
Fort Montgomery Rouses Point NY

Fort Montgomery, also known as Fort Blunder. Photo credit: Axel Drainville/Flickr
ระหว่างสงครามปฏิวัติอเมริกาและสงครามในปี 1812
ระหว่างอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา
พรมแดนระหว่างอังกฤษแคนาดาและทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก
คือเขตพื้นที่สู้รบที่ดุเดือดมากที่สุดแห่งหนึ่ง
การรบมักจะเกิดขึ้นรอบ ๆ ทะเลสาบ
Champlain
ทะเลสาบน้ำจืดแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามพรมแดนสหรัฐฯ - แคนาดา
ทำให้อังกฤษสามารถบุกเข้าสู่ใจกลางอเมริกาได้โดยง่าย
เส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญจาก
Saint Lawrence ไปยัง
Hudson
ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือกองทัพอังกฤษแล้ว
สงครามปฏิวัติอเมริกาอาจจะแตกต่างจากเดิมมาก
ดังนั้น หลังจากสงครามในปี 1814
Battle of Plattsburgh
เพื่อป้องกันการรุกรานครั้งใหม่จากอังกฤษ
ในปี 1816 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจที่จะเสริมแนวป้องกันตรงชายฝั่งทะเลสาบ Champlain
บนเกาะขนาดเล็กที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทรายที่ชื่อว่า Island Point
จึงมีการสร้างป้อมปราการรูปแปดเหลี่ยม มีกำแพงสูง 30 ฟุต(9.1 เมตร)
พร้อมติดตั้งปืนใหญ่ 125 กระบอกพร้อมยิงถล่มเรือรบอังกฤษที่พยายามจะแล่นเรือผ่าน
โดยประธานาธิบดี
James Monroe ได้แวะมาเยี่ยมชมระหว่างก่อสร้างในปี 1817
แล้วมีการเรียกชื่อป้อมปราการนี้อย่างไม่เป็นทางการว่า The Commons
แต่หลังจากการก่อสร้างไปร่วม 2 ปีแล้ว
มีการปักปันเขตแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ
ก็พบปัญหาที่สำคัญระหว่างชายแดนเกิดขึ้น
ป้อมปราการสร้างผิดที่ผิดทางสร้างในเขตของอังกฤษ(ที่ยึดครองแคนาดาในช่วงนั้น)
เพราะสร้างขึ้นเหนือพรมแดนสหรัฐอีก 3⁄4 ไมล์ (1.2 กิโลเมตร)
หรือรุกล้ำเข้าไปในเขตดินแดนอังกฤษ(แคนาดา)ถึง 3/4 ไมล์
เมื่อความผิดพลาดสะเพร่าที่ถูกพบขึ้นมาในการปักปันดินแดน
ทำให้การสร้างต่อเติมป้อมปราการต้องยุติลงไปทันที
ป้อมนี้จึงได้เรียกกันว่า ป้อมสะเพร่า Fort Blunder
หรือบางครั้งก็เรียกว่า Works Fortification หรือ Battery
ทำให้ป้อมนี้กลายเป็นป้อมร้างถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่า 20 ปี
ชาวบ้านแถวนั้นเลยฉวยโอกาสรื้อขนเอาอิฐ หิน ไม้ และวัสดุก่อสร้าง
ไปใช้สร้างบ้านและอาคารสาธารณะในที่ต่าง ๆ
ในปี ค.ศ. 1842 ทั้งสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ
ได้ตกลงเจรจาเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนี้
