เนื่องจากเรามีพ่อที่ป่วยเป็นโรงสมองเสื่อม และจิตเวช
เราจึงเริ่มต้นเรื่องโดยการค้นหาโรงพยาบาลรัฐบาลที่เป็นหมอเฉพาะทาง เพื่อรักษาให้ตรงจุด
เราจึงเลือกที่จะเดินเข้าโรงพยาบาลเอง ออกค่ารักษายาเอง
แต่ในวันที่ คุณพ่อต้องแอดมิดโรงพยาบาลด้วยโรคนี้แบบ ไม่มีกำหนด เพราะไม่มีศูนย์ดูแลที่ไหนรับคุณพ่อได้
เราจึงจำเป็นต้องให้อยู่โรงพยาบาลเพื่อให้ยาได้ถูกกับโรค และอาจจะใช้เวลานานเป็นเดือน
ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็นเท่าตัว ค่อนข้างหนักสำหรับเรามาก เราเป็นลูกคนเดียว และตอนนี้ไม่มีญาติที่ไหนอยากยุ่งเพราะพ่อเป็นภาระต่อพวกเขา
ดังนั้นวันนี้ เราจึง กลับไปดำเนินการขอหนังสือส่งตัว จากคลีนิคต้นสังกัด เพื่อขอให้ส่งตัวมารักษาคุณพ่อ
แต่ทางคลีนิคได้ให้เหตุผลว่า "ระเบียบการรักษา" ดังนี้
ถ้าคุณจะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลอื่น จะต้องพาคนไข้มาให้ที่คลีนิคต้นสังกัดตรวจก่อน ถ้ารักษาไม่ได้ จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่สอง
และโรงพยาบาลที่สองจะพิจารณาส่งตัวคนไข้อีกครั้ง ถึงจะออกใบส่งตัวให้ได้ โดยถ้าส่งตัวได้จะต้องดำเนินการดังนี้
1. คุณจะต้องมีใบหมอนัดจากโรงพยาบาลที่ไปรักษา
2. คุณจะต้องไปทำเรื่องขอใบส่งตัว ต้นสังกัด (สถานรักษา ที่ 1 ก่อน 3 วัน) และในเวลาราชการ และใบส่งตัวนี้มีอายุแค่ 7 วัน
3. หลังจากได้ใบส่งตัวที่ 1 คุณจะต้องไปขอใบส่งตัวสถานรักษาที่ 2 (รวมใบส่งตัว จำนวน 2 ใบ) และต้องไปในเวลาราชการ
4. คุณถึงจะนำใบส่งตัว 2 ใบ พาคนไข้ไปรักษาได้ และรักษาโรงพยาบาลรัฐบาลในเวลาราชการเช่นกัน
5. ทั้งหมดนี้ถ้าคนไข้จะต้องไปหาหมออีก จะต้องวนทำใหม่ทุกครั้ง
ยังไม่หมดนะค่ะ ขั้นตอน
6. ถ้ากรณีแอดมิดแล้วจำเป็นจะต้องออกใบส่งตัวให้จริงๆ คุณจะต้องให้พ่อออกจากโรงพยาบาลมาหาที่คลีนิคต้นสังกัดก่อนแล้วมาขอใบส่งตัวใหม่จึงจะกลับไปแอดมิดได้ซึ่งก็จะต้องวนลูบข้างบนนั้นตามที่ได้กล่าวมาข้อ 1-4
ปัญหาคือ
1. วันนี้ถ้าคุณต้อง ดูแลคนไข้คนเดียว คุณสามารถทำได้ไหม
2. ในฐานะคนใช้สิทธิ์ เราทำงานประจำ แล้วต้องพาไปหาหมอ 1-2 เดือนครั้ง ใน 1 ปี คุณจะต้องลางานกี่ครั้ง
กรณีต้องดูอาการต่อเนื่อง 1 เดือนครั้ง = คุณต้องลาวันทำงานในเวลาราชการ 1 เดือน = 3 วัน เพื่อไปหาหมอ 1 ครั้ง = 1 ปี อาจจะต้องลาถึง 36 วัน ในชีวิตจริงมีนายจ้างที่ไหนจะอนุญาตลาได้บ้าง (กรณีที่จำเป็นต้องติดตามผลเรื่องยาและอาการอย่างใกล้ชิด)
