ยวกับหนังกัน ขอเชิญได้ที่เพจเฟซบุ๊ก "ตั๋วหนังมันแพง" นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่