และปัญหาเขตแดน เรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย
พรมแดนระหว่าง
New York กับ
Quebec
ตามที่ได้รับสัตยาบันกันใน
สนธิสัญญาปารีสในปี ค.ศ. 1783
เส้นกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษจะต้องอยู่ในเขตเส้นขนานที่ 45
ดังนั้น Fort Blunder จึงจะต้องตั้งอยู่บนพื้นดินของอังกฤษ(แคนาดา)
แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งมีชัยชนะเหนือมหาอำนาจอังกฤษที่ตกยุคแล้ว
ได้ยืนยันว่าเขตแดนใหม่จะต้องถูกผลักขึ้นไปทางเหนือของสหรัฐอเมริกา
เพื่อให้ป้อมปราการดังกล่าวอยู่ในดินแดนของสหรัฐอเมริกา
ทำให้การเจรจาข้อตกลงครั้งนี้กลายเป็นการแลกดินแดนบางส่วน
มีการเจรจาลงนามกันในสนธิสัญญา
Webster-Ashburton ในปี 1842
หลังจากที่ Fort Blunder กลายเป็นของสหรัฐอเมริกาแล้ว
โดยไม่รอช้าแต่อย่างใด สหรัฐอเมริกาก็เริ่มลงมือก่อสร้างใหม่อีกครั้ง
ซึ่งค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างต่ำมากเพราะใช้แรงงานทหารเป็นส่วนใหญ่
ในช่วง 30 ปีหลังจากปี 1842 ที่มีการก่อสร้าง/ต่อเติมไปเรื่อย ๆ
ค่าใช้จ่ายมีแค่เฉพาะแรงงานฝีมือเช่น ช่างตัดหิน ช่างทำอิฐ ช่างไม้ กับชาวบ้านและแวกนั้นราว 400 คน
โดยมีความสูงของป้อมถึง 48 ฟุต(14.63 เมตร)จากเดิมที่สูงเพียง 30 ฟุต(9.1 เมตร)
แล้วตั้งชื่อป้อมปราการนี้ว่า
Fort Montgomery
ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่วีรบุรุษสงครามปฏิวัติ นายพล
Richard Montgomery
ผู้ซึ่งตายในสนามรบระหว่างทำสงครามกับอังกฤษในปีค. ศ. 1775
ในช่วงที่พร้อมรบหรือเรียกระดมทหารเต็มอัตราศึก
จะมีทหารประจำการถึง 800 คนในป้อมแห่งนี้
ในช่วงปี 1860 ที่เกิด
สงครามกลางเมืองอเมริกา
มีข่าวลือหนาหูว่าอังกฤษพยายามแทรกแซงสหภาพแคนาดา
เพื่อยึดดินแดนบางส่วนคืนจากสหรัฐอเมริกาเป็นการล้างอาย
กับแอบขนส่งกองทหารฝ่ายใต้ผ่านทางแคนาดา
เพื่อโจมตี/โอบล้อมทหารฝ่ายเหนือตามยุทธวิธีรบ
สหรัฐอเมริกาจึงต่อเติมป้อมปราการ
ด้วยการเสริมเกราะเหล็กให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม
ในปี 1886 มีการติดตั้งปืนใหญ่จำนวน 74 กระบอก
ทุกกระบอกหันหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือจ่อไปที่แคนาดา
อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ที่จะมีการโจมตีมาจากทางแคนาดา
ได้กลายเป็นประเด็นที่เผ็ดร้อนและน่าวิตกกังวลกับสหรัฐอเมริกา
จนทำให้เกิดแนวคิคตัองเสริมสร้างกองกำลังป้องกันพรมแดนสหรัฐอเมริกา - แคนาดา
แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระมากในเวลาต่อมาก็ตาม
อีก 50 ปีถัดมานับจากปี 1842
ในปี 1892 ปืนใหญ่ของป้อมปราการนี้เริ่มกลายเป็นอาวุธล้าสมัย
