คิดว่าใช่ไหม ปัญหาเด็กไทยส่วนใหญ่ ในปัจจุบัน ชายมักหลงว่าเก่งสุด หญิงจ้องหาแต่ความรัก

เคยได้คุยกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่สอนหนังสือเด็กในแถวชายแดน ได้คุยถึงปัญหาที่คิดว่าไม่ใช่แค่โรงเรียนเดียว แต่เป็นปัญหาที่หลายๆ โรงเรียนพบเจอ

โดยขอสรุปแยกเป็นเด็กชาย และเด็กหญิง เพราะปัญหาที่พบเจอต่างกัน
เด็กชาย : มักคิดว่าตัวเองเก่งสุด ไม่ต้องฝึกฝนอะไรอีก แต่พอเจอโลกภายนอกที่มีคนเก่งกว่า ก็หมดความหมายของชีวิต

เช่น เด็กบางคนเก่งฟุตบอล ในลักษณะเล่นกับเพื่อนในโรงเรียนก็เป็นตัวเก่ง ซึ่งก็คงดีถ้าเด็กค้นพบตัวเอง แล้วไปต่อในทางนั้นให้ถึงที่สุด แต่พบว่าพอคิดว่าเก่ง ก็ไม่ต้องการอะไรอีก ทิ้งทุกอย่างเพราะคิดว่าความสามารถที่ดีนั้นเพียงพอกับชีวิตแล้ว ทิ้งการเรียน ทิ้งการศึกษา เน้นแค่เล่นฟุตบอลกับเวลาว่างก็เอามาเล่นเกม แต่งรถ
แต่...ปัญหามักเกิด เมื่อพบว่า โลกภายนอกความเก่งที่มีอยู่นั้น ไม่ได้เก่งอะไรเลย
โลกภายนอกมีคนที่เก่งแบบสัตว์ประหลาด เก่งแบบเทียบชั้นไม่ได้ พอค้นพบว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร ก็ทำเอาหมดความหมายของชีวิต ทำเอาทิ้งทุกสิ่งอย่างไป และในเมื่อทิ้งความสามารถอื่นออกไปแล้ว ก็ไม่เหลือความหมายที่จะทำอะไรได้อีก ใช้ชีวิตไปอย่างวันๆ

เด็กหญิง : มักคิดว่าความรักคือสิ่งสวยงาม มีคนรักก็คือจุดสูงสุดในชีวิต

ที่อาจารย์บอก เด็กหญิงมักไม่สนใจที่จะเรียนหนังสือ เพราะคิดว่าถึงอย่างไร เมื่อเรียนจบ มีครอบครัว ความรู้ในการศึกษา ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ไม่สำคัญต่อการเลี้ยงลูก และเอาใจสามี แต่ชีวิตคู่ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น และความรักที่เกิดขึ้นในช่วงเด็ก หลายครั้งที่ไม่ใช่สิ่งสวยงาม

และรุ่นพี่ที่ไปทำงานในเมือง กลายเป็นคนป๊อปที่เด็กหญิงหลายคนมองหา หลายคนเสนอตัวอย่างชัดเจน เพราะเมื่อรุ่นพี่กลับมาบ้าน ชีวิตดูมีเงิน มีความรู้ที่จะพึ่งพาได้ แต่ก็อย่างว่า ชีวิตการกลับบ้านไม่ใช่ทั้งหมด หลายคนกู้เงินเพื่อกลับบ้าน มาแสดงออกถึงความมีหน้ามีตา มีฐานะ และไม่นานก็ได้...กัน

เมื่อหมดช่วงโปรโมชั่น ช่วงงานแต่งงาน ชีวิตเริ่มกลับเข้าสู่ความจริง รุ่นพี่ที่กลายมาเป็นสามี จากที่เคยเป็นเทพบุตรผู้เอาใจ ก็กลับมาเป็นพนักงาน ที่ต้องทำงาน เวลาที่เคยมีให้ช่วงแต่งงานก็หมดไป ภรรยาหลายคนที่ไม่เคยได้เข้าเมือง เมื่อเข้าเมืองก็มีทั้งที่ต้องมาเจอการทำงาน วุฒิการศึกษาก็ไม่มี งานที่หาได้ก็ไม่ดีเท่าไหร่ หลายคนอายุยังไม่ถึงวัยทำงานด้วยซ้ำ ก็หางานไม่ได้ เมื่อความจริงปรากฏ ปัญหาก็ตามมา...

ปัญหาเหล่านี้ ครูที่ได้คุยกันบอกว่า เริ่มหนักขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยิ่งเจอปัญหาอื่นเข้ามาเพิ่มเติมเข้าไปอีก เช่น ขายตรง, Net Idol ยิ่งทำให้เกิดทัศนะคติว่า การศึกษาไม่ใช่สิ่งจำเป็น

"Steve Jobs, Mark Zuckerberg ยังไม่จบปริญญาก็ประสบความสำเร็จในชีวิต" ประโยคเด็ดที่จะพูดถึงเมื่อเข้าสัมมนาขายตรง ซึ่งหลายคนอาจมองว่า ขายตรงห่างไกลกับวัยรุ่น แต่จริงๆ แล้วมันเข้าใกล้กว่าที่คิด

อย่างที่บอกไปข้างต้น เมื่อหลายคนเข้าเมืองแล้วพบเจอปัญหาความเป็นจริง ก็พยายามหาทางทำเงินเพื่อใช้ชีวิต และขายตรงก็เข้ามาในช่วงนี้ และเมื่อความต้องการหาลูกข่าย ก็กลับมาหาที่หมู่บ้านของตนเอง ประโยคที่สวยงาม ยิ่งตอกย้ำว่าการศึกษาไม่สำคัญ โดยมองข้ามหลายประเด็นไป

แล้วการศึกษาเราจะไปในทิศทางใดกันดีนะ??
หมายเหตุ ยังไม่นับรวมปัญหาข้อจำกัดในบุคลากรทางการศึกษาอีกนะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่