ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เป็นความจริงว่าโลกในยุคออนไลน์คืบคลานเข้ามาหาเราทุกคนแล้ว คนในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้อยู่รอด? พวกเราต้องปรับตัวกันอย่างไร? รูปแบบของเนื้อหาวรรณกรรมจะปรับเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหน? เราลองมาฟังผู้ที่มีประสบการณ์ตรงและคลุกคลีอยู่ในวงการนิตยสารพูดถึงวิธีการสร้างคอนเทนต์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ทันกับคลื่นดิจิทัลที่กำลังซัดเข้ากระแทกความรู้สึกของเราในตอนนี้
โดยหัวข้อที่น่าสนใจในวันนี้มีชื่อว่า “นิตยสารวารสารกับโลกการอ่านที่เปลี่ยนแปลง” บรรยายโดยคุณปารัณ เจียมจิตต์ตรง ผู้เป็นบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ ประจำนิตยสารแพรว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561 ซึ่งการบรรยายในครั้งนี้จัดโดย สาขาวิชาวรรณกรรมสำหรับเด็ก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) โดยมีองค์ความรู้ที่น่าจะเป็นประโยชน์ดังนี้
(รายละเอียดจากการบรรยายในครั้งนี้ ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่ ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด , คาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง หรือผิดเพี้ยนไปจากที่ท่านวิทยากรพูดไว้ ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ)
คุณปารัณ เจียมจิตต์ตรง
-ปัจจุบันนี้คุณปารัณ เจียมจิตต์ตรง หรือคุณโจ ทำงานอยู่ที่นิตยสารแพรว แต่หลังๆ นี้จะถือว่าทำงานอยู่ใน “แพรวมีเดีย” (praew.com) มากกว่า เพราะว่าสถานการณ์ของการอ่านเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว
-คุณโจ (ผมขอเรียกว่าคุณโจไปตลอดนะครับ) โตมาจากการอ่านวรรณกรรมเยาวชนตั้งแต่เด็ก เรื่องแรกที่ได้อ่านคือเรื่อง “เมืองในตู้เสื้อผ้า” ซึ่งปัจจุบันคือเรื่อง “นาร์เดีย” นั้นเอง คุณโจได้อ่านเรื่องนี้มาก่อนจะได้สร้างเป็นภาพยนตร์ 25 ปีเลย
-คุณโจ เรียนจบมาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ ในสมัยมัธยมคุณโจได้เข้าร่วมกิจกรรมทำหนังสือวารสารตั้งแต่อยู่ ม.4 ต่อมาเข้าเรียนที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากจบการศึกษาคุณโจได้เข้าฝึกงานที่นิตยสาร a day เป็นกองบรรณาธิการ a team junior 2 ก่อนที่จะได้เข้ามาร่วมงานกับนิตยสารแพรวจนถึงปัจจุบันนี้ โดยหน้าที่หลักเป็นนักสัมภาษณ์ประจำกองบก.แพรว
