นานๆจะโพสที เริ่มเลยนะครับ
คือก่อนนี้ผมคบผู้หญิงอยู่คนนึง แกมีแนวคิดเรียกร้องสิทธิสตรี (Feminism) ค่อนข้างสูง มีเงินเดือน 6 หลัก (ของผมยังแค่ 5 หลัก) ชอบนั่งร้านที่ expat หรือกลุ่มนักเรียนโรงเรียนอินเตอร์นั่งกัน ซึ่งนี่คือ lifestyle ของเขาเพราะเขาจบโรงเรียนอินเตอร์มา
โดยช่วงเวลาที่คบกันกว่า 90% แกจะเป็นคนเลือกร้าน ซึ่งร้านเหล่านี้ตอนอยู่กับแฟนคนก่อนๆ ผมแทบไม่คิดจะเข้าเลยครับ เช่น Helix Quarter (ร้านอาหารบนทางวน) บน EmQuartier, Muteki, หรือคาเฟ่แถวสาธร (Rocket Coffeebar, Luka, Dean & Deluca) เป็นต้น และพอถึงเวลาเช็คบิล แกบอกว่าแก willing ที่จะจ่ายแค่ 20% หมายความว่าไปกินข้าว 10 ครั้ง เขายินดีที่จะจ่าย 2 ครั้ง
ลองนึกตามนะครับ ผู้ชายเงินเดือน 5 หลักแต่ต้องจ่ายให้กับ lifestyle ระดับ expat สำหรับ 2 คน ทั้งตัวเองและคนที่คบ
ผมมานั่งคิดดูก็รู้สึกว่ามันมีความย้อนแย้งอยู่ในการที่เป็น Feminist ที่เรียกร้องความเสมอภาคระหว่างชายหญิง แต่การปฏิบัติตัวในความสัมพันธ์เขากลับมองว่าผู้ชายสมควรจะเป็นคนจ่ายมากกว่า ซึ่งหมายความว่าความสัมพันธ์นั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
ซึ่งตรงส่วนนี้ผมอิงจากประสบการณ์ของผมเองที่หากมีการนัดทานข้าวกับผู้หญิง มื้อแรกผู้ชายจะจ่ายก่อนแล้วมื้อถัดไปอาจจะผลัดกันออก หรือ ผู้ชายจ่ายข้าว ผู้หญิงจ่ายขนม/ตั๋วหนัง
ตามจริงแล้วในตอนนี้เราก็ห่างๆกันไปแล้วละ แต่ผมอยากทราบมุมมองของเพื่อนสมาชิกว่ามองเคสแบบนี้กันยังไง หรือเคยรับมือกับเคสแบบนี้ยังไงบ้าง
===============================================
ความคิดเห็นที่ 70
จขกท นะครับ ตอนแรกสุดผมก็คิดว่าแค่จะมาหยอดคำถามให้ชาวพันทิปได้ลองแชร์ความเห็นหรือประสบการณ์กัน เนื่องจากว่าความสัมพันธ์นี้มันจบลงไปแล้ว โดยที่ประเด็นของกระทู้นี้ไม่ได้เป็นประเด็นหลักในการจบความสัมพันธ์
แต่จากการที่ทางห้องบางรักให้ความสนใจกับประเด็นนี้มากจนกระทู้ถูกดันขึ้นมาเป็นกระทู้แนะนำแบบนี้ ผมเลยคิดว่าน่าจะมาเล่ารายละเอียดเพิ่มเติม เพิ่มขึ้นจากที่ผมพูดถึงในตอนต้นกระทู้
เรื่องนี้น่ะมันมีที่มาจากการที่ผมเพิ่งได้งานใหม่โดยเริ่มงานเมื่อต้นก.พ.ที่ผ่านมา
โดยช่วงเดือนม.ค.สาวเจ้าก็ทักไลน์มาครับว่า - ยินดีด้วยนะ ได้งานใหม่แล้ว แบบนี้ต้องฉลอง (celebrate)
ผม - ยูจะเลี้ยงเหรอ (Are you gonna treat me?)
