ภาคต่อของหนังสัตว์ประหลาดปะทะหุ่นยนต์ยักษ์ปี 2013 ภายใต้การสร้างสรรค์ของผู้กำกับ Guillermo del Toro และเจ้าของเรื่องอย่าง Travis Beacham กลับมาพร้อมกับผู้กำกับใหม่อย่าง Steven S. DeKnight (ที่สร้างชื่อมาจาก TV series อย่าง Spartacus และ Daredevil)
แม้ Pacific Rim ภาคแรกจะได้เสียงตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ แต่รายได้ในอเมริกากลับไม่ดีนัก (ทำรายได้ไปแค่ 101 ล้าน U$D จากทุนสร้าง 190 ล้าน U$D)
แต่สิ่งที่ช่วยให้หนังรอดจากการขาดทุนหลายร้อยล้าน คือรายได้นอกอเมริกาที่มากถึง 309 ล้าน U$D โดยใน 309 ล้าน U$D นี้ มาจากจีนถึง 111 ล้าน U$D (ส่งผลให้ Pacific Rim ติดอันดับที่ 5 หนังทำเงินสูงสุดประจำปี 2013 ในประเทศจีน)
ดังนั้นเราจะเห็น Pacific Rim Uprising เอาใจตลาดจีนมากขึ้น ทั้งดาราและเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนมากกว่าเดิม
โทนของหนังภาคนี้เปลี่ยนไปจากเดิมค่อนข้างเยอะ โดยหนังเลือกที่จะลดความสำคัญของตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ต้องมาขับเยเกอร์คู่กัน รวมถึงลดความกดดันและแรงจูงใจของตัวละคร โดยหนังเลือกที่จะเล่าออกมาอย่างผิวเผิน แล้วให้ความสำคัญไปกับงานภาพ และฉาก Action แทน
ดังนั้นหนังจึงมีเรื่องราวที่ดูง่าย ไม่เคร่งเครียด เดินเรื่องฉับไว เป็นความบันเทิงแบบไม่ต้องคิดมาก
ข้อดีคือหนังพาผู้ชมพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนทำให้ลืมจุดบกพร่องรายทางของหนังและเป็นความบันเทิงราวกับเล่นรเครื่องเล่นในสวนสนุก
แต่มันก็มาพร้อมข้อเสียก็คือ เมื่อมีการเดินเรื่องที่รวดเร็วเกินไปมันทำให้หนังไม่มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครกับผู้ชม ไม่มีโอกาสในการใส่ความขัดแย้งและความตึงเครียด นั่นทำให้อารมณ์ร่วมของผู้ชมกับหนังหายไปเยอะพอสมควร
ดังนั้นหนังจึงไร้ซึ่งความประทับใจและความน่าจดจำ ในแบบที่ดูจบแล้วก็จบกันไป
หากไม่ยึดติดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังภาคต่อ ของ Pacific Rim หนังก็มีแนวทางในตัวของตัวเอง ที่โดดเด่นในด้านการสร้างความบันเทิงที่เหมาะสมกับผู้ชมที่ต้องการความบันเทิงแบบง่ายๆ เข้าถึงไม่ยาก
แต่หากชื่นชอบและติดใจ Pacific Rim ภาคแรก และคาดหวังว่าภาคต่อนี้จะรักษารูปแบบและท่าทีแบบต้นฉบับเดิมอยู่นั้น ต้องบอกว่า Pacific Rim Uprising ไม่ได้ตั้งใจที่จะนำเสนอตัวเองในรูปแบบนั้น
ดูแล้วชอบภาคไหนมากกว่า แล้วคิดเห็นอย่างไรมาคุยกันได้ครับ
[CR] <<< วิจารณ์ *** Pacific Rim Uprising *** >>> (ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)
แม้ Pacific Rim ภาคแรกจะได้เสียงตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ แต่รายได้ในอเมริกากลับไม่ดีนัก (ทำรายได้ไปแค่ 101 ล้าน U$D จากทุนสร้าง 190 ล้าน U$D)
แต่สิ่งที่ช่วยให้หนังรอดจากการขาดทุนหลายร้อยล้าน คือรายได้นอกอเมริกาที่มากถึง 309 ล้าน U$D โดยใน 309 ล้าน U$D นี้ มาจากจีนถึง 111 ล้าน U$D (ส่งผลให้ Pacific Rim ติดอันดับที่ 5 หนังทำเงินสูงสุดประจำปี 2013 ในประเทศจีน)
ดังนั้นเราจะเห็น Pacific Rim Uprising เอาใจตลาดจีนมากขึ้น ทั้งดาราและเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนมากกว่าเดิม
โทนของหนังภาคนี้เปลี่ยนไปจากเดิมค่อนข้างเยอะ โดยหนังเลือกที่จะลดความสำคัญของตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ต้องมาขับเยเกอร์คู่กัน รวมถึงลดความกดดันและแรงจูงใจของตัวละคร โดยหนังเลือกที่จะเล่าออกมาอย่างผิวเผิน แล้วให้ความสำคัญไปกับงานภาพ และฉาก Action แทน
ดังนั้นหนังจึงมีเรื่องราวที่ดูง่าย ไม่เคร่งเครียด เดินเรื่องฉับไว เป็นความบันเทิงแบบไม่ต้องคิดมาก
ข้อดีคือหนังพาผู้ชมพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนทำให้ลืมจุดบกพร่องรายทางของหนังและเป็นความบันเทิงราวกับเล่นรเครื่องเล่นในสวนสนุก
แต่มันก็มาพร้อมข้อเสียก็คือ เมื่อมีการเดินเรื่องที่รวดเร็วเกินไปมันทำให้หนังไม่มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครกับผู้ชม ไม่มีโอกาสในการใส่ความขัดแย้งและความตึงเครียด นั่นทำให้อารมณ์ร่วมของผู้ชมกับหนังหายไปเยอะพอสมควร
ดังนั้นหนังจึงไร้ซึ่งความประทับใจและความน่าจดจำ ในแบบที่ดูจบแล้วก็จบกันไป
หากไม่ยึดติดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังภาคต่อ ของ Pacific Rim หนังก็มีแนวทางในตัวของตัวเอง ที่โดดเด่นในด้านการสร้างความบันเทิงที่เหมาะสมกับผู้ชมที่ต้องการความบันเทิงแบบง่ายๆ เข้าถึงไม่ยาก
แต่หากชื่นชอบและติดใจ Pacific Rim ภาคแรก และคาดหวังว่าภาคต่อนี้จะรักษารูปแบบและท่าทีแบบต้นฉบับเดิมอยู่นั้น ต้องบอกว่า Pacific Rim Uprising ไม่ได้ตั้งใจที่จะนำเสนอตัวเองในรูปแบบนั้น
ดูแล้วชอบภาคไหนมากกว่า แล้วคิดเห็นอย่างไรมาคุยกันได้ครับ