เนื่องจากมีคนรีริวการขอวีซ่าอเมริกาแบบละเอียดไว้หลายคนแล้ว เราก็เลยรีวิวเป็นขั้นตอนๆ ไป
รวมทั้งขั้นตอนลัดบ้างนิดหน่อย เนื่องจากโทรสอบถามเจ้าหน้าที่สถานทูตให้ช่วยตอนกรอกด้วยค่ะ
และเพิ่มข้อสังเกตส่วนตัวจากประสบการณ์ในการสัมภาษณ์และเตรียมเอกสารค่ะ
เบื้องต้นควรเตรียมตัวก่อนอย่างน้อยสัก 2 เดือนนะคะ กรณีเรานั้นเบ็ดเสร็จทุกอย่างใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนค่ะ
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ จองตั๋วก่อนเพราะพอดีตั้งใจจะไปด่วนมาก อยากไปเยี่ยมโฮสต์ซึ่งเค้าป่วยเป็นมะเร็งค่ะ
และได้โปรราคาดี ก็คิดว่าลองเสี่ยงเอา จองตั๋วเอมิเรสต์ 27,400 บาทลง JFK (เดินทาง 20 เมษายน -12 พฤษภาคม 2561)
ขอจดหมายรับรองการทำงาน แต่มีเวลาได้เริ่มกรอกเอกสารต้นเดือนมีนาคม จ่ายเงิน แล้วนัดสัมภาษณ์ได้เร็วสุด 30 เมษายน 2561 (ใจแป้วเลยค่ะตอนแรก แต่มีคนบอกว่า ให้ลองเข้าไปดูเรื่อยๆ เราเข้าไปดูบ่อยจนระบบเตือนว่า คุณเข้าดูเกินจำนวนครั้งที่เข้าได้ในแต่ละวัน T_T)
เข้าไปดูระบบเพื่อขอเลื่อนนัดอีกทีวันที่ 9 มีนาคม 2561 มีวันว่างเพิ่มเร็วขึ้น ได้สัมภาษณ์ 13 มีนาคม 2561
1. ไปถ่ายรูปให้เรียบร้อยแนะนำร้านโจ๊กแจ๊กโฟโต้ตรงบีทีเอสทองหล่อ ขอไฟล์มาด้วยนะคะ เค้าส่งเมลมาให้ง่ายดีค่ะ
รวมทั้งเอกสารที่จะเอาไปวันสัมภาษณ์ไม่ต้องแปลไทยนะคะ แต่อะไรขอเป็นภาษาอังกฤษได้ก็ขอ เช่น สเตทเมนต์ ใบรับรองการทำงาน เอกสารแสดงรายได้ แผนการเดินทาง พาสปอร์ตเล่มเก่าทั้งหมด เป็นต้น
2. กรอกข้อมูลให้เรียบร้อย ที่เว็บนี้
https://ceac.state.gov/genniv/ เลือกเป็นแบบ B นะคะ Business/Tourist

3. กรอกเสร็จก็เซฟหน้าสุดท้าย จะมี DS-160 confirmation number ก็จดไว้ให้เรียบร้อยและปรินท์ออกมาด้วย
4. ไปสมัครเว็บ
http://www.ustraveldocs.com/th/index.html?firstTime=No เข้าไปครั้งแรกก็กดตรง Login กรอกข้อมูลต่างๆ แล้วตรวจความถูกต้องของข้อมูลให้ดี

5. ปรินท์ใบจ่ายเงินซึ่งจะมีหมายเลขนำจ่าย่ไปจ่ายที่ ธนาคารกรุงศรี
มีสองใบที่ต้องปรินท์
5.1
http://www.ustraveldocs.com/th/BAYDepositSlip.pdf

5.2