-มีคนกล่าวไว้ว่า Content is King and Form is Queen. คือเปรียบเทียบว่าคอนเทนต์หรือเนื้อหาสำคัญที่สุด ส่วนรูปแบบการเขียนเป็นสิ่งสำคัญรองจากเนื้อหา เป็นจริงที่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการผลิตสื่อคือคอนเทนต์ เพราะเนื้อหาสร้างยากที่สุดในกระบวนการผลิต
-คอนเทนต์จะเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรก็ได้ เปลี่ยนได้มากมายหลายรูปแบบ เพราะถ้ามีคอนเทนต์ที่ดีๆ จะเอาไปทำเป็นรูปแบบอะไรก็ได้ เหมือนอย่างเช่นเรื่อง “นาร์เดีย” ที่นอกจากจะเป็นหนังสือแล้วยังถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย
-ดังนั้นนิตยสารในทุกวันนี้จึงเหมือนทำ 2 ขาไปพร้อมๆ กัน คือทำนิตยสารเล่มที่เป็นสื่อสิ่งพิมพ์และทำนิตยสารออนไลน์ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งคนที่ทำงานด้านนิตยสารออนไลน์นี้ มากกว่า 70% เคยเป็นคนทำนิตยสารเล่มมาก่อน
-นิตยสารแพรวปัจจุบันยังอยู่ได้ เพราะเป็นนิตยสารของผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงไม่ยอมหยุดสวยไม่ว่าจะเป็นวันใด จะตกงานหรือจะอกหักผู้หญิงก็ต้องสวยอยู่เสมอ ผู้หญิงต้องแต่งหน้าอยู่ทุกวัน
-นักเขียนคือผู้ที่สร้างตอนเทนต์ขึ้นมา โดยสร้างจากการหาข้อมูล จากการสัมภาษณ์ และจากวิธีการอื่นๆ ดังนั้นนักสร้างตอนเทนต์ที่ดีจะต้องเป็นนักอ่านที่ดีด้วย การอ่านช่วยสร้างสำนวนภาษาให้แก่นักเขียนได้
-ในการทำคอนเทนต์นั้น ประโยคเปิดเรื่องถือว่าสำคัญที่สุด ประโยคเปิดเรื่องเป็นเหมือนประตูบ้าน ถ้าเรามีประตูบ้านที่ดีก็เชิญชวนให้ผู้อ่านเข้ามาอ่านเนื้อหาในเรื่องได้
-นอกจากนั้นในเนื่อเรื่องต้องมีประโยคฮุคด้วย ประโยคฮุคก็คือประโยคเด็ดนั้นเอง เพราะลักษณะการอ่านของคนสมัยใหม่จะไม่ยอมอ่านอะไรที่ยาวๆ แล้ว บางครั้งเขาจะกวาดตาอ่านแค่ประโยคฮุคเท่านั้น ซึ่งประโยคฮุคก็คือประโยคสำคัญที่เรายกขึ้นมา เช่น ข้อความที่เป็นคำพูดสำคัญที่ถูกเขียนโปรยไว้บนรูปภาพ , คำกล่าวของผู้ถูกสัมภาษณ์ที่ยกขึ้นมาโค้ดไว้ (มักจะเห็นได้ทั่วไปในนิตยสารต่างๆ)
-คอนเทนต์ที่ดีต้องเป็นคอนเทนต์ที่น่าอ่านและเป็นเนื้อหาที่เป็นความจริง ต้องมีรายละเอียดในการเล่าเรื่อง ต้องใช้วรรณศิลป์ในการเล่าเรื่องทำให้เรื่องน่าอ่าน อย่าเล่าแบบห้วนๆ อย่าเล่าไปเรื่อยๆ เหมือนเสียงนาฬิกาเดิน คนอ่านจะเบื่อและจะไม่ทนอ่านจนจบ
-การทำคอนเทนต์ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องเรียงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ สามารถเล่าเรื่องแบบสลับตัดเหตุการณ์ไปมาได้ จะเป็นการสร้างเสน่ห์ในแก่คอนเทนต์ได้ด้วย
-การเข้ามาของดิจิทัลและโซเซียลมีเดียทำให้นิตยสารเล่มต้องกลายเป็นนิตยสารออนไลน์ ซึ่งมีการวางจังหวะเนื้อหาที่แตกต่างกัน นิตยสารเล่มลงเนื้อหาได้เยอะและยาวกว่า แต่นิตยสารออนไลน์เนื้อหาจะสั้น ตัดเฉพาะประโยคสำคัญมานำเสนอเท่านั้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงไปของการทำคอนเทนต์
-เฟสบุ๊คถือว่าเป็น short content และอินตราแกรมก็ยิ่งสั้นกว่าด้วย
-มีเทคนิคการสร้างคอนเทนต์คือ ในการเขียนเล่าเรื่องควรยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบเพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น และประโยคจบเรื่องอาจเป็นประโยคคำถามที่ทิ้งท้ายไว้ให้แก่ผู้อ่านก็ได้
-การเขียนเนื้อหาที่ยาวๆ เหมาะสำหรับนิตยสารเล่ม แต่สำหรับนิตยสารออนไลน์ควรเขียนเนื้อหาให้สั้นๆ เพราะถ้าเขียนยาวๆ คนจะไม่อ่าน ถึงจะอ่านก็มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะอ่านอะไรยาวๆ บนออนไลน์ได้
-ในยุคก่อนสิ่งที่สื่อสิ่งพิมพ์กลัวคือรีโมทคอนโทรล เพราะกลัวคนจะดูแต่ทีวีไม่ยอมอ่านหนังสือ แต่ในปัจจุบันสิ่งที่สื่อสิ่งพิมพ์กลัวคือนิ้วมือของคนที่จะเลื่อนฟีดไปเรื่อยๆ (กลัวสมาร์ทโฟน)
-ในการทำคอนเทนต์ออนไลน์จะต้องมีการสร้างคีย์เวิร์ดให้ถูกค้นหาได้ง่าย คือทำอะไรก็ได้ให้เนื้อหาของเราถูกค้นเจอในกูเกิ้ล ในเนื้อเรื่องจึงจำเป็นต้องมีคำหรือประโยคที่นิยมกันในยุคนั้นๆ เช่นในยุคหนึ่งมีคำว่า “แกร่งได้โล่” หรือในยุคนี้อาจจะเป็นคำว่า “ออเจ้า” ก็ได้
-คือต้องทำอะไรก็ได้ให้คนเห็นคอนเทนต์ของเราก่อน คือเวลาที่คนเสิร์ชหาในกูเกิ้ลแล้วเนื้อเรื่องของเราถูกจัดแสดงผลการค้นหาเป็นอันดับแรกๆ หรือขึ้นเป็นชื่อแรกที่ค้นเจอเลย คนอ่านจะได้เข้ามาอ่านเนื้อหาของเราก่อน
-สำหรับบทสัมภาษณ์ ควรหยิบอิลิเม้นท์ (ประโยคที่ติดปาก) ของผู้ถูกสัมภาษณ์มาใส่ไว้ในเนื้อหาด้วย เช่น ถ้าสัมภาษณ์วู้ดดี้ เกิดมาคุย ก็ควรจะมีคำพูดว่า “ครับพี่น้องชาวไทย” ถึงเป็นคำที่คุณวู้ดดี้ชอบพูด ควรเอาคำนี้มาใส่ไว้ในเนื้อเรื่องด้วย
-สำหรับการทำเนื้อหาในนิตยสารเล่มประโยคเปิดเรื่องต้องน่าสนใจ และในเรื่องควรมีประโยคฮุคหรือประโยคสำคัญด้วย แต่ถ้าทำเป็นนิตยสารออนไลน์เนื้อหาอาจจะแค่หยิบประโยคสำคัญ (ประโยคฮุค) มาเขียนขยายเป็นข้อความสั้นๆ พอให้คนอ่านเข้าใจ ในการทำคอนเทนต์ออนไลน์เนื้อหาควรจะต้องสั้นมากๆ ไม่ควรยาวเกินกว่านิ้วมือเลื่อน 3 ครั้ง (ให้ยาวได้แค่เลื่อนไป 3 ฟีดในจอสมาร์ทโฟนก็พอ)
-ข้อดีสำหรับการทำนิตยสารออนไลน์สำหรับเรา (สำหรับแพรว) ก็คือเราทำออนไลน์เพื่อความอยู่รอด ถ้าไม่ทำออนไลน์อาจจะล้มหาตายจากกันไปก็ได้
-เคยมีคำพูดของคุณโหน่ง วงศ์ทนง a day บอกไว้ว่า “ถ้าคอนเทนต์มันดี มันจะมีพื้นที่ของมันเอง” หมายความว่าถ้ามีเนื้อหาที่ดีก็มีคนพร้อมที่จะอ่านเสมอ