สาว - ป่าวซะหน่อย ตามธรรมเนียมแล้ว คนที่ได้งานต่างหากที่ต้องเลี้ยง
ผม - ช่วงหลังนี้เราเลี้ยงบ่อยแล้ว (I've treated a lot lately.) [และส่งสติกเกอร์รูปกระเป๋าตังแห้งไปให้ดู]
สาว - ... [เงียบไปสักแปป] ทำไมยูต้องคิดว่าการฉลองต้องใช้เงินด้วยละ เราฉลองโดยที่ไม่ใช้เงินก็ได้
ผม - ... [เอิ่ม เดี๋ยวนะ ยูเป็นคนพูดเปิดเองว่า 'คนที่ได้งานต้องเลี้ยง' ไม่ใช่เหรอ 'ฉลอง' มันต้องใช้เงินนี่นา ทำไมอยู่ๆกลายเป็น 'ไม่ต้องใช้เงินก็ได้']
สาว - สงสัยยูคงไม่อยากเลี้ยงไอสินะ (I guess you don't wanna treat me.)
การแชทในช่วงนี้เท่าที่ผมจำได้คร่าวๆคือประมาณนี้ คือผมลบแชทไปแล้วละ
หลังจากนั้นเราก็โทรไลน์คุยกัน เริ่มแชทไม่รู้เรื่องละ เพราะทางนั้นเขาอารมณ์ขึ้นตั้งแต่ตอนที่ผมพิมพ์ไปว่า I've treated a lot lately. เหมือนว่าเราไปดูถูกเขา ประมาณว่าเราไปมองเขาว่าเป็นผู้หญิงประเภทที่ต้องให้ผู้ชายมาเลี้ยง จำได้ว่าเขาอารมณ์ขึ้นเพราะเขาคิดแบบนี้ ถ้าจำไม่ผิดนะ
ซึ่งผมขอคั่นนิดนึงว่า ณ ตอนนั้นก่อนที่จะโทรไลน์คุยกันนี่ผมอึ้งมากเลยกับประโยคสุดท้าย (I guess you don't wanna treat me.) เพราะมันค่อนข้างแสดงมุมมองของเขาว่า 'เขาคาดหวังให้ผมต้องเลี้ยงเขา' โอเคผมเข้าใจนะในเรื่องการเลี้ยงในโอกาสพิเศษต่างๆ แต่ถ้าพูดถึงในระดับชีวิตประจำวันทั่วไปละ ผมต้องเลี้ยงเขาทุกมื้อมั้ย ผมต้องซัพพอร์ท lifestyle ของเขาตลอดทุกวันและเวลามั้ย อันนี้ผมว่าเป็นประเด็นที่สำคัญสำหรับผมมากกว่า
เพราะถ้ามองกันไปยาวๆนั้น ในเรื่องรายได้ของผมที่อยู่ที่ 5 หลักปลายเทียบกับเขาที่อยู่ที่ 6 หลักกลาง การที่ผมต้องนำรายได้ของผมไปซัพพอร์ท lifestyle ของเขา ในขณะเดียวกันเขามีรายได้มากกว่าแต่กลับไม่ต้องนำรายได้นั้นมาใช้จ่าย ผมมองว่าในอนาคตผมจะไม่มีเงินเก็บครับ กลับกันเขาจะมีเงินเก็บค่อนข้างมากทีเดียว
กลับมาต่อที่โทรไลน์คุยกัน ผมขอดึงมาเป็นบางส่วนนะครับ เอาเฉพาะบทสนทนาที่เป็นประเด็นมากพอจนทำให้ผมจำได้
สาว - ทำไมยูว่าไม่มีตังละ ยูมีหุ้นนี่ และยูมีคอนโดปล่อยเช่าอยู่ไม่ใช่เหรอ บอกว่าไม่มีตังได้ไง
ผม - หุ้นผมฝากให้พี่จัดการ การจะขายหุ้นออกมานั้นมันไม่ใช่ว่าเอาออกมาได้เลย มันมี liquidity ต่ำ ส่วนค่าเช่าของคอนโดนั้นผมก็เอาไปจ่ายแบ้งค์ มันไม่ใช่ว่าการที่ผมได้ค่าเช่ามันจะเพิ่มเงินเดือนผมจาก 5 หลักเป็น 6 หลักซะที่ไหน