http://www.ustraveldocs.com/th/th-svc-groupappointment.asp แล้วเลือกที่ Visa Type B แล้วเลือก Select quanitity เป็น 1 จะมีหน้าต่างใหม่ออกมาหน้าตาแบบนี้ หนึ่งคนต่อหนึ่งใบนะคะ ยกเว้นสัมภาษณ์เป็นกลุ่มก็เลือกตามจำนวนคนที่ต้องการค่ะ

(เจ้าหน้าที่สถานทูตแนะนำให้ปรินท์จากหน้านี้ค่ะ ไม่ว่าจะสัมเดี่ยวหรือกลุ่ม เผื่อเกิดข้อผิดพลาดมันจะเป็นใบอิสระที่ไม่ได้ผูกติดกับหมายเลขพาสปอร์ต)
6.หลังจากจ่ายเงินก็รออีเมลคอนเฟิร์มซึ่งส่วนใหญ่จะได้วันรุ่งขึ้น เราก็เอารหัส Receipt Number For Scheduling ไปกรอกในเว้็บ Ustraveldocs แล้วก็เลือกวันสัมภาษณ์ ซึ่งเลื่อนวันสัมภาษณ์ได้ 3 ครั้ง เลือกวันที่เร็วที่สุดไปก่อน แล้วคอยเข้าดูเว็บในช่วงบ่ายของวันต่อไป จะมีวันที่เร็วขึ้นให้เลือก
7. วันไปสัมภาษณ์ไปล่วงหน้าสักหนึ่งชั่วโมง บีทีเอสเพลินจิต ทางออก 5 นั่งวินหรือเดินก็ได้
มือถือติดตัวได้คนละ 1 เครื่องเท่านั้นและอย่าลืมบัตรประชาชนสำหรับแนบตอนฝากมือถือ ถ้ามีแก็ดเจทอื่นๆ โน้ตบุ๊ค กล้อง กระเป๋าใบใหญ่พวกเป้ไปฝากให้เรียบร้อยตรงแฟมิลี่มาร์ทก่อนถึงสถานทูต ค่าฝาก 100 บาท
8. เอกสารที่ต้องแสดงวันสัมภาษณ์ พาสปอร์ต ใบคอนเฟิร์ม DS160 รูปถ่าย แค่นั้น
9. แต่งตัวให้เรียบร้อย เอาที่สบายตัวด้วย ไปถึงก็ไปรับบัตรคิวเข้าสถานทูต หลังจากนั้นก้็ทำตามเจ้าหน้าที่บอก
10. เข้าไปนั่งรอรับเพื่อยื่นเอกสารอีกครั้งและรับรหัส ems ให้จดเพื่อไว้เช็คสถานะเล่มเมื่อวีซ่าผ่าน จะได้แฟ้มใสพร้อมเอกสาร ไม่ต้องขยับอะไรทั้งนั้น
11. เดินเข้าห้องสัมภาษณ์ ไปยืนต่อคิว ช่อง 12-15 ตรวจเอกสารตอบคำถามเจ้าหน้าที่คนไทย สแกนนิ้ว 10 นิ้ว แล้วไปที่ช่อง 11 ให้ฝรั่งสแกนบาร์โค้ดจากแฟ้มใส แนบกระจกเลยไม่ต้องดึงเอกสารออก สแกนนิ้วอีกครั้ง
12. ยืนเข้าคิวรอเรียกสัมภาษณ์
13. ได้ช่อง 9 เป็นฝรั่งผู้หญิงผมยาวหยิก (ช่องอื่นบางคนก็คุยเป็นภาษาไทยนะคะ ไม่ต้องกลัวค่ะ)
Q1: Where are you going?
A1: Connecticut
Q2: Why are you going to Connecticut?
A2: To travel and visit my host family.
Q3: What did you do in Connecticut in 2004?
A3: I was an Aupair.
Q4: How long have you been doing you job?
A4: Actually 15 Years.