เพราะปืนใหญ่รุ่นใหม่มีกระสุนที่มีพลังอำนาจในการทำลายล้างสูงมาก
สามารถยิงทำลายกำแพงและป้อมปราการได้โดยง่าย
จึงมีการถอดปืนใหญ่ในป้อมปราการออกไปเก็บไว้ในที่อื่น/ประมูลขายต่อไป
ในปี 1900 ปืนใหญ่ประจำการปัอมเหลือเพียง 37 กระบอก
ในปี 1901 ปืนใหญ่รุ่นเดิมลดลงเหลือ 20 กระบอก
ในปี 1909 ปืนใหญ่ที่เหลือพบจุดจบที่เตาหลอมเศษเหล็กใน
Philadelphia
ทำให้ช่วงเวลาหลังจากนี้ กลายเป็นป้อมปราการร้างไร้ทหาร/คนดูแล
มีแต่ทหารที่เกษียณอายุและพักอาศัยอยู่ใกล้เคียงคอยดูแลเท่านั้น
และแล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่ง
ชาวบ้านต่างเก็บกวาดรื้อถอนอิฐ หิน ไม้ บานประตู หน้าต่าง ไปสร้างบ้านของตน
ในปี 1926 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศขายทอดตลาด
ที่ดิน/ทรัพย์สินป้อมปราการด้วยแบ่งขายแบบประมูลราคา
มีเอกชนหลายครอบครัวได้ซื้อไปเป็นสมบัติส่วนตัว
ในปี 1936-1937 มีการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบ US Hwy2 (Newyork-Vermont)
ก้อนหินส่วนใหญ่ก็ถูกขายโดยรื้อถอนและนำออกจากป้อมปราการ
นำไปใช้ในการทำรากฐานของสะพานข้ามทะเลสาบ
Champlain
ทำให้โครงสร้างส่วนใหญ่ของปอมปราการพังทะลายและเสื่อมโทรมลง
ยี่งมีการตัดเหล็กบางส่วนไปใช้ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2
ยิ่งทำให้ภายในป้อมปราการมีอาการน่าเป็นห่วง
มีผลทำให้โครงสร้างบางส่วนวิบัติและพังทะลายจมในผืนน้ำในปี 1980
ในปี 1983 Victor Podd เจ้าของ Powertex Corporation ที่ดินติดกับป้อมนี้ทางตะวันตก
ได้ขอซื้อที่ดินกับป้อมบางส่วนจากชาวบ้านหลายราย
แม้ว่าก่อนหน้านี้ Victor Podd ซึ่งทำงานร่วมกับชุมชนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
จะเสนอให้รัฐ New York เสนอซื้อที่ดินนี้ขึ้นมาเพื่อฟื้นฟูป้อมปราการ
โดยกลุ่มชาวบ้านท้องถิ่นจะช่วยบูรณะกันเอง
แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธเรื่องนี้ว่านอกเหนืออำนาจ/ไม่มีเงินพอ
ในปี 2006 เดือนพฤษภาคม ทายาทของ Podds
จึงเสนอขายป้อมนี้ใน eBay ด้วยการประมูลราคา
การประมูลสิ้นสุดลงวันที่ 5 มิถุนายน 2006 ด้วยราคา 5,000,310 เหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตามการซื้อขายไม่มีผลสมบูรณ์
เพราะป้อมปราการกับที่ดินบางส่วนยังมีเจ้าของอื่นครอบครองอยู่
ในปี 2008 เดือนกันยายน Preservation League of New York State
ได้ระบุว่า Fort Montgomery คือ 1 ใน 7 อย่างที่ต้องอนุรักษ์ Seven to Save
จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าจะมีการอนุรักษ์ป้อมแห่งนี้
โดยมีการเสนอซื้อที่ดิน 94.0 เอเคอร์(235 ไร่)
กับป้อมในราคา 2,950,000 เหรียญสหรัฐ