กรณีต้องดูอาการต่อเนื่อง 2 เดือนครั้ง = คุณต้องลาวันทำงานในเวลาราชการ 2 เดือน = 3 วัน เพื่อไปหาหมอ 1 ครั้ง = 1 ปี อาจจะต้องลาถึง 18 วัน คุณจะทำงานแบบนี้แล้วจะเกรงใจเจ้านายและเพื่อนร่วมงานมากๆ ค่ะ (แต่สำหรับใครที่เข้าใจก็ต้องกราบขอบพระคุณมากจริงๆ)
3. กรณีนี้ถ้าคนทำงานได้ค่าจ้างรายวัน จะอยู่ได้ไหม
4. ที่กล่าวมาในข้อ 2 ยังไม่รวมหากคนไข้จะต้องแสกนอื่นๆ เพิ่ม ตรวจเลือด เจาะเลือด เอ็กซเรย์อย่างอื่น ซึ่งจะต้องใช้วันราชการเช่นกัน
5. คนป่วยสมองเสื่อมและจิตเวช จริงๆ สามารถพาไปดำเนินเรื่องตามขั้นตอนหลายอย่างแบบนี้ได้ง่ายหรือไม่
ทั้งหมดเราไม่ได้อยากกล่าวอ้าง หรือกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของใคร เพียงแค่ถ้าเราเป็นคนไม่มีเงินดูแลพ่อแม่หรือคนที่ตัวเองรักเลย จะทำอย่างไรได้บ้าง
อนาคต สังคมผู้สูงอายุมีมาก และจำนวนการเกิดของประชากรก็ดูมีเกณฑ์จะน้อยลง การดูแลคนป่วยผู้สูงอายุ หรือกรณีแบบนี้จะต้องทำอย่างไร
สำหรับคลีนิคที่ต้นสังกัด
ระบบที่เป็นแบบนี้ เราเองเข้าใจว่าเป็นการตรวจสอบประวัติคนไข้ทุกครั้งต่อการรักษา และอื่นๆ
สำหรับโรงพยาบาลที่รักษา
โรงพยาบาลที่เราไปรักษาก็พยายามทำจดหมายชี้แจ้งให้เราถึง 2 ครั้งโดยละเอียด ซึ่งครั้งที่ 1 เราดำเนินการติดต่อคลินิกต้นสังกัดไปแล้ว และได้รับการปฏิเสธมา ด้วยเหตุผลเรื่องกฎระเบียบด้านบน
โรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษาจึงออกจดหมายให้ครั้งที่ 2 ซึ่งเรายังไม่ได้ยื่น เพราะความหวังมันลิบหลี่มากหลังจากที่ได้คุยกับทางคลินิกต้นสังกัดมาแล้วและก็ต้องลางานไปอีก และถึงจะสำเร็จ เราจะต้องวนลูบการขอส่งตัวแบบนี้ทุกครั้งหลังจากที่คนไข้สามารถกลับมาอยู่บ้านและไปหาหมอเป็นรอบๆ ดังกล่าว ซึ่งเราทำไม่ได้
สำหรับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
เสนอให้เราให้คุณพ่อใช้สิทธิ์ผู้พิการ เนื่องจากจริงๆ ท่านคงกลับไปทำงานอีกไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นทางออกของคนไม่มีทางเลือก
สุดท้าย
อย่างที่บอกไปเบื้องต้น การเขียนเรื่องนี้ไม่ใช่อยากจะกล่าวโทษใคร แต่คำถามคือ สิ่งใดคือการช่วยเหลือคนจน ผู้เดือดร้อน อย่างแท้จริง
เข้าใจอยู่ว่าต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่เราเองก็พยายามจะแบกรับหน้าที่นี้เองหากยังพอทำได้ ซึ่งในจุดนึงที่มันลำบากและยากมาก เราจะพึ่งพาสิทธิ์เหล่านี้ได้ไหม
หากใครมีประสบการณ์ ช่วยแนะนำเราที มีทางออกจริงๆ อย่างไร
หรือ มีเหตุผลอื่นๆ ที่เรายังไม่เข้าใจ หรือนี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้วต่อการช่วยเหลือประชาชน??