Q5: Ok, your visa's approved
14. เสร็จแล้วก็ออกมารับมือถือกับบัตรประชาชนคืนแค่นั้นค่ะ
15. รอวีซ่าประมาณสามวัน ได้มา 10 ปีดีใจมาก
ข้อสังเกตสำหรับการขอวีซ่าและการสัมภาษณ์นะคะ
1. กรอกข้อมูลใน DS160 ให้ตรงกับความเป็นจริงนะคะ เราว่าตรงนี้สำคัญที่สุด และควรกรอกเองค่ะ ถ้าสงสัยโทรถามเจ้าหน้าที่ให้ช่วยค่ะ กรอกไป โทรคุยไปเลยค่ะที่เบอร์ 02 205 4000 เจ้าหน้าที่ใจดีค่ะ บางคนบอกว่า อย่าไปบอกว่า รู้จักใครที่อเมริกา จะทำให้ไม่ได้วีซ่า เรากรอกทุกอย่างเลยค่ะ เคยได้ใบขับขี่ เลขที่บ้านของโฮสต์ที่เราเคยไปเป็นออแพร์ อันนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนแล้วกันนะคะ
2. พยายามเซฟไปกรอกไปนะคะ เผื่อบางทีเนตหลุด ไฟดับ จะได้ไม่ต้องกรอกใหม่ทั้งหมด
3. รีเช็คข้อมูลให้ดีๆ ค่ะอย่าพลาด โดยเฉพาะชื่อ นามสกุล หมายเลขพาสปอร์ต หมายเลขต่างๆ เราพลาดมาแล้ว กรอกเลขพาสปอร์ตผิด ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมขอวีซ่าใหม่ สรุปเสียสองรอบ
4. ตอนสัมภาษณ์ ตอบคำถามให้ตรงกับข้อมูลที่กรอกนะคะ เพราะเราเห็นเจ้าหน้าที่เค้าถามเราแต่ไม่ได้มองเราเท่าไหร่ จะมองหน้าจอ
เหมือนเช็คว่า ขัอมูลที่กรอก กับคำตอบของเรามันตรงกันไหม ดังนั้น ตอบให้ชัดเจน มั่นใจ และยิ้มแย้มค่ะ
5. สิ่งสำคัญเพื่อแสดงเจตนาว่าเรากลับมาแน่และเราสามารถสปอนเซอร์ตัวเองได้ เราคิดว่า จำนวนปีในการทำงาน รายได้ที่เหมาะสม ประวัติการเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ รวมทั้งจุดประสงค์ในการไปครั้งนี้ เช่น ท่องเที่ยว เยี่ยมญาติ ชื่อรัฐ จำนวนวันในการเดินทาง น่าจะมีผลค่ะ
6. ของเราเจ้าหน้าที่ไม่ขอดูเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติมเลยค่ะ นอกจากพาสปอร์ตเล่มปัจจุบันและใบคอนเฟิร์ม DS160 แต่ก็ควรเตรียมไปเพราะแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ
7. เผื่อใครจะต้องลางาน เผื่อเวลาไว้ขั้นต่ำ 2 ชั่วโมงนะคะ เรานัดสัมภาษณ์ 9.30 เราไปถึงตอนประมาณแปดโมง มีนักศึกษามาขอวีซ่า J1 กันเยอะมากค่ะ รวมเวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ
ขอให้โชคดีนะคะ สงสัยก็สอบถามหลังไมค์ได้ค่ะ
ขั้นตอนง่ายๆ ข้อมูล ข้อสังเกต วีซ่าอเมริกา มีนาคม 2018
รวมทั้งขั้นตอนลัดบ้างนิดหน่อย เนื่องจากโทรสอบถามเจ้าหน้าที่สถานทูตให้ช่วยตอนกรอกด้วยค่ะ
และเพิ่มข้อสังเกตส่วนตัวจากประสบการณ์ในการสัมภาษณ์และเตรียมเอกสารค่ะ
เบื้องต้นควรเตรียมตัวก่อนอย่างน้อยสัก 2 เดือนนะคะ กรณีเรานั้นเบ็ดเสร็จทุกอย่างใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนค่ะ
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ จองตั๋วก่อนเพราะพอดีตั้งใจจะไปด่วนมาก อยากไปเยี่ยมโฮสต์ซึ่งเค้าป่วยเป็นมะเร็งค่ะ
และได้โปรราคาดี ก็คิดว่าลองเสี่ยงเอา จองตั๋วเอมิเรสต์ 27,400 บาทลง JFK (เดินทาง 20 เมษายน -12 พฤษภาคม 2561)