แต่ยังไม่เป็นที่ตกลงจากทายาท Victor Podd และเจ้าของที่ดินข้างเคียง
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2EMx9YB
http://bit.ly/2vifQPE
หมายเหตุ
ในสมัยกรุงธนบุรี ตอนสร้างเมืองหลวงใหม่อีกครั้ง
พระบาทสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร ก็มีการเกณฑ์ไพร่พลจำนวนมาก
ไปรื้ออิฐเก่าจากกรุงศรีอยุธยาโดยรื้อจากกำแพงเมืองก่อนเป็นจำนวนมาก
แล้วขนส่งมาทางเรือมาลงที่กรุงธนบุรี/บางกอก
เพื่อนำมาสร้างเวียงวังวัดและป้อมปราการพระนคร
และมีการรื้อต่อ ๆ กันมาจนถึงปลายรัชกาลที่ 7
ทั้งนี้มีปรากฏในพระราชพงศาวดาร/จดหมายเหตุของแต่ละรัชกาล
เพราะขาดแคลนกำลังแรงงาน/แหล่งที่ผลิตอิฐ
ที่มักจะผลิตได้ไม่ทันตามความต้องการในยุคนั้น
ทำให้สภาพภายในพระนครศรีอยุธยา
ที่ก่อสร้างด้วยอิฐถูกทำลายสูญหายไปหลายแห่งมาก
ในยุคหลังปีพ.ศ.2475 ก็ยังมีการรื้ออิฐไปใช้งานโดยทางการ
กับมีการเปิดประมูลขายอิฐในเขตกรุงเก่าเพื่อหารายได้เข้ารัฐ
รวมทั้งชาวบ้านเข้าไปแอบรื้ออิฐในพระนครศรีอยุธยาไปใช้งาน
จนต่อมาทางการต้องเข้าไปควบคุมและเข้มงวดกว่าเดิม
เพราะเริ่มรู้สำนึกและรู้คุณค่าความสำคัญทางประวัติศาสตร์
จนบางคนคิดว่าเป็นฝีมือทำลายของพม่าในยุคเสียกรุงเก่าในปี พ.ศ.2310
อนึ่ง ในตัวเมืองสงขลาแต่เดิม
ก็ยังมีป้อมปราการและกำแพงเมืองหลายแห่ง
ต่อมามีอำมาตย์จากกรุงเทพฯ มากินเมืองหลังปี พ.ศ.2500
ต้องการพัฒนาเมืองเลยรื้อทิ้ง/ทุบทิ้งกำแพงเมือง
ที่คิดว่ากีดขวางทางถนนหนทาง/ดูไม่งามตา
แบบเป็นทัศนะอุจาดในสายตาชนชั้นปกครอง
มีคำสั่งให้รื้อทิ้งแล้วเอาไปถมที่/ทำถนนหรือโยนลงทะเล
จนเหลือเพียงจุดเดียวที่ยังเห็นได้ชัดใจกลางเมือง
คือ หน้าตลาดทรัพย์สินสงขลา ที่เดิมเป็นเรือนจำสงขลาในช่วงนั้น
อยู่ตรงข้ามบ้านพักพะธำมะรง หรือพธำมะรงค์ (ผู้คุมเรือนจำ)พ่อของป๋าเปรม

credit นิรนาม
กับอีกจุดหนึ่งกำลังฟื้นฟูแถวโรงสีแดงหับโห้หิ้น ถนนนครนอก(ด้านหลังติดทะเล)
และบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ในกองบัญชาการตำรวจภาค 9 ใกล้กับทางไปแพขนานยนต์
พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร
แปลว่า พระเจ้าแผ่นดินผู้แบ่งภาคมาจากเทพยดาผู้เป็นใหญ่ทั้ง ๑๑ พระองค์
คือ พระพรหม พระพิษณุ พระอิศวร พระพาย พระพิรุณ พระเพลิง พระยม
พระไพศรพณ์ พระอินทร์ พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ตามคติความเชื่อใน
ลัทธิเทวราช ของศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
ในการจรรโลงสิทธิธรรมในการขึ้นครองราชสมบัติของพระเจ้าแผ่นดินในอดีต
ที่มา
https://bit.ly/2qwQx6w
ป้อมปราการสหรัฐสร้างผิดที่ผิดทางในแคนาดา