การขอใบส่งตัวจากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำไมถึงลำบากต่อคนที่หาเช้ากินค่ำขนาดนี้
เราจึงเริ่มต้นเรื่องโดยการค้นหาโรงพยาบาลรัฐบาลที่เป็นหมอเฉพาะทาง เพื่อรักษาให้ตรงจุด
เราจึงเลือกที่จะเดินเข้าโรงพยาบาลเอง ออกค่ารักษายาเอง
แต่ในวันที่ คุณพ่อต้องแอดมิดโรงพยาบาลด้วยโรคนี้แบบ ไม่มีกำหนด เพราะไม่มีศูนย์ดูแลที่ไหนรับคุณพ่อได้
เราจึงจำเป็นต้องให้อยู่โรงพยาบาลเพื่อให้ยาได้ถูกกับโรค และอาจจะใช้เวลานานเป็นเดือน
ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็นเท่าตัว ค่อนข้างหนักสำหรับเรามาก เราเป็นลูกคนเดียว และตอนนี้ไม่มีญาติที่ไหนอยากยุ่งเพราะพ่อเป็นภาระต่อพวกเขา
ดังนั้นวันนี้ เราจึง กลับไปดำเนินการขอหนังสือส่งตัว จากคลีนิคต้นสังกัด เพื่อขอให้ส่งตัวมารักษาคุณพ่อ
แต่ทางคลีนิคได้ให้เหตุผลว่า "ระเบียบการรักษา" ดังนี้
ถ้าคุณจะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลอื่น จะต้องพาคนไข้มาให้ที่คลีนิคต้นสังกัดตรวจก่อน ถ้ารักษาไม่ได้ จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่สอง
และโรงพยาบาลที่สองจะพิจารณาส่งตัวคนไข้อีกครั้ง ถึงจะออกใบส่งตัวให้ได้ โดยถ้าส่งตัวได้จะต้องดำเนินการดังนี้
1. คุณจะต้องมีใบหมอนัดจากโรงพยาบาลที่ไปรักษา
2. คุณจะต้องไปทำเรื่องขอใบส่งตัว ต้นสังกัด (สถานรักษา ที่ 1 ก่อน 3 วัน) และในเวลาราชการ และใบส่งตัวนี้มีอายุแค่ 7 วัน
3. หลังจากได้ใบส่งตัวที่ 1 คุณจะต้องไปขอใบส่งตัวสถานรักษาที่ 2 (รวมใบส่งตัว จำนวน 2 ใบ) และต้องไปในเวลาราชการ
4. คุณถึงจะนำใบส่งตัว 2 ใบ พาคนไข้ไปรักษาได้ และรักษาโรงพยาบาลรัฐบาลในเวลาราชการเช่นกัน
5. ทั้งหมดนี้ถ้าคนไข้จะต้องไปหาหมออีก จะต้องวนทำใหม่ทุกครั้ง
ยังไม่หมดนะค่ะ ขั้นตอน
6. ถ้ากรณีแอดมิดแล้วจำเป็นจะต้องออกใบส่งตัวให้จริงๆ คุณจะต้องให้พ่อออกจากโรงพยาบาลมาหาที่คลีนิคต้นสังกัดก่อนแล้วมาขอใบส่งตัวใหม่จึงจะกลับไปแอดมิดได้ซึ่งก็จะต้องวนลูบข้างบนนั้นตามที่ได้กล่าวมาข้อ 1-4
ปัญหาคือ
1. วันนี้ถ้าคุณต้อง ดูแลคนไข้คนเดียว คุณสามารถทำได้ไหม
2. ในฐานะคนใช้สิทธิ์ เราทำงานประจำ แล้วต้องพาไปหาหมอ 1-2 เดือนครั้ง ใน 1 ปี คุณจะต้องลางานกี่ครั้ง
กรณีต้องดูอาการต่อเนื่อง 1 เดือนครั้ง = คุณต้องลาวันทำงานในเวลาราชการ 1 เดือน = 3 วัน เพื่อไปหาหมอ 1 ครั้ง = 1 ปี อาจจะต้องลาถึง 36 วัน ในชีวิตจริงมีนายจ้างที่ไหนจะอนุญาตลาได้บ้าง (กรณีที่จำเป็นต้องติดตามผลเรื่องยาและอาการอย่างใกล้ชิด)