-คนทำคอนเทนต์ในยุคปัจจุบันควรอย่าชะล่าใจ ควรจะใช้เครื่องมือทุกอย่างให้เป็น รวมทั้งใช้ช่องทางออนไลน์ให้เป็นด้วย
-ณ ปัจจุบันนี้เวลาจะสร้างคอนเทนต์ 1 เรื่อง เมื่อออกไปสัมภาษณ์คนแล้ว ข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดจะต้องทำเป็นเนื้อหาต่างๆ ดังนี้ 1.) เนื้อหาบทสัมภาษณ์เต็มสำหรับลงในนิตยสารเล่ม 2.) เนื้อหาแบบสั้นๆ สำหรับลงนิตยสารออนไลน์ 3.) ต้องทำเฟสบุ๊คไลฟ์ด้วย 4.) ต้องทำเป็นคลิปวีดีโอลงในช่องทางยูทูปด้วย เพื่อให้คอนเทนต์ที่เราสร้างเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับเสิร์ฟให้แก่ทุกคนในทุกช่องทางได้
-หน้าที่ของสื่อคือต้องสื่อสารไปยังผู้รับสาร โดยใช้ช่องทางต่างๆ เพื่อส่งสาสน์ให้ถึงผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในมือถือสมาร์ทโฟน หรือในคอมพิวเตอร์ เราต้องยอมรับการเข้ามาของดิจิทัลด้วย
-ทุกวันนี้คนที่เป็นสื่อต้องปรับตัวให้ได้ เพราะดิจิทัลได้เข้ามาเคาะประตูบ้านคุณแล้ว ต้องยอมรับให้ได้ว่าการเข้ามาของดิจิทัลในด้านต่างๆ จะทำให้คนกลางหายไป เป็นการทำให้ง่ายขึ้นเพราะตัดคนกลางออกไป
-ปัจจุบันคอนเทนต์ที่มาในรูปแบบของวีดีโอกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะเทรนการทำวีดีโอกำลังมาแรง เครื่องมือในการสร้างวีดีโอก็มีราคาไม่แพงและทำได้ง่ายขึ้น เชื่อว่าอีกไม่นานคอนเทนต์วีดีโอจะมีมากขึ้น และเราจะเข้าถึงเนื้อหาที่เป็นวีดีโอได้มากขึ้นด้วย เพราะเฟสบุ๊คจะไม่ตัดการแสดงผลของคอนเทนต์วีดีโอเลย ยิ่งเป็นวีดีโอแบบ HD เฟสบุ๊คจะปล่อยให้คนเห็นได้มากขึ้นด้วย
-ที่ผ่านมาทางแพรวออนไลน์ (praew.com) ได้ทำเฟสบุ๊คไลฟ์ของน้องเปา เปา (ลูกสาวของคุณกุ๊บกิ๊บ) โดยทำการถ่ายทอดสดนานถึง 2 ชั่วโมง ด้วยความน่ารักของน้องเปา เปา ทำให้เนื้อหานี้มีคนสนใจชมกันเยอะมาก ในฐานะของคนทำคอนเทนต์ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก
-คอนเทนต์ที่เป็นวีดีโอเป็นความรู้สึกที่จับต้องได้มากกว่าคอนเทนต์ที่เป็นตัวอักษรอย่างเดียว อย่างเช่นตอนที่ทำเฟสบุ๊คไลฟ์เราจะเห็นฟีดแบ็คตอบสนองได้ทันที คนชมไลฟ์สดเขาแสดงความคิดเห็นบอกเราได้ทันที
-ตอนนี้คนที่สร้างคอนเทนต์จึงต้องมีความสามารถหลายด้าน และมีทักษะที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ต้องทำหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์ด้วย , ทำหน้าที่เป็นพิธีกรภาคสนามได้ด้วย , ต้องถ่ายวีดีโอได้ด้วย , ต้องตัดต่อวีดีโอได้ด้วย ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดคือต้องใช้โซเซียลมีเดียให้เป็นด้วย
