เป็นบทที่ยอดเยี่ยมมากเจ้าค่ะ 
ทั้งผู้ประพันธ์ ทั้ง อ ศัลยา … 
บทยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ในนิยายแล้ว ที่ให้ “โทนเรื่องสีเทาๆ ไว้ในยุคอยุธยาอันดูรุ่งโรจน์นี้” 
เกศสุรางค์เป็นผู้สังเกตการณ์ที่ติดตามดูทุกอย่าง … อย่างคนที่รู้อนาคตแต่ก็ตัดสินใครไม่ได้ 
ซีนวันนี้ ทุกท่านแสดงดีมากกกกกค่ะ ดูแล้วสงสารทุกคนเลย  
สงสารแม้บ้านเมืองของเราด้วยที่หาคนดูแลอย่างเข้าใจและจริงใจ ยากกกกมากกก (อินจริงๆอ่ะ โทษทีนะคะ 😭😭😭) 
เริ่มตั้งแต่  1…  “สงสารพระนารายณ์”  ตอนซีนที่ท่านถามขุนปานว่า “ว่าไงจะรับเป็นฑูตไหม หรือต้องรอถามพรรคพวกก่อน”  
เราดูซีนนี้แล้วจุกอกอ่ะ …… นี่หรือคือ ผู้ที่ดูเหมือนมีอำนาจที่สุดในแผ่นดิน  ?? 
หาคนไว้ใจได้จริงๆยาก อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ตัวท่านหรืออยู่ที่ขุนนางกันหนอ …… คนเราจะอยู่ในที่สูง ต้องขึ้นอยู่กับคนที่ยกขึ้นไปด้วยสินะ 😣
จะทำอะไร แม้เพื่อบ้านเมือง จะทำแต่ละที ดูน่าเหนื่อยจัง 
ฝั่งขุนนาง ก็น่าสงสาร เพราะทุกคนดูมีเหตุผลในมุมของตนทั้งนั้น 
ฟอลคอน ~ พระเพทราชา ตัวแทนฝั่งซ้ายจัดขวาจัด  ปกป้องผลประโยชน์ตนเองแบบคนละมุม  เลยคุยกันไม่รู้เรื่อง
2… ฟอลคอน    ทำยังไงจะรักษาฐานอำนาจของตนไว้ ตอนนี้ ตนเป็นคนสำคัญ 
แต่ถ้าสิ้นพระนารายณ์แล้ว ก็ต้องหาคนที่น่าจะเป็นไปได้มาแทน เพื่อให้อำนาจตนยังอยู่ (เลยหาทั้งทั้งพระปีย์ ทั้งน้องพระนารายณ์) 
3… พระเพทราชา  เกลียดความคิดอีกฝั่งเข้าไส้  จึงไม่เปิดใจมองมุมฝั่งโน้น 
 (ดูอยู่ด้วยความระแวงตลอดเวลา ว่าฝรั่งจะมาฮุบ … ตอนหลังจึง รวบอำนาจมาอยู่ในมือกรูซะเอง กรูจะได้ไม่ต้องห่วงกลัวมันฮุบ)  
4… ขุนปาน ขุนนางผู้อยู่ตรงกลาง  ไม่ซ้ายจัด ขวาจัด แต่ก็ดูน่าลำบากใจมากๆ 
แถมชอบมากกก ฉากที่จ้อยอธิบายให้พวกป้าปริกกับจวงฟัง  
เป็นสัญลักษณ์ของ “จุดเปราะบาง ที่ทำให้คนเราแตกแยกทางความคิด” 
ฉากนั้น เป็นเสมือนตัวแทนของคนไม่เข้าใจ จึงตีความไปตามที่ตนเข้าใจและกลัว(( ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ไง))
 (คือคิดว่า พระนารายณ์ยอมเป็นเมืองขึ้นเค้าหรองี้) 
______________________________________________________________________________
แถมเบรกอารมณ์การเมืองด้วยของกิน 
โอยยยย กราบความเทพของคนทำละคร ตั้งแต่ผู้เขียนบทละคร ยันนักแสดง ยันช่างภาพ ยันคนตัดต่อ 
เอาอีก เอาอีก เอาละครแบบนี้อีกกกก  

นี่คือตัวอย่างของละคร ที่ไม่ต้องมีบทนางอิจฉาริษยา 
แต่ลุ่มลึกไปหมด พลาดไม่ได้เลยจริงๆ
** แก้ไขพิมพ์ตกหล่นค่ะ**																																	
  