เจอบทสนทนาแบบนี้ผมเองก็เสียกำลังใจ แต่อีกใจก็คิดว่า 'เออ เขาคงไม่เข้าใจเรื่องการลงทุนอสังหาฯสักเท่าไหร่' แต่บอกตามตรง ผมได้ฟังแล้วก็มองว่าเขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองด้านการเงินในความสัมพันธ์นี้เท่าไหร่ ดูเหมือนว่ายังพยายามถกเถียงว่าผมมีรายรับมากพอที่จะซัพพอร์ทความสัมพันธ์นี้แต่เพียงผู้เดียว
หลังจากนั้นผมก็อธิบายเรื่องที่ผมมองในระยะยาวว่าถ้าผมต้องซัพพอร์ท lifestyle ของเขาแบบนี้ตลอดไปว่ามันจะทำให้ความสัมพันธ์นี้ไม่ยั่งยืน เพราะมันคงถึงจุดนึงที่ผมไม่สามารถซัพพอร์ทเขาได้ คือเงินเก็บผมคงหมดก่อน ในขณะที่เงินเก็บเขาคงเหลือมากมาย แล้วในตอนนั้นถ้าเขายังคงความคิดว่าเขาควรจ่ายแค่ 20% หากผมไม่สามารถจ่ายได้ ความสัมพันธ์มันก็คงไปไม่รอด แต่จริงๆเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องในอนาคตที่เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ มันเป็นแค่การคาดคะเนของผมเอง
กลับมาที่การสนทนาต่อ
ผมก็บอกแกไปว่า - ผมไม่เคยเห็นยูกินร้านข้างทางเลย (Street food) [จริงๆเคยมีไปกินที่เยาวราชครั้งนึงเพราะเพื่อนผมชวนไป ผมก็อยากให้แฟนได้พบเพื่อนผม แต่ตอนกินขนมร้าน sweettime ในถ้วยเขามันมีเศษอะไรเล็กๆอยู่ ผมเห็นสีหน้าเขาเจื่อนไปนิดนึง โดยครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราไปกินร้านริมถนนกัน]
สาว - ก็ไม่ใช่ว่าไอกินไม่ได้
ผม - งั้นร้านข้างทางร้านประจำของยูคือร้านไร
สาว - ร้าน xxx (จำรายละเอียดไม่ได้)
ขอข้ามไปสุดท้ายเลยนะครับ เพราะผมจำได้เฉพาะช่วงที่สำคัญ
เขา - ถ้าไปกินร้านข้างทาง ยูก็เลี้ยงไอได้ตลอดใช่มั้ย
ผม - ใช่ เลี้ยงได้ตลอดนะ ไม่มีปัญหาเลย
เขา - ก็ไม่บอก ถ้าบอกขึ้นมาไอก็โอเคนะ ยูควรจะต้อง put effort ในการถกเถียงกันให้มากกว่านี้หน่อย
ผมหมดกำลังใจตั้งกะ You don't wanna treat me. กับที่เขาถามเรื่องค่าเช่าคอนโดผมแล้วละ ไม่รู้สมาชิกท่านอื่นจะมองยังไงนะ แต่ตอนนั้นผมนอยด์ไปเลยว่า เอ้อ คนที่คิดแบบนี้ก็มีด้วยแฮะ
สรุปแล้วการถกเถียงปรับความเข้าใจก็จบลงที่ว่า 'ถ้าไปกินร้านข้างทาง ผมสามารถเลี้ยงได้ทุกครั้งโดยไม่มีปัญหา' หากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยว่าเขาจะยอมจ่ายมากขึ้นเท่าไหร่ หรือไม่ อย่างไร
แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ออกไปกินข้าวข้างนอกกันเลยเนื่องจากเธอป่วยและอาการค่อนข้างหนักจนไม่อำนวยให้เธอออกไปนอกบ้านได้ ทีนี้ผมก็เลยไม่รู้ว่าไอ้ที่เราคุยและตกลงกันแล้วนั้นมันเป็นไปตามที่คุยกันมั้ย เขาสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือเปล่า โดยหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มแย่ลง แล้วก็เลิกรากันไปโดยที่ประเด็นนี้ก็ยังคงค้างคาอยู่ในใจผม
===============================================
ขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึงในคำถามจั่วหัวกระทู้ของผม "ผู้หญิง Feminist ที่คาดหวังให้ผู้ชายเปย์ แบบนี้ขัดกันเองมั้ยครับ" นะครับ
ประเด็นนี้เราเคยคุยกันแล้วครับ เขายอมรับนะครับว่ามันขัดกันเอง ผมบอกเขาไปว่าในความสัมพันธ์นั้นทั้งสองคนควรจะต้องเท่าเทียมไม่ใช่เหรอ เขาก็เห็นด้วย แต่เขาก็บอกว่าเนื่องจากเขาเป็นผู้หญิง เขาก็ยังมีความรู้สึกว่าเพศหญิงสมควรถูกประคบประหงม (pamper) แล้วถ้าเท่าเทียมกันแบบนี้ผู้หญิงต้องซื้อดอกไม้ให้ผู้ชายรึเปล่า
ผมไม่แน่ใจว่าอันนี้ประชดหรือถามเพราะอยากรู้จริงๆ... แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรไปนะ
===============================================
จบเท่านี้ละครับเท่าที่จำได้ คิดว่าไม่ได้ตกหล่นบทสนทนาสำคัญไปนะ ใครคิดว่ายังไง ก็ลองเม้นต่อได้ครับ
*** ผู้หญิง Feminist ที่คาดหวังให้ผู้ชายเปย์ แบบนี้ขัดกันเองมั้ยครับ ***
คือก่อนนี้ผมคบผู้หญิงอยู่คนนึง แกมีแนวคิดเรียกร้องสิทธิสตรี (Feminism) ค่อนข้างสูง มีเงินเดือน 6 หลัก (ของผมยังแค่ 5 หลัก) ชอบนั่งร้านที่ expat หรือกลุ่มนักเรียนโรงเรียนอินเตอร์นั่งกัน ซึ่งนี่คือ lifestyle ของเขาเพราะเขาจบโรงเรียนอินเตอร์มา
โดยช่วงเวลาที่คบกันกว่า 90% แกจะเป็นคนเลือกร้าน ซึ่งร้านเหล่านี้ตอนอยู่กับแฟนคนก่อนๆ ผมแทบไม่คิดจะเข้าเลยครับ เช่น Helix Quarter (ร้านอาหารบนทางวน) บน EmQuartier, Muteki, หรือคาเฟ่แถวสาธร (Rocket Coffeebar, Luka, Dean & Deluca) เป็นต้น และพอถึงเวลาเช็คบิล แกบอกว่าแก willing ที่จะจ่ายแค่ 20% หมายความว่าไปกินข้าว 10 ครั้ง เขายินดีที่จะจ่าย 2 ครั้ง