-เทรนการสร้างคอนเทนต์สมัยนี้คือ การทำคอนเทนต์ในประเด็นที่คนกำลังสนใจ เพราะคนอยากรู้เรื่องที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในสังคมขณะนั้น
-คุณโจเคยทำคอนเทนต์วีดีโอที่แปลกๆ เช่น การไปเคาะประตูบ้านเพื่อสัมภาษณ์เป้ อารักษ์ ใช้วิธีการถามคำถามอะไรก็ตาม ให้คุณเป้ อารักษ์ ต้องตอบเป็นเพลง เนื้อหาที่ได้มีความน่าสนใจสำหรับผู้ชมมาก
-คุณโจเคยทำคอนเทนต์ตามติดชีวิตเซเลบิตี้ โดยมีมาดามแป้ง คุณนวลพรรณ ล่ำซำ เป็นเซเลปคนที่ 2 ต่อจากพี่สู่ขวัญ ทำเป็นคอนเซปเซเลปบล็อก คุณโจพยายามหามุมมองของมาดามแป้งที่คนทั่วไปไม่เคยรู้มาก่อนมานำเสนอ คือมาดามแป้งเป็นคนที่ชอบกินก๋วยเตี๋ยวมาก มาดามแป้งจึงชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ย่านคลองเตย โดยคุณโจถ่ายทำเป็นวีดีโอเซเลปพาไปกิน
-สองตัวอย่างข้างต้นที่ยกมานี้คือตัวอย่างการเคลื่อนไหวทางคอนเทตน์ที่คุณโจเคยทำ ซึ่งการทำคอนเทนต์นั้นเราต้องหามุมมองที่คนอื่นยังไม่เคยรู้มาก่อนมานำเสนอ คอนเทนต์ของเขาจะได้แตกต่างจากคนอื่น
-ในการที่เราจะทำคอนเทนต์อะไรสักอย่าง เราต้องเชื่อมั่นก่อนว่าคอนเทนต์ที่ทำนั้นเป็นคอนเทนต์ที่ดี เป็นคอนเทนต์ที่คนจะต้องชอบแน่ๆ เราต้องเชื่อมั่นในคอนเทนต์ของเราก่อน โดยต้องมีความจริงใจในการทำคอนเทนต์ และต้องแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของคอนเทนต์ที่เรานำเสนอด้วย
-จะเห็นว่าคอนเทนต์มันบิดไปได้เยอะมาก คอนเทนต์หนึ่งเอาไปทำเป็นรูปแบบอื่นๆ ได้เยอะมาก อยู่ที่เราจะทำอย่างไรให้มันสมดุลกันระหว่างคอนเทนต์ที่ดีและคอนเทนต์ที่ขายได้ด้วย
นิตยสารวารสารกับโลกการอ่านที่เปลี่ยนแปลง
ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เป็นความจริงว่าโลกในยุคออนไลน์คืบคลานเข้ามาหาเราทุกคนแล้ว คนในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้อยู่รอด? พวกเราต้องปรับตัวกันอย่างไร? รูปแบบของเนื้อหาวรรณกรรมจะปรับเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหน? เราลองมาฟังผู้ที่มีประสบการณ์ตรงและคลุกคลีอยู่ในวงการนิตยสารพูดถึงวิธีการสร้างคอนเทนต์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ทันกับคลื่นดิจิทัลที่กำลังซัดเข้ากระแทกความรู้สึกของเราในตอนนี้
โดยหัวข้อที่น่าสนใจในวันนี้มีชื่อว่า “นิตยสารวารสารกับโลกการอ่านที่เปลี่ยนแปลง” บรรยายโดยคุณปารัณ เจียมจิตต์ตรง ผู้เป็นบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ ประจำนิตยสารแพรว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561 ซึ่งการบรรยายในครั้งนี้จัดโดย สาขาวิชาวรรณกรรมสำหรับเด็ก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) โดยมีองค์ความรู้ที่น่าจะเป็นประโยชน์ดังนี้
