ทุกอย่างเริ่มต้นมากจากความจนครับ แม่เลิกกับพ่อ แม่ต้องกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่กล้ามีสามีใหม่เพราะกลัวว่า ผัวใหม่จะมารังแกลูก แม่จึงกัดฟันเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่ผมสามขวบจนกระทั่งเรียนจบ
ความที่เห็นแม่ลำบากมาทั้งชีวิต บ้านของตัวเองก็ไม่มีจะอยู่ต้องอาศํยเช่าบ้านญาติอยู่ มันเลยเป็นแรงผลักดันให้ตัวผมเองและแม่ผมร่วมมือกันทำสิ่งที่หลายๆคนมองว่ายาก และหลายๆคนทำไม่สำเร็จ นั่นก็คือเราช่วยกันเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านด้วยเงินสดครับ
แต่บอกเลยว่าการจะทำแบบนี้ได้ต้องอดทนมากๆ ในช่วงที่ผมเริ่มทำงานใหม่ๆ เงินเดือนสตาร์ทยังไม่มาก ประมาณ 6,700 บาท เมื่อประมาณ 10 ปี ที่แล้ว เอาตรงๆถ้าเทียบกับคนจบปริญญาตรีคนอื่นก็ถือว่าน้อยนิด แต่ผมก็อาศัยลูกบ้าในเมื่อเราตัดสินใจจะทำแล้วก็ลงมือทำอย่าให้เสียเวลา วิธีง่ายๆครับ ชีวิตในช่วงเวลานั้นเรามีกันอยู่สองคนแม่ลูก แม่เปิดร้านเสริมสวยมีกำไรนิดหน่อยตกเดือนละประมาณ 10,000 บาท เงินก้อนนี้เอาไว้ใช้จ่ายภายในบ้านทั้งค่ากับข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าเดินทางไปทำงานของผม ส่วนเงิน 6,700 บาท ฝากเข้าธนาคารทั้งก้อน โดยผมเบิกเงินเดือนทั้งหมดมาให้แม่เป็นผู้จัดการเงิน ส่วนเงินที่ผมต้องกินต้องใช้ทำงานผมเอาไปแค่วันละ 100 บาท เท่านั้น
เขียนมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าเงิน 100 บาทผมอยู่รอดมาได้ยังไง คำตอบคือ ประการแรกผมทำงานใกล้บ้าน จึงทำให้ค่าเดินทางค่อนข้างถูกครับ ค่ามอเตอร์ไวค์ตอนนั้นไปกลับ 20 บาท ค่ารถเมล์ไปกลับ 20 บาท ค่าอาหารเช้า 30 บาท อาหารกลางวัน 20 อาหารกลางวันอาศัยกินในห้องอาหารพนักงานก็อยู่รอดได้ไปวันนึงครับ แถมบางทีเหลือเงินกลับบ้านอีก 10 บาทผมทำแบบนี้มาทั้งปี ปีแรกผมได้เงินก้อนแรกแน่ๆ 80,400 บาท
ทำงานไปเรื่อยๆเงินเดือนก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุงาน ประสบการณ์และความสามารถ ค่อยๆไต่ขึ้นจากหลักพันจนกระทั่งหลักหมื่น ประเด็นก็คือแม้เงินเดือนผมจะเพิ่มขึ้นแต่ผมพยายามไม่เพิ่มรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เหล้าผมไม่กกิน บุหรี่ผมไม่สูบ เสื้อผ้าซื้อนานๆครั้ง เที่ยว นานๆเที่ยวที และยังคงคอนเซปต์เอาไปใช้วันละร้อยเหมือนเดิมในช่วง 1-3 ปีแรกที่ทำงาน จนกระทั่งค่าครองชีพมันสูงขึ้น จึงปรับเป็น 120 บาท 150 บาท ตามลำดับ โดยขอมาจากรายได้ส่วนที่แม่เปิดร้านทำผมเหมือนเดิม ส่วนเงินเดือนเก็บเข้าธนาคารทั้งก้อน
ผ่านมาประมาณเจ็ดปี ทั้งเงินเดือน ทั้งโบนัสที่ผมกับแม่ช่วยกันประเคนอัดเข้าธนาคาร ทำให้ผมมีเงินเก็บราวๆ 700,000 กว่าๆ แต่คำนวนแล้วเก็บอย่างไรก็ไม่มีทางทันราคาบ้านที่มันเพิ่มขึ้นทุกปี พูดง่ายๆ เราเก็บเล็กผสมน้อย แต่ราคาบ้านเพิ่มปีละแสน ถ้าจะซื้อสดด้วยเงินก้อนเดียวไม่มีทางทำได้แน่นอน ผมกับแม่จึงไปจองบ้านไว้ก่อนเพื่อให้ราคาบ้านมันหยุด หมายความว่าเมื่อเราตกลงจะซื้อบ้านในราคาใดแล้วมันจะจบแค่นั้น ไม่มีเพิ่มขึ้นอีก จากนั้นก็ค่อยๆทยอยผ่อนดาวน์ก้อนแรกไปก่อน ในระหว่างที่ผ่อนดาวน์ก็เก็บเงินก้อนให้ได้จำนวนราคาบ้านที่เหลือ
พอถึงเวลาก็โป๊ะเช๊ะครับ ผ่อนดาวน์จบ เงินเก็บผมก็ครบพอดี ได้ประมาณล้านกว่าๆ ก็เทตูมทีเดียว ทางเจ้าหน้าที่หมู่บ้านซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของโครงการก็พอผมไปโอนบ้าน ส่วนผมก็ได้บ้านพร้อมโฉนดมาอยู่ในมือ
เป้าหมายต่อไปก็คือรถครับ ว่าจะซื้อรถเล็กๆสักคัน แต่ตอนนี้มีลูกแล้ว ถ้าจะซื้อสดทั้งก้อนลูกคงโตก่อนพอดี อาจจะต้องยอมผ่อนสักเล็กน้อย
เขียนเพื่อเป็นกำลังใจให้คนสู้ชีวิตทุกคนครับ
เป็นมนุษย์เงินเดือนก็มีเงินล้านได้ครับ (กระทู้นี้ไม่ได้ชวนให้มาขายตรง แต่นี่คือสิ่งที่ผมร่วมลงมือทำกับครอบครัว)
ความที่เห็นแม่ลำบากมาทั้งชีวิต บ้านของตัวเองก็ไม่มีจะอยู่ต้องอาศํยเช่าบ้านญาติอยู่ มันเลยเป็นแรงผลักดันให้ตัวผมเองและแม่ผมร่วมมือกันทำสิ่งที่หลายๆคนมองว่ายาก และหลายๆคนทำไม่สำเร็จ นั่นก็คือเราช่วยกันเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านด้วยเงินสดครับ
แต่บอกเลยว่าการจะทำแบบนี้ได้ต้องอดทนมากๆ ในช่วงที่ผมเริ่มทำงานใหม่ๆ เงินเดือนสตาร์ทยังไม่มาก ประมาณ 6,700 บาท เมื่อประมาณ 10 ปี ที่แล้ว เอาตรงๆถ้าเทียบกับคนจบปริญญาตรีคนอื่นก็ถือว่าน้อยนิด แต่ผมก็อาศัยลูกบ้าในเมื่อเราตัดสินใจจะทำแล้วก็ลงมือทำอย่าให้เสียเวลา วิธีง่ายๆครับ ชีวิตในช่วงเวลานั้นเรามีกันอยู่สองคนแม่ลูก แม่เปิดร้านเสริมสวยมีกำไรนิดหน่อยตกเดือนละประมาณ 10,000 บาท เงินก้อนนี้เอาไว้ใช้จ่ายภายในบ้านทั้งค่ากับข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าเดินทางไปทำงานของผม ส่วนเงิน 6,700 บาท ฝากเข้าธนาคารทั้งก้อน โดยผมเบิกเงินเดือนทั้งหมดมาให้แม่เป็นผู้จัดการเงิน ส่วนเงินที่ผมต้องกินต้องใช้ทำงานผมเอาไปแค่วันละ 100 บาท เท่านั้น
เขียนมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าเงิน 100 บาทผมอยู่รอดมาได้ยังไง คำตอบคือ ประการแรกผมทำงานใกล้บ้าน จึงทำให้ค่าเดินทางค่อนข้างถูกครับ ค่ามอเตอร์ไวค์ตอนนั้นไปกลับ 20 บาท ค่ารถเมล์ไปกลับ 20 บาท ค่าอาหารเช้า 30 บาท อาหารกลางวัน 20 อาหารกลางวันอาศัยกินในห้องอาหารพนักงานก็อยู่รอดได้ไปวันนึงครับ แถมบางทีเหลือเงินกลับบ้านอีก 10 บาทผมทำแบบนี้มาทั้งปี ปีแรกผมได้เงินก้อนแรกแน่ๆ 80,400 บาท
ทำงานไปเรื่อยๆเงินเดือนก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุงาน ประสบการณ์และความสามารถ ค่อยๆไต่ขึ้นจากหลักพันจนกระทั่งหลักหมื่น ประเด็นก็คือแม้เงินเดือนผมจะเพิ่มขึ้นแต่ผมพยายามไม่เพิ่มรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เหล้าผมไม่กกิน บุหรี่ผมไม่สูบ เสื้อผ้าซื้อนานๆครั้ง เที่ยว นานๆเที่ยวที และยังคงคอนเซปต์เอาไปใช้วันละร้อยเหมือนเดิมในช่วง 1-3 ปีแรกที่ทำงาน จนกระทั่งค่าครองชีพมันสูงขึ้น จึงปรับเป็น 120 บาท 150 บาท ตามลำดับ โดยขอมาจากรายได้ส่วนที่แม่เปิดร้านทำผมเหมือนเดิม ส่วนเงินเดือนเก็บเข้าธนาคารทั้งก้อน
ผ่านมาประมาณเจ็ดปี ทั้งเงินเดือน ทั้งโบนัสที่ผมกับแม่ช่วยกันประเคนอัดเข้าธนาคาร ทำให้ผมมีเงินเก็บราวๆ 700,000 กว่าๆ แต่คำนวนแล้วเก็บอย่างไรก็ไม่มีทางทันราคาบ้านที่มันเพิ่มขึ้นทุกปี พูดง่ายๆ เราเก็บเล็กผสมน้อย แต่ราคาบ้านเพิ่มปีละแสน ถ้าจะซื้อสดด้วยเงินก้อนเดียวไม่มีทางทำได้แน่นอน ผมกับแม่จึงไปจองบ้านไว้ก่อนเพื่อให้ราคาบ้านมันหยุด หมายความว่าเมื่อเราตกลงจะซื้อบ้านในราคาใดแล้วมันจะจบแค่นั้น ไม่มีเพิ่มขึ้นอีก จากนั้นก็ค่อยๆทยอยผ่อนดาวน์ก้อนแรกไปก่อน ในระหว่างที่ผ่อนดาวน์ก็เก็บเงินก้อนให้ได้จำนวนราคาบ้านที่เหลือ
พอถึงเวลาก็โป๊ะเช๊ะครับ ผ่อนดาวน์จบ เงินเก็บผมก็ครบพอดี ได้ประมาณล้านกว่าๆ ก็เทตูมทีเดียว ทางเจ้าหน้าที่หมู่บ้านซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของโครงการก็พอผมไปโอนบ้าน ส่วนผมก็ได้บ้านพร้อมโฉนดมาอยู่ในมือ
เป้าหมายต่อไปก็คือรถครับ ว่าจะซื้อรถเล็กๆสักคัน แต่ตอนนี้มีลูกแล้ว ถ้าจะซื้อสดทั้งก้อนลูกคงโตก่อนพอดี อาจจะต้องยอมผ่อนสักเล็กน้อย
เขียนเพื่อเป็นกำลังใจให้คนสู้ชีวิตทุกคนครับ