Fort Montgomery Rouses Point NY
Fort Montgomery, also known as Fort Blunder. Photo credit: Axel Drainville/Flickr
ระหว่างสงครามปฏิวัติอเมริกาและสงครามในปี 1812
ระหว่างอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา
พรมแดนระหว่างอังกฤษแคนาดาและทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก
คือเขตพื้นที่สู้รบที่ดุเดือดมากที่สุดแห่งหนึ่ง
การรบมักจะเกิดขึ้นรอบ ๆ ทะเลสาบ Champlain
ทะเลสาบน้ำจืดแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามพรมแดนสหรัฐฯ - แคนาดา
ทำให้อังกฤษสามารถบุกเข้าสู่ใจกลางอเมริกาได้โดยง่าย
เส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญจาก Saint Lawrence ไปยัง Hudson
ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือกองทัพอังกฤษแล้ว
สงครามปฏิวัติอเมริกาอาจจะแตกต่างจากเดิมมาก
ดังนั้น หลังจากสงครามในปี 1814 Battle of Plattsburgh
เพื่อป้องกันการรุกรานครั้งใหม่จากอังกฤษ
ในปี 1816 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจที่จะเสริมแนวป้องกันตรงชายฝั่งทะเลสาบ Champlain
บนเกาะขนาดเล็กที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทรายที่ชื่อว่า Island Point
จึงมีการสร้างป้อมปราการรูปแปดเหลี่ยม มีกำแพงสูง 30 ฟุต(9.1 เมตร)
พร้อมติดตั้งปืนใหญ่ 125 กระบอกพร้อมยิงถล่มเรือรบอังกฤษที่พยายามจะแล่นเรือผ่าน
โดยประธานาธิบดี James Monroe ได้แวะมาเยี่ยมชมระหว่างก่อสร้างในปี 1817
แล้วมีการเรียกชื่อป้อมปราการนี้อย่างไม่เป็นทางการว่า The Commons
แต่หลังจากการก่อสร้างไปร่วม 2 ปีแล้ว
มีการปักปันเขตแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ
ก็พบปัญหาที่สำคัญระหว่างชายแดนเกิดขึ้น
ป้อมปราการสร้างผิดที่ผิดทางสร้างในเขตของอังกฤษ(ที่ยึดครองแคนาดาในช่วงนั้น)
เพราะสร้างขึ้นเหนือพรมแดนสหรัฐอีก 3⁄4 ไมล์ (1.2 กิโลเมตร)
หรือรุกล้ำเข้าไปในเขตดินแดนอังกฤษ(แคนาดา)ถึง 3/4 ไมล์
เมื่อความผิดพลาดสะเพร่าที่ถูกพบขึ้นมาในการปักปันดินแดน
ทำให้การสร้างต่อเติมป้อมปราการต้องยุติลงไปทันที
ป้อมนี้จึงได้เรียกกันว่า ป้อมสะเพร่า Fort Blunder
หรือบางครั้งก็เรียกว่า Works Fortification หรือ Battery
ทำให้ป้อมนี้กลายเป็นป้อมร้างถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่า 20 ปี
ชาวบ้านแถวนั้นเลยฉวยโอกาสรื้อขนเอาอิฐ หิน ไม้ และวัสดุก่อสร้าง
ไปใช้สร้างบ้านและอาคารสาธารณะในที่ต่าง ๆ
ในปี ค.ศ. 1842 ทั้งสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ
ได้ตกลงเจรจาเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนี้