ขอจดหมายรับรองการทำงาน แต่มีเวลาได้เริ่มกรอกเอกสารต้นเดือนมีนาคม จ่ายเงิน แล้วนัดสัมภาษณ์ได้เร็วสุด 30 เมษายน 2561 (ใจแป้วเลยค่ะตอนแรก แต่มีคนบอกว่า ให้ลองเข้าไปดูเรื่อยๆ เราเข้าไปดูบ่อยจนระบบเตือนว่า คุณเข้าดูเกินจำนวนครั้งที่เข้าได้ในแต่ละวัน T_T)
เข้าไปดูระบบเพื่อขอเลื่อนนัดอีกทีวันที่ 9 มีนาคม 2561 มีวันว่างเพิ่มเร็วขึ้น ได้สัมภาษณ์ 13 มีนาคม 2561
1. ไปถ่ายรูปให้เรียบร้อยแนะนำร้านโจ๊กแจ๊กโฟโต้ตรงบีทีเอสทองหล่อ ขอไฟล์มาด้วยนะคะ เค้าส่งเมลมาให้ง่ายดีค่ะ
รวมทั้งเอกสารที่จะเอาไปวันสัมภาษณ์ไม่ต้องแปลไทยนะคะ แต่อะไรขอเป็นภาษาอังกฤษได้ก็ขอ เช่น สเตทเมนต์ ใบรับรองการทำงาน เอกสารแสดงรายได้ แผนการเดินทาง พาสปอร์ตเล่มเก่าทั้งหมด เป็นต้น
2. กรอกข้อมูลให้เรียบร้อย ที่เว็บนี้ https://ceac.state.gov/genniv/ เลือกเป็นแบบ B นะคะ Business/Tourist
3. กรอกเสร็จก็เซฟหน้าสุดท้าย จะมี DS-160 confirmation number ก็จดไว้ให้เรียบร้อยและปรินท์ออกมาด้วย
4. ไปสมัครเว็บ http://www.ustraveldocs.com/th/index.html?firstTime=No เข้าไปครั้งแรกก็กดตรง Login กรอกข้อมูลต่างๆ แล้วตรวจความถูกต้องของข้อมูลให้ดี
5. ปรินท์ใบจ่ายเงินซึ่งจะมีหมายเลขนำจ่าย่ไปจ่ายที่ ธนาคารกรุงศรี
มีสองใบที่ต้องปรินท์
5.1 http://www.ustraveldocs.com/th/BAYDepositSlip.pdf
5.2 http://www.ustraveldocs.com/th/th-svc-groupappointment.asp แล้วเลือกที่ Visa Type B แล้วเลือก Select quanitity เป็น 1 จะมีหน้าต่างใหม่ออกมาหน้าตาแบบนี้ หนึ่งคนต่อหนึ่งใบนะคะ ยกเว้นสัมภาษณ์เป็นกลุ่มก็เลือกตามจำนวนคนที่ต้องการค่ะ
6.หลังจากจ่ายเงินก็รออีเมลคอนเฟิร์มซึ่งส่วนใหญ่จะได้วันรุ่งขึ้น เราก็เอารหัส Receipt Number For Scheduling ไปกรอกในเว้็บ Ustraveldocs แล้วก็เลือกวันสัมภาษณ์ ซึ่งเลื่อนวันสัมภาษณ์ได้ 3 ครั้ง เลือกวันที่เร็วที่สุดไปก่อน แล้วคอยเข้าดูเว็บในช่วงบ่ายของวันต่อไป จะมีวันที่เร็วขึ้นให้เลือก
7. วันไปสัมภาษณ์ไปล่วงหน้าสักหนึ่งชั่วโมง บีทีเอสเพลินจิต ทางออก 5 นั่งวินหรือเดินก็ได้
มือถือติดตัวได้คนละ 1 เครื่องเท่านั้นและอย่าลืมบัตรประชาชนสำหรับแนบตอนฝากมือถือ ถ้ามีแก็ดเจทอื่นๆ โน้ตบุ๊ค กล้อง กระเป๋าใบใหญ่พวกเป้ไปฝากให้เรียบร้อยตรงแฟมิลี่มาร์ทก่อนถึงสถานทูต ค่าฝาก 100 บาท
8. เอกสารที่ต้องแสดงวันสัมภาษณ์ พาสปอร์ต ใบคอนเฟิร์ม DS160 รูปถ่าย แค่นั้น
9. แต่งตัวให้เรียบร้อย เอาที่สบายตัวด้วย ไปถึงก็ไปรับบัตรคิวเข้าสถานทูต หลังจากนั้นก้็ทำตามเจ้าหน้าที่บอก
10. เข้าไปนั่งรอรับเพื่อยื่นเอกสารอีกครั้งและรับรหัส ems ให้จดเพื่อไว้เช็คสถานะเล่มเมื่อวีซ่าผ่าน จะได้แฟ้มใสพร้อมเอกสาร ไม่ต้องขยับอะไรทั้งนั้น
11. เดินเข้าห้องสัมภาษณ์ ไปยืนต่อคิว ช่อง 12-15 ตรวจเอกสารตอบคำถามเจ้าหน้าที่คนไทย สแกนนิ้ว 10 นิ้ว แล้วไปที่ช่อง 11 ให้ฝรั่งสแกนบาร์โค้ดจากแฟ้มใส แนบกระจกเลยไม่ต้องดึงเอกสารออก สแกนนิ้วอีกครั้ง
12. ยืนเข้าคิวรอเรียกสัมภาษณ์
13. ได้ช่อง 9 เป็นฝรั่งผู้หญิงผมยาวหยิก (ช่องอื่นบางคนก็คุยเป็นภาษาไทยนะคะ ไม่ต้องกลัวค่ะ)
Q1: Where are you going?