กรณีต้องดูอาการต่อเนื่อง 2 เดือนครั้ง = คุณต้องลาวันทำงานในเวลาราชการ 2 เดือน = 3 วัน เพื่อไปหาหมอ 1 ครั้ง = 1 ปี อาจจะต้องลาถึง 18 วัน คุณจะทำงานแบบนี้แล้วจะเกรงใจเจ้านายและเพื่อนร่วมงานมากๆ ค่ะ (แต่สำหรับใครที่เข้าใจก็ต้องกราบขอบพระคุณมากจริงๆ)
3. กรณีนี้ถ้าคนทำงานได้ค่าจ้างรายวัน จะอยู่ได้ไหม
4. ที่กล่าวมาในข้อ 2 ยังไม่รวมหากคนไข้จะต้องแสกนอื่นๆ เพิ่ม ตรวจเลือด เจาะเลือด เอ็กซเรย์อย่างอื่น ซึ่งจะต้องใช้วันราชการเช่นกัน
5. คนป่วยสมองเสื่อมและจิตเวช จริงๆ สามารถพาไปดำเนินเรื่องตามขั้นตอนหลายอย่างแบบนี้ได้ง่ายหรือไม่
ทั้งหมดเราไม่ได้อยากกล่าวอ้าง หรือกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของใคร เพียงแค่ถ้าเราเป็นคนไม่มีเงินดูแลพ่อแม่หรือคนที่ตัวเองรักเลย จะทำอย่างไรได้บ้าง
อนาคต สังคมผู้สูงอายุมีมาก และจำนวนการเกิดของประชากรก็ดูมีเกณฑ์จะน้อยลง การดูแลคนป่วยผู้สูงอายุ หรือกรณีแบบนี้จะต้องทำอย่างไร
สำหรับคลีนิคที่ต้นสังกัด
ระบบที่เป็นแบบนี้ เราเองเข้าใจว่าเป็นการตรวจสอบประวัติคนไข้ทุกครั้งต่อการรักษา และอื่นๆ
สำหรับโรงพยาบาลที่รักษา
โรงพยาบาลที่เราไปรักษาก็พยายามทำจดหมายชี้แจ้งให้เราถึง 2 ครั้งโดยละเอียด ซึ่งครั้งที่ 1 เราดำเนินการติดต่อคลินิกต้นสังกัดไปแล้ว และได้รับการปฏิเสธมา ด้วยเหตุผลเรื่องกฎระเบียบด้านบน
โรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษาจึงออกจดหมายให้ครั้งที่ 2 ซึ่งเรายังไม่ได้ยื่น เพราะความหวังมันลิบหลี่มากหลังจากที่ได้คุยกับทางคลินิกต้นสังกัดมาแล้วและก็ต้องลางานไปอีก และถึงจะสำเร็จ เราจะต้องวนลูบการขอส่งตัวแบบนี้ทุกครั้งหลังจากที่คนไข้สามารถกลับมาอยู่บ้านและไปหาหมอเป็นรอบๆ ดังกล่าว ซึ่งเราทำไม่ได้
สำหรับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
เสนอให้เราให้คุณพ่อใช้สิทธิ์ผู้พิการ เนื่องจากจริงๆ ท่านคงกลับไปทำงานอีกไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นทางออกของคนไม่มีทางเลือก
สุดท้าย
อย่างที่บอกไปเบื้องต้น การเขียนเรื่องนี้ไม่ใช่อยากจะกล่าวโทษใคร แต่คำถามคือ สิ่งใดคือการช่วยเหลือคนจน ผู้เดือดร้อน อย่างแท้จริง
เข้าใจอยู่ว่าต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่เราเองก็พยายามจะแบกรับหน้าที่นี้เองหากยังพอทำได้ ซึ่งในจุดนึงที่มันลำบากและยากมาก เราจะพึ่งพาสิทธิ์เหล่านี้ได้ไหม
หากใครมีประสบการณ์ ช่วยแนะนำเราที มีทางออกจริงๆ อย่างไร
หรือ มีเหตุผลอื่นๆ ที่เรายังไม่เข้าใจ หรือนี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้วต่อการช่วยเหลือประชาชน??