							 
						
การเมืองสีเทาในบุพเพสันนิวาส (วีคนี้ดูแล้วสงสารทุกคนเลย ยกเว้นพระ-นาง)
ทั้งผู้ประพันธ์ ทั้ง อ ศัลยา …
บทยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ในนิยายแล้ว ที่ให้ “โทนเรื่องสีเทาๆ ไว้ในยุคอยุธยาอันดูรุ่งโรจน์นี้”
เกศสุรางค์เป็นผู้สังเกตการณ์ที่ติดตามดูทุกอย่าง … อย่างคนที่รู้อนาคตแต่ก็ตัดสินใครไม่ได้
ซีนวันนี้ ทุกท่านแสดงดีมากกกกกค่ะ ดูแล้วสงสารทุกคนเลย
สงสารแม้บ้านเมืองของเราด้วยที่หาคนดูแลอย่างเข้าใจและจริงใจ ยากกกกมากกก (อินจริงๆอ่ะ โทษทีนะคะ 😭😭😭)
เริ่มตั้งแต่ 1… “สงสารพระนารายณ์” ตอนซีนที่ท่านถามขุนปานว่า “ว่าไงจะรับเป็นฑูตไหม หรือต้องรอถามพรรคพวกก่อน”
เราดูซีนนี้แล้วจุกอกอ่ะ …… นี่หรือคือ ผู้ที่ดูเหมือนมีอำนาจที่สุดในแผ่นดิน ??
หาคนไว้ใจได้จริงๆยาก อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ตัวท่านหรืออยู่ที่ขุนนางกันหนอ …… คนเราจะอยู่ในที่สูง ต้องขึ้นอยู่กับคนที่ยกขึ้นไปด้วยสินะ 😣
จะทำอะไร แม้เพื่อบ้านเมือง จะทำแต่ละที ดูน่าเหนื่อยจัง
ฝั่งขุนนาง ก็น่าสงสาร เพราะทุกคนดูมีเหตุผลในมุมของตนทั้งนั้น
ฟอลคอน ~ พระเพทราชา ตัวแทนฝั่งซ้ายจัดขวาจัด ปกป้องผลประโยชน์ตนเองแบบคนละมุม เลยคุยกันไม่รู้เรื่อง
2… ฟอลคอน ทำยังไงจะรักษาฐานอำนาจของตนไว้ ตอนนี้ ตนเป็นคนสำคัญ
แต่ถ้าสิ้นพระนารายณ์แล้ว ก็ต้องหาคนที่น่าจะเป็นไปได้มาแทน เพื่อให้อำนาจตนยังอยู่ (เลยหาทั้งทั้งพระปีย์ ทั้งน้องพระนารายณ์)
3… พระเพทราชา เกลียดความคิดอีกฝั่งเข้าไส้ จึงไม่เปิดใจมองมุมฝั่งโน้น
(ดูอยู่ด้วยความระแวงตลอดเวลา ว่าฝรั่งจะมาฮุบ … ตอนหลังจึง รวบอำนาจมาอยู่ในมือกรูซะเอง กรูจะได้ไม่ต้องห่วงกลัวมันฮุบ)
4… ขุนปาน ขุนนางผู้อยู่ตรงกลาง ไม่ซ้ายจัด ขวาจัด แต่ก็ดูน่าลำบากใจมากๆ
แถมชอบมากกก ฉากที่จ้อยอธิบายให้พวกป้าปริกกับจวงฟัง
เป็นสัญลักษณ์ของ “จุดเปราะบาง ที่ทำให้คนเราแตกแยกทางความคิด”
ฉากนั้น เป็นเสมือนตัวแทนของคนไม่เข้าใจ จึงตีความไปตามที่ตนเข้าใจและกลัว(( ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ไง))
(คือคิดว่า พระนารายณ์ยอมเป็นเมืองขึ้นเค้าหรองี้)
______________________________________________________________________________
แถมเบรกอารมณ์การเมืองด้วยของกิน
โอยยยย กราบความเทพของคนทำละคร ตั้งแต่ผู้เขียนบทละคร ยันนักแสดง ยันช่างภาพ ยันคนตัดต่อ
เอาอีก เอาอีก เอาละครแบบนี้อีกกกก
นี่คือตัวอย่างของละคร ที่ไม่ต้องมีบทนางอิจฉาริษยา
แต่ลุ่มลึกไปหมด พลาดไม่ได้เลยจริงๆ
** แก้ไขพิมพ์ตกหล่นค่ะ**