(รายละเอียดจากการบรรยายในครั้งนี้ ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่ ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด , คาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง หรือผิดเพี้ยนไปจากที่ท่านวิทยากรพูดไว้ ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ)
-ปัจจุบันนี้คุณปารัณ เจียมจิตต์ตรง หรือคุณโจ ทำงานอยู่ที่นิตยสารแพรว แต่หลังๆ นี้จะถือว่าทำงานอยู่ใน “แพรวมีเดีย” (praew.com) มากกว่า เพราะว่าสถานการณ์ของการอ่านเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว
-คุณโจ (ผมขอเรียกว่าคุณโจไปตลอดนะครับ) โตมาจากการอ่านวรรณกรรมเยาวชนตั้งแต่เด็ก เรื่องแรกที่ได้อ่านคือเรื่อง “เมืองในตู้เสื้อผ้า” ซึ่งปัจจุบันคือเรื่อง “นาร์เดีย” นั้นเอง คุณโจได้อ่านเรื่องนี้มาก่อนจะได้สร้างเป็นภาพยนตร์ 25 ปีเลย
-คุณโจ เรียนจบมาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ ในสมัยมัธยมคุณโจได้เข้าร่วมกิจกรรมทำหนังสือวารสารตั้งแต่อยู่ ม.4 ต่อมาเข้าเรียนที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากจบการศึกษาคุณโจได้เข้าฝึกงานที่นิตยสาร a day เป็นกองบรรณาธิการ a team junior 2 ก่อนที่จะได้เข้ามาร่วมงานกับนิตยสารแพรวจนถึงปัจจุบันนี้ โดยหน้าที่หลักเป็นนักสัมภาษณ์ประจำกองบก.แพรว
-มีคนกล่าวไว้ว่า Content is King and Form is Queen. คือเปรียบเทียบว่าคอนเทนต์หรือเนื้อหาสำคัญที่สุด ส่วนรูปแบบการเขียนเป็นสิ่งสำคัญรองจากเนื้อหา เป็นจริงที่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการผลิตสื่อคือคอนเทนต์ เพราะเนื้อหาสร้างยากที่สุดในกระบวนการผลิต
-คอนเทนต์จะเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรก็ได้ เปลี่ยนได้มากมายหลายรูปแบบ เพราะถ้ามีคอนเทนต์ที่ดีๆ จะเอาไปทำเป็นรูปแบบอะไรก็ได้ เหมือนอย่างเช่นเรื่อง “นาร์เดีย” ที่นอกจากจะเป็นหนังสือแล้วยังถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย
-ดังนั้นนิตยสารในทุกวันนี้จึงเหมือนทำ 2 ขาไปพร้อมๆ กัน คือทำนิตยสารเล่มที่เป็นสื่อสิ่งพิมพ์และทำนิตยสารออนไลน์ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งคนที่ทำงานด้านนิตยสารออนไลน์นี้ มากกว่า 70% เคยเป็นคนทำนิตยสารเล่มมาก่อน
-นิตยสารแพรวปัจจุบันยังอยู่ได้ เพราะเป็นนิตยสารของผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงไม่ยอมหยุดสวยไม่ว่าจะเป็นวันใด จะตกงานหรือจะอกหักผู้หญิงก็ต้องสวยอยู่เสมอ ผู้หญิงต้องแต่งหน้าอยู่ทุกวัน