A1: Connecticut
Q2: Why are you going to Connecticut?
A2: To travel and visit my host family.
Q3: What did you do in Connecticut in 2004?
A3: I was an Aupair.
Q4: How long have you been doing you job?
A4: Actually 15 Years.
Q5: Ok, your visa's approved
14. เสร็จแล้วก็ออกมารับมือถือกับบัตรประชาชนคืนแค่นั้นค่ะ
15. รอวีซ่าประมาณสามวัน ได้มา 10 ปีดีใจมาก
ข้อสังเกตสำหรับการขอวีซ่าและการสัมภาษณ์นะคะ
1. กรอกข้อมูลใน DS160 ให้ตรงกับความเป็นจริงนะคะ เราว่าตรงนี้สำคัญที่สุด และควรกรอกเองค่ะ ถ้าสงสัยโทรถามเจ้าหน้าที่ให้ช่วยค่ะ กรอกไป โทรคุยไปเลยค่ะที่เบอร์ 02 205 4000 เจ้าหน้าที่ใจดีค่ะ บางคนบอกว่า อย่าไปบอกว่า รู้จักใครที่อเมริกา จะทำให้ไม่ได้วีซ่า เรากรอกทุกอย่างเลยค่ะ เคยได้ใบขับขี่ เลขที่บ้านของโฮสต์ที่เราเคยไปเป็นออแพร์ อันนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนแล้วกันนะคะ
2. พยายามเซฟไปกรอกไปนะคะ เผื่อบางทีเนตหลุด ไฟดับ จะได้ไม่ต้องกรอกใหม่ทั้งหมด
3. รีเช็คข้อมูลให้ดีๆ ค่ะอย่าพลาด โดยเฉพาะชื่อ นามสกุล หมายเลขพาสปอร์ต หมายเลขต่างๆ เราพลาดมาแล้ว กรอกเลขพาสปอร์ตผิด ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมขอวีซ่าใหม่ สรุปเสียสองรอบ
4. ตอนสัมภาษณ์ ตอบคำถามให้ตรงกับข้อมูลที่กรอกนะคะ เพราะเราเห็นเจ้าหน้าที่เค้าถามเราแต่ไม่ได้มองเราเท่าไหร่ จะมองหน้าจอ
เหมือนเช็คว่า ขัอมูลที่กรอก กับคำตอบของเรามันตรงกันไหม ดังนั้น ตอบให้ชัดเจน มั่นใจ และยิ้มแย้มค่ะ
5. สิ่งสำคัญเพื่อแสดงเจตนาว่าเรากลับมาแน่และเราสามารถสปอนเซอร์ตัวเองได้ เราคิดว่า จำนวนปีในการทำงาน รายได้ที่เหมาะสม ประวัติการเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ รวมทั้งจุดประสงค์ในการไปครั้งนี้ เช่น ท่องเที่ยว เยี่ยมญาติ ชื่อรัฐ จำนวนวันในการเดินทาง น่าจะมีผลค่ะ
6. ของเราเจ้าหน้าที่ไม่ขอดูเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติมเลยค่ะ นอกจากพาสปอร์ตเล่มปัจจุบันและใบคอนเฟิร์ม DS160 แต่ก็ควรเตรียมไปเพราะแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ
7. เผื่อใครจะต้องลางาน เผื่อเวลาไว้ขั้นต่ำ 2 ชั่วโมงนะคะ เรานัดสัมภาษณ์ 9.30 เราไปถึงตอนประมาณแปดโมง มีนักศึกษามาขอวีซ่า J1 กันเยอะมากค่ะ รวมเวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ
ขอให้โชคดีนะคะ สงสัยก็สอบถามหลังไมค์ได้ค่ะ