ลองนึกตามนะครับ ผู้ชายเงินเดือน 5 หลักแต่ต้องจ่ายให้กับ lifestyle ระดับ expat สำหรับ 2 คน ทั้งตัวเองและคนที่คบ
ผมมานั่งคิดดูก็รู้สึกว่ามันมีความย้อนแย้งอยู่ในการที่เป็น Feminist ที่เรียกร้องความเสมอภาคระหว่างชายหญิง แต่การปฏิบัติตัวในความสัมพันธ์เขากลับมองว่าผู้ชายสมควรจะเป็นคนจ่ายมากกว่า ซึ่งหมายความว่าความสัมพันธ์นั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
ซึ่งตรงส่วนนี้ผมอิงจากประสบการณ์ของผมเองที่หากมีการนัดทานข้าวกับผู้หญิง มื้อแรกผู้ชายจะจ่ายก่อนแล้วมื้อถัดไปอาจจะผลัดกันออก หรือ ผู้ชายจ่ายข้าว ผู้หญิงจ่ายขนม/ตั๋วหนัง
ตามจริงแล้วในตอนนี้เราก็ห่างๆกันไปแล้วละ แต่ผมอยากทราบมุมมองของเพื่อนสมาชิกว่ามองเคสแบบนี้กันยังไง หรือเคยรับมือกับเคสแบบนี้ยังไงบ้าง
===============================================
ความคิดเห็นที่ 70
จขกท นะครับ ตอนแรกสุดผมก็คิดว่าแค่จะมาหยอดคำถามให้ชาวพันทิปได้ลองแชร์ความเห็นหรือประสบการณ์กัน เนื่องจากว่าความสัมพันธ์นี้มันจบลงไปแล้ว โดยที่ประเด็นของกระทู้นี้ไม่ได้เป็นประเด็นหลักในการจบความสัมพันธ์
แต่จากการที่ทางห้องบางรักให้ความสนใจกับประเด็นนี้มากจนกระทู้ถูกดันขึ้นมาเป็นกระทู้แนะนำแบบนี้ ผมเลยคิดว่าน่าจะมาเล่ารายละเอียดเพิ่มเติม เพิ่มขึ้นจากที่ผมพูดถึงในตอนต้นกระทู้
เรื่องนี้น่ะมันมีที่มาจากการที่ผมเพิ่งได้งานใหม่โดยเริ่มงานเมื่อต้นก.พ.ที่ผ่านมา
โดยช่วงเดือนม.ค.สาวเจ้าก็ทักไลน์มาครับว่า - ยินดีด้วยนะ ได้งานใหม่แล้ว แบบนี้ต้องฉลอง (celebrate)
ผม - ยูจะเลี้ยงเหรอ (Are you gonna treat me?)
สาว - ป่าวซะหน่อย ตามธรรมเนียมแล้ว คนที่ได้งานต่างหากที่ต้องเลี้ยง
ผม - ช่วงหลังนี้เราเลี้ยงบ่อยแล้ว (I've treated a lot lately.) [และส่งสติกเกอร์รูปกระเป๋าตังแห้งไปให้ดู]
สาว - ... [เงียบไปสักแปป] ทำไมยูต้องคิดว่าการฉลองต้องใช้เงินด้วยละ เราฉลองโดยที่ไม่ใช้เงินก็ได้
ผม - ... [เอิ่ม เดี๋ยวนะ ยูเป็นคนพูดเปิดเองว่า 'คนที่ได้งานต้องเลี้ยง' ไม่ใช่เหรอ 'ฉลอง' มันต้องใช้เงินนี่นา ทำไมอยู่ๆกลายเป็น 'ไม่ต้องใช้เงินก็ได้']
สาว - สงสัยยูคงไม่อยากเลี้ยงไอสินะ (I guess you don't wanna treat me.)