และปัญหาเขตแดน เรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย
พรมแดนระหว่าง New York กับ Quebec
ตามที่ได้รับสัตยาบันกันในสนธิสัญญาปารีสในปี ค.ศ. 1783
เส้นกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษจะต้องอยู่ในเขตเส้นขนานที่ 45
ดังนั้น Fort Blunder จึงจะต้องตั้งอยู่บนพื้นดินของอังกฤษ(แคนาดา)
แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งมีชัยชนะเหนือมหาอำนาจอังกฤษที่ตกยุคแล้ว
ได้ยืนยันว่าเขตแดนใหม่จะต้องถูกผลักขึ้นไปทางเหนือของสหรัฐอเมริกา
เพื่อให้ป้อมปราการดังกล่าวอยู่ในดินแดนของสหรัฐอเมริกา
ทำให้การเจรจาข้อตกลงครั้งนี้กลายเป็นการแลกดินแดนบางส่วน
มีการเจรจาลงนามกันในสนธิสัญญา Webster-Ashburton ในปี 1842
หลังจากที่ Fort Blunder กลายเป็นของสหรัฐอเมริกาแล้ว
โดยไม่รอช้าแต่อย่างใด สหรัฐอเมริกาก็เริ่มลงมือก่อสร้างใหม่อีกครั้ง
ซึ่งค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างต่ำมากเพราะใช้แรงงานทหารเป็นส่วนใหญ่
ในช่วง 30 ปีหลังจากปี 1842 ที่มีการก่อสร้าง/ต่อเติมไปเรื่อย ๆ
ค่าใช้จ่ายมีแค่เฉพาะแรงงานฝีมือเช่น ช่างตัดหิน ช่างทำอิฐ ช่างไม้ กับชาวบ้านและแวกนั้นราว 400 คน
โดยมีความสูงของป้อมถึง 48 ฟุต(14.63 เมตร)จากเดิมที่สูงเพียง 30 ฟุต(9.1 เมตร)
แล้วตั้งชื่อป้อมปราการนี้ว่า Fort Montgomery
ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่วีรบุรุษสงครามปฏิวัติ นายพล Richard Montgomery
ผู้ซึ่งตายในสนามรบระหว่างทำสงครามกับอังกฤษในปีค. ศ. 1775
ในช่วงที่พร้อมรบหรือเรียกระดมทหารเต็มอัตราศึก
จะมีทหารประจำการถึง 800 คนในป้อมแห่งนี้
ในช่วงปี 1860 ที่เกิดสงครามกลางเมืองอเมริกา
มีข่าวลือหนาหูว่าอังกฤษพยายามแทรกแซงสหภาพแคนาดา
เพื่อยึดดินแดนบางส่วนคืนจากสหรัฐอเมริกาเป็นการล้างอาย
กับแอบขนส่งกองทหารฝ่ายใต้ผ่านทางแคนาดา
เพื่อโจมตี/โอบล้อมทหารฝ่ายเหนือตามยุทธวิธีรบ
สหรัฐอเมริกาจึงต่อเติมป้อมปราการ
ด้วยการเสริมเกราะเหล็กให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม
ในปี 1886 มีการติดตั้งปืนใหญ่จำนวน 74 กระบอก
ทุกกระบอกหันหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือจ่อไปที่แคนาดา
อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ที่จะมีการโจมตีมาจากทางแคนาดา
ได้กลายเป็นประเด็นที่เผ็ดร้อนและน่าวิตกกังวลกับสหรัฐอเมริกา
จนทำให้เกิดแนวคิคตัองเสริมสร้างกองกำลังป้องกันพรมแดนสหรัฐอเมริกา - แคนาดา
แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระมากในเวลาต่อมาก็ตาม
อีก 50 ปีถัดมานับจากปี 1842
ในปี 1892 ปืนใหญ่ของป้อมปราการนี้เริ่มกลายเป็นอาวุธล้าสมัย