-นักเขียนคือผู้ที่สร้างตอนเทนต์ขึ้นมา โดยสร้างจากการหาข้อมูล จากการสัมภาษณ์ และจากวิธีการอื่นๆ ดังนั้นนักสร้างตอนเทนต์ที่ดีจะต้องเป็นนักอ่านที่ดีด้วย การอ่านช่วยสร้างสำนวนภาษาให้แก่นักเขียนได้
-ในการทำคอนเทนต์นั้น ประโยคเปิดเรื่องถือว่าสำคัญที่สุด ประโยคเปิดเรื่องเป็นเหมือนประตูบ้าน ถ้าเรามีประตูบ้านที่ดีก็เชิญชวนให้ผู้อ่านเข้ามาอ่านเนื้อหาในเรื่องได้
-นอกจากนั้นในเนื่อเรื่องต้องมีประโยคฮุคด้วย ประโยคฮุคก็คือประโยคเด็ดนั้นเอง เพราะลักษณะการอ่านของคนสมัยใหม่จะไม่ยอมอ่านอะไรที่ยาวๆ แล้ว บางครั้งเขาจะกวาดตาอ่านแค่ประโยคฮุคเท่านั้น ซึ่งประโยคฮุคก็คือประโยคสำคัญที่เรายกขึ้นมา เช่น ข้อความที่เป็นคำพูดสำคัญที่ถูกเขียนโปรยไว้บนรูปภาพ , คำกล่าวของผู้ถูกสัมภาษณ์ที่ยกขึ้นมาโค้ดไว้ (มักจะเห็นได้ทั่วไปในนิตยสารต่างๆ)
-คอนเทนต์ที่ดีต้องเป็นคอนเทนต์ที่น่าอ่านและเป็นเนื้อหาที่เป็นความจริง ต้องมีรายละเอียดในการเล่าเรื่อง ต้องใช้วรรณศิลป์ในการเล่าเรื่องทำให้เรื่องน่าอ่าน อย่าเล่าแบบห้วนๆ อย่าเล่าไปเรื่อยๆ เหมือนเสียงนาฬิกาเดิน คนอ่านจะเบื่อและจะไม่ทนอ่านจนจบ
-การทำคอนเทนต์ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องเรียงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ สามารถเล่าเรื่องแบบสลับตัดเหตุการณ์ไปมาได้ จะเป็นการสร้างเสน่ห์ในแก่คอนเทนต์ได้ด้วย
-การเข้ามาของดิจิทัลและโซเซียลมีเดียทำให้นิตยสารเล่มต้องกลายเป็นนิตยสารออนไลน์ ซึ่งมีการวางจังหวะเนื้อหาที่แตกต่างกัน นิตยสารเล่มลงเนื้อหาได้เยอะและยาวกว่า แต่นิตยสารออนไลน์เนื้อหาจะสั้น ตัดเฉพาะประโยคสำคัญมานำเสนอเท่านั้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงไปของการทำคอนเทนต์
-เฟสบุ๊คถือว่าเป็น short content และอินตราแกรมก็ยิ่งสั้นกว่าด้วย
-มีเทคนิคการสร้างคอนเทนต์คือ ในการเขียนเล่าเรื่องควรยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบเพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น และประโยคจบเรื่องอาจเป็นประโยคคำถามที่ทิ้งท้ายไว้ให้แก่ผู้อ่านก็ได้
-การเขียนเนื้อหาที่ยาวๆ เหมาะสำหรับนิตยสารเล่ม แต่สำหรับนิตยสารออนไลน์ควรเขียนเนื้อหาให้สั้นๆ เพราะถ้าเขียนยาวๆ คนจะไม่อ่าน ถึงจะอ่านก็มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะอ่านอะไรยาวๆ บนออนไลน์ได้
-ในยุคก่อนสิ่งที่สื่อสิ่งพิมพ์กลัวคือรีโมทคอนโทรล เพราะกลัวคนจะดูแต่ทีวีไม่ยอมอ่านหนังสือ แต่ในปัจจุบันสิ่งที่สื่อสิ่งพิมพ์กลัวคือนิ้วมือของคนที่จะเลื่อนฟีดไปเรื่อยๆ (กลัวสมาร์ทโฟน)
-ในการทำคอนเทนต์ออนไลน์จะต้องมีการสร้างคีย์เวิร์ดให้ถูกค้นหาได้ง่าย คือทำอะไรก็