ฉันทะ คือการรักในสิ่งที่ทำ นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการที่จะ
ทำงานหรือประกอบสัมมาชีพใด ๆ ให้ประสบความสำเร็จ
จำกัดความสั้น ๆ ก็คือต้องมี passion นั่นเอง แต่ก็นั่นแหละครับ
อะไรที่มันมากไปเกินพอดี ก็ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี
การที่เราลุ่มหลงกับการผลิตงาน โดยที่มุ่งหวังให้ให้ออกมาดีที่สุด
ลูกค้าพอใจที่สุด การรู้สึกฟินกับผลตอบรับดี ๆ จากลูกค้า
มันเหมือนเสพติด งานต่อ ๆ ไป ก็อยากทำให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ
จนเราใช้เวลากับมันมากไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้หลงลืมกับบทบาทหน้าที่อื่น ๆ
ที่ควรจะทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นกว่านี้ พูดง่าย ๆ คือ ถูกอารมณ์ติสครอบงำ
ผมได้ออกงานแฟร์หลาย ๆ ครั้ง ได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อน SME หลายๆราย
ที่มาออกบูทด้วยกัน ผมขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1.กลุ่มติส : พวกนี้งานที่ทำออกมาจะสวย ทำออกมาโดยไม่คิดเรื่องต้นทุน
เท่าไรนัก งานจะมีมากมายหลากหลายแบบ ส่วนใหญ่จบช่างศิลป์
เขามีความสุขที่ได้ผลิตงาน แล้วคนชื่นชอบ เขาก็คิดอยากขยายนะ
แต่พอใจกับปัจจุบันมากกว่า ไม่อยากหาความยุ่งยาก
ยอมขายน้อยชิ้นแต่กำไรมาก
2.กลุ่มดีไซน์เนอร์ : พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นใหม่ มีหน้าที่ออกแบบ
แล้วไปจ้างผลิตแทบทุกขั้นตอน งานจะออกมาแนวมินิมอล เน้นใช้วัตถุดิบดี ๆ
สินค้าจะมีน้อยแบบ แต่ละแบบปริมาณมาก กลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับการทำตลาด
การกระจายสินค้า ยอมขายกำไรน้อย แต่ได้วอลุ่มมาก
ที่น่าเศร้าคือ ผมอยู่ในกลุ่มที่ 3 คือครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระหว่าง 1กับ 2
คือมีความสุขกับการผลิตงานเอง แต่อยากขยายธุรกิจให้เติบโต
มันเลยดูเหมือนติดกับดักที่ไมอาจตัดใจไปทางใดทางหนึ่งได้
เพราะ
หลงใหล ในสิ่งที่
อยากทำ มากไป
ก็เลยทำให้
หลงลืม ในสิ่งที่
ต้องทำ
กับดัก SMEs (เพราะรักมากไป...)
ทำงานหรือประกอบสัมมาชีพใด ๆ ให้ประสบความสำเร็จ
จำกัดความสั้น ๆ ก็คือต้องมี passion นั่นเอง แต่ก็นั่นแหละครับ
อะไรที่มันมากไปเกินพอดี ก็ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี
การที่เราลุ่มหลงกับการผลิตงาน โดยที่มุ่งหวังให้ให้ออกมาดีที่สุด
ลูกค้าพอใจที่สุด การรู้สึกฟินกับผลตอบรับดี ๆ จากลูกค้า
มันเหมือนเสพติด งานต่อ ๆ ไป ก็อยากทำให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ
จนเราใช้เวลากับมันมากไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้หลงลืมกับบทบาทหน้าที่อื่น ๆ
ที่ควรจะทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นกว่านี้ พูดง่าย ๆ คือ ถูกอารมณ์ติสครอบงำ
ผมได้ออกงานแฟร์หลาย ๆ ครั้ง ได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อน SME หลายๆราย
ที่มาออกบูทด้วยกัน ผมขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1.กลุ่มติส : พวกนี้งานที่ทำออกมาจะสวย ทำออกมาโดยไม่คิดเรื่องต้นทุน
เท่าไรนัก งานจะมีมากมายหลากหลายแบบ ส่วนใหญ่จบช่างศิลป์
เขามีความสุขที่ได้ผลิตงาน แล้วคนชื่นชอบ เขาก็คิดอยากขยายนะ
แต่พอใจกับปัจจุบันมากกว่า ไม่อยากหาความยุ่งยาก
ยอมขายน้อยชิ้นแต่กำไรมาก
2.กลุ่มดีไซน์เนอร์ : พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นใหม่ มีหน้าที่ออกแบบ
แล้วไปจ้างผลิตแทบทุกขั้นตอน งานจะออกมาแนวมินิมอล เน้นใช้วัตถุดิบดี ๆ
สินค้าจะมีน้อยแบบ แต่ละแบบปริมาณมาก กลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับการทำตลาด
การกระจายสินค้า ยอมขายกำไรน้อย แต่ได้วอลุ่มมาก
ที่น่าเศร้าคือ ผมอยู่ในกลุ่มที่ 3 คือครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระหว่าง 1กับ 2
คือมีความสุขกับการผลิตงานเอง แต่อยากขยายธุรกิจให้เติบโต
มันเลยดูเหมือนติดกับดักที่ไมอาจตัดใจไปทางใดทางหนึ่งได้
เพราะ หลงใหล ในสิ่งที่ อยากทำ มากไป
ก็เลยทำให้ หลงลืม ในสิ่งที่ ต้องทำ