เพราะปืนใหญ่รุ่นใหม่มีกระสุนที่มีพลังอำนาจในการทำลายล้างสูงมาก
สามารถยิงทำลายกำแพงและป้อมปราการได้โดยง่าย
จึงมีการถอดปืนใหญ่ในป้อมปราการออกไปเก็บไว้ในที่อื่น/ประมูลขายต่อไป
ในปี 1900 ปืนใหญ่ประจำการปัอมเหลือเพียง 37 กระบอก
ในปี 1901 ปืนใหญ่รุ่นเดิมลดลงเหลือ 20 กระบอก
ในปี 1909 ปืนใหญ่ที่เหลือพบจุดจบที่เตาหลอมเศษเหล็กใน Philadelphia
ทำให้ช่วงเวลาหลังจากนี้ กลายเป็นป้อมปราการร้างไร้ทหาร/คนดูแล
มีแต่ทหารที่เกษียณอายุและพักอาศัยอยู่ใกล้เคียงคอยดูแลเท่านั้น
และแล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่ง
ชาวบ้านต่างเก็บกวาดรื้อถอนอิฐ หิน ไม้ บานประตู หน้าต่าง ไปสร้างบ้านของตน
ในปี 1926 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศขายทอดตลาด
ที่ดิน/ทรัพย์สินป้อมปราการด้วยแบ่งขายแบบประมูลราคา
มีเอกชนหลายครอบครัวได้ซื้อไปเป็นสมบัติส่วนตัว
ในปี 1936-1937 มีการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบ US Hwy2 (Newyork-Vermont)
ก้อนหินส่วนใหญ่ก็ถูกขายโดยรื้อถอนและนำออกจากป้อมปราการ
นำไปใช้ในการทำรากฐานของสะพานข้ามทะเลสาบ Champlain
ทำให้โครงสร้างส่วนใหญ่ของปอมปราการพังทะลายและเสื่อมโทรมลง
ยี่งมีการตัดเหล็กบางส่วนไปใช้ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2
ยิ่งทำให้ภายในป้อมปราการมีอาการน่าเป็นห่วง
มีผลทำให้โครงสร้างบางส่วนวิบัติและพังทะลายจมในผืนน้ำในปี 1980
ในปี 1983 Victor Podd เจ้าของ Powertex Corporation ที่ดินติดกับป้อมนี้ทางตะวันตก
ได้ขอซื้อที่ดินกับป้อมบางส่วนจากชาวบ้านหลายราย
แม้ว่าก่อนหน้านี้ Victor Podd ซึ่งทำงานร่วมกับชุมชนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
จะเสนอให้รัฐ New York เสนอซื้อที่ดินนี้ขึ้นมาเพื่อฟื้นฟูป้อมปราการ
โดยกลุ่มชาวบ้านท้องถิ่นจะช่วยบูรณะกันเอง
แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธเรื่องนี้ว่านอกเหนืออำนาจ/ไม่มีเงินพอ
ในปี 2006 เดือนพฤษภาคม ทายาทของ Podds
จึงเสนอขายป้อมนี้ใน eBay ด้วยการประมูลราคา
การประมูลสิ้นสุดลงวันที่ 5 มิถุนายน 2006 ด้วยราคา 5,000,310 เหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตามการซื้อขายไม่มีผลสมบูรณ์
เพราะป้อมปราการกับที่ดินบางส่วนยังมีเจ้าของอื่นครอบครองอยู่
ในปี 2008 เดือนกันยายน Preservation League of New York State
ได้ระบุว่า Fort Montgomery คือ 1 ใน 7 อย่างที่ต้องอนุรักษ์ Seven to Save
จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าจะมีการอนุรักษ์ป้อมแห่งนี้
โดยมีการเสนอซื้อที่ดิน 94.0 เอเคอร์(235 ไร่)
กับป้อมในราคา 2,950,000 เหรียญสหรัฐ
แต่ยังไม่เป็นที่ตกลงจากทายาท Victor Podd และเจ้าของที่ดินข้างเคียง
http://bit.ly/2HzbDJv
http://bit.ly/2HzbDJv
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2EMx9YB
http://bit.ly/2vifQPE
หมายเหตุ
ในสมัยกรุงธนบุรี ตอนสร้างเมืองหลวงใหม่อีกครั้ง
พระบาทสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร ก็มีการเกณฑ์ไพร่พลจำนวนมาก
ไปรื้ออิฐเก่าจากกรุงศรีอยุธยาโดยรื้อจากกำแพงเมืองก่อนเป็นจำนวนมาก
แล้วขนส่งมาทางเรือมาลงที่กรุงธนบุรี/บางกอก
เพื่อนำมาสร้างเวียงวังวัดและป้อมปราการพระนคร
และมีการรื้อต่อ ๆ กันมาจนถึงปลายรัชกาลที่ 7
ทั้งนี้มีปรากฏในพระราชพงศาวดาร/จดหมายเหตุของแต่ละรัชกาล
เพราะขาดแคลนกำลังแรงงาน/แหล่งที่ผลิตอิฐ
ที่มักจะผลิตได้ไม่ทันตามความต้องการในยุคนั้น
ทำให้สภาพภายในพระนครศรีอยุธยา
ที่ก่อสร้างด้วยอิฐถูกทำลายสูญหายไปหลายแห่งมาก
ในยุคหลังปีพ.ศ.2475 ก็ยังมีการรื้ออิฐไปใช้งานโดยทางการ
กับมีการเปิดประมูลขายอิฐในเขตกรุงเก่าเพื่อหารายได้เข้ารัฐ
รวมทั้งชาวบ้านเข้าไปแอบรื้ออิฐในพระนครศรีอยุธยาไปใช้งาน
จนต่อมาทางการต้องเข้าไปควบคุมและเข้มงวดกว่าเดิม
เพราะเริ่มรู้สำนึกและรู้คุณค่าความสำคัญทางประวัติศาสตร์
จนบางคนคิดว่าเป็นฝีมือทำลายของพม่าในยุคเสียกรุงเก่าในปี พ.ศ.2310
อนึ่ง ในตัวเมืองสงขลาแต่เดิม
ก็ยังมีป้อมปราการและกำแพงเมืองหลายแห่ง
ต่อมามีอำมาตย์จากกรุงเทพฯ มากินเมืองหลังปี พ.ศ.2500
ต้องการพัฒนาเมืองเลยรื้อทิ้ง/ทุบทิ้งกำแพงเมือง
ที่คิดว่ากีดขวางทางถนนหนทาง/ดูไม่งามตา
แบบเป็นทัศนะอุจาดในสายตาชนชั้นปกครอง
มีคำสั่งให้รื้อทิ้งแล้วเอาไปถมที่/ทำถนนหรือโยนลงทะเล
จนเหลือเพียงจุดเดียวที่ยังเห็นได้ชัดใจกลางเมือง
คือ หน้าตลาดทรัพย์สินสงขลา ที่เดิมเป็นเรือนจำสงขลาในช่วงนั้น
อยู่ตรงข้ามบ้านพักพะธำมะรง หรือพธำมะรงค์ (ผู้คุมเรือนจำ)พ่อของป๋าเปรม
credit นิรนาม
กับอีกจุดหนึ่งกำลังฟื้นฟูแถวโรงสีแดงหับโห้หิ้น ถนนนครนอก(ด้านหลังติดทะเล)
และบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ในกองบัญชาการตำรวจภาค 9 ใกล้กับทางไปแพขนานยนต์
พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร
แปลว่า พระเจ้าแผ่นดินผู้แบ่งภาคมาจากเทพยดาผู้เป็นใหญ่ทั้ง ๑๑ พระองค์
คือ พระพรหม พระพิษณุ พระอิศวร พระพาย พระพิรุณ พระเพลิง พระยม
พระไพศรพณ์ พระอินทร์ พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ตามคติความเชื่อใน
ลัทธิเทวราช ของศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
ในการจรรโลงสิทธิธรรมในการขึ้นครองราชสมบัติของพระเจ้าแผ่นดินในอดีต
ที่มา https://bit.ly/2qwQx6w