การแชทในช่วงนี้เท่าที่ผมจำได้คร่าวๆคือประมาณนี้ คือผมลบแชทไปแล้วละ
หลังจากนั้นเราก็โทรไลน์คุยกัน เริ่มแชทไม่รู้เรื่องละ เพราะทางนั้นเขาอารมณ์ขึ้นตั้งแต่ตอนที่ผมพิมพ์ไปว่า I've treated a lot lately. เหมือนว่าเราไปดูถูกเขา ประมาณว่าเราไปมองเขาว่าเป็นผู้หญิงประเภทที่ต้องให้ผู้ชายมาเลี้ยง จำได้ว่าเขาอารมณ์ขึ้นเพราะเขาคิดแบบนี้ ถ้าจำไม่ผิดนะ
ซึ่งผมขอคั่นนิดนึงว่า ณ ตอนนั้นก่อนที่จะโทรไลน์คุยกันนี่ผมอึ้งมากเลยกับประโยคสุดท้าย (I guess you don't wanna treat me.) เพราะมันค่อนข้างแสดงมุมมองของเขาว่า 'เขาคาดหวังให้ผมต้องเลี้ยงเขา' โอเคผมเข้าใจนะในเรื่องการเลี้ยงในโอกาสพิเศษต่างๆ แต่ถ้าพูดถึงในระดับชีวิตประจำวันทั่วไปละ ผมต้องเลี้ยงเขาทุกมื้อมั้ย ผมต้องซัพพอร์ท lifestyle ของเขาตลอดทุกวันและเวลามั้ย อันนี้ผมว่าเป็นประเด็นที่สำคัญสำหรับผมมากกว่า
เพราะถ้ามองกันไปยาวๆนั้น ในเรื่องรายได้ของผมที่อยู่ที่ 5 หลักปลายเทียบกับเขาที่อยู่ที่ 6 หลักกลาง การที่ผมต้องนำรายได้ของผมไปซัพพอร์ท lifestyle ของเขา ในขณะเดียวกันเขามีรายได้มากกว่าแต่กลับไม่ต้องนำรายได้นั้นมาใช้จ่าย ผมมองว่าในอนาคตผมจะไม่มีเงินเก็บครับ กลับกันเขาจะมีเงินเก็บค่อนข้างมากทีเดียว
กลับมาต่อที่โทรไลน์คุยกัน ผมขอดึงมาเป็นบางส่วนนะครับ เอาเฉพาะบทสนทนาที่เป็นประเด็นมากพอจนทำให้ผมจำได้
สาว - ทำไมยูว่าไม่มีตังละ ยูมีหุ้นนี่ และยูมีคอนโดปล่อยเช่าอยู่ไม่ใช่เหรอ บอกว่าไม่มีตังได้ไง
ผม - หุ้นผมฝากให้พี่จัดการ การจะขายหุ้นออกมานั้นมันไม่ใช่ว่าเอาออกมาได้เลย มันมี liquidity ต่ำ ส่วนค่าเช่าของคอนโดนั้นผมก็เอาไปจ่ายแบ้งค์ มันไม่ใช่ว่าการที่ผมได้ค่าเช่ามันจะเพิ่มเงินเดือนผมจาก 5 หลักเป็น 6 หลักซะที่ไหน
เจอบทสนทนาแบบนี้ผมเองก็เสียกำลังใจ แต่อีกใจก็คิดว่า 'เออ เขาคงไม่เข้าใจเรื่องการลงทุนอสังหาฯสักเท่าไหร่' แต่บอกตามตรง ผมได้ฟังแล้วก็มองว่าเขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองด้านการเงินในความสัมพันธ์นี้เท่าไหร่ ดูเหมือนว่ายังพยายามถกเถียงว่าผมมีรายรับมากพอที่จะซัพพอร์ทความสัมพันธ์นี้แต่เพียงผู้เดียว
หลังจากนั้นผมก็อธิบายเรื่องที่ผมมองในระยะยาวว่าถ้าผมต้องซัพพอร์ท lifestyle ของเขาแบบนี้ตลอดไปว่ามันจะทำให้ความสัมพันธ์นี้ไม่ยั่งยืน เพราะมันคงถึงจุดนึงที่ผมไม่สามารถซัพพอร์ทเขาได้ คือเงินเก็บผมคงหมดก่อน ในขณะที่เงินเก็บเขาคงเหลือมากมาย แล้วในตอนนั้นถ้าเขายังคงความคิดว่าเขาควรจ่ายแค่ 20% หากผมไม่สามารถจ่ายได้ ความสัมพันธ์มันก็คงไปไม่รอด แต่จริงๆเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องในอนาคตที่เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ มันเป็นแค่การคาดคะเนของผมเอง
กลับมาที่การสนทนาต่อ
ผมก็บอกแกไปว่า - ผมไม่เคยเห็นยูกินร้านข้างทางเลย (Street food) [จริงๆเคยมีไปกินที่เยาวราชครั้งนึงเพราะเพื่อนผมชวนไป ผมก็อยากให้แฟนได้พบเพื่อนผม แต่ตอนกินขนมร้าน sweettime ในถ้วยเขามันมีเศษอะไรเล็กๆอยู่ ผมเห็นสีหน้าเขาเจื่อนไปนิดนึง โดยครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราไปกินร้านริมถนนกัน]
สาว - ก็ไม่ใช่ว่าไอกินไม่ได้
ผม - งั้นร้านข้างทางร้านประจำของยูคือร้านไร
สาว - ร้าน xxx (จำรายละเอียดไม่ได้)
ขอข้ามไปสุดท้ายเลยนะครับ เพราะผมจำได้เฉพาะช่วงที่สำคัญ
เขา - ถ้าไปกินร้านข้างทาง ยูก็เลี้ยงไอได้ตลอดใช่มั้ย
ผม - ใช่ เลี้ยงได้ตลอดนะ ไม่มีปัญหาเลย
เขา - ก็ไม่บอก ถ้าบอกขึ้นมาไอก็โอเคนะ ยูควรจะต้อง put effort ในการถกเถียงกันให้มากกว่านี้หน่อย
ผมหมดกำลังใจตั้งกะ You don't wanna treat me. กับที่เขาถามเรื่องค่าเช่าคอนโดผมแล้วละ ไม่รู้สมาชิกท่านอื่นจะมองยังไงนะ แต่ตอนนั้นผมนอยด์ไปเลยว่า เอ้อ คนที่คิดแบบนี้ก็มีด้วยแฮะ
สรุปแล้วการถกเถียงปรับความเข้าใจก็จบลงที่ว่า 'ถ้าไปกินร้านข้างทาง ผมสามารถเลี้ยงได้ทุกครั้งโดยไม่มีปัญหา' หากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยว่าเขาจะยอมจ่ายมากขึ้นเท่าไหร่ หรือไม่ อย่างไร
แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ออกไปกินข้าวข้างนอกกันเลยเนื่องจากเธอป่วยและอาการค่อนข้างหนักจนไม่อำนวยให้เธอออกไปนอกบ้านได้ ทีนี้ผมก็เลยไม่รู้ว่าไอ้ที่เราคุยและตกลงกันแล้วนั้นมันเป็นไปตามที่คุยกันมั้ย เขาสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือเปล่า โดยหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มแย่ลง แล้วก็เลิกรากันไปโดยที่ประเด็นนี้ก็ยังคงค้างคาอยู่ในใจผม
===============================================
ขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึงในคำถามจั่วหัวกระทู้ของผม "ผู้หญิง Feminist ที่คาดหวังให้ผู้ชายเปย์ แบบนี้ขัดกันเองมั้ยครับ" นะครับ
ประเด็นนี้เราเคยคุยกันแล้วครับ เขายอมรับนะครับว่ามันขัดกันเอง ผมบอกเขาไปว่าในความสัมพันธ์นั้นทั้งสองคนควรจะต้องเท่าเทียมไม่ใช่เหรอ เขาก็เห็นด้วย แต่เขาก็บอกว่าเนื่องจากเขาเป็นผู้หญิง เขาก็ยังมีความรู้สึกว่าเพศหญิงสมควรถูกประคบประหงม (pamper) แล้วถ้าเท่าเทียมกันแบบนี้ผู้หญิงต้องซื้อดอกไม้ให้ผู้ชายรึเปล่า
ผมไม่แน่ใจว่าอันนี้ประชดหรือถามเพราะอยากรู้จริงๆ... แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรไปนะ
===============================================
จบเท่านี้ละครับเท่าที่จำได้ คิดว่าไม่ได้ตกหล่นบทสนทนาสำคัญไปนะ ใครคิดว่ายังไง ก็ลองเม้นต่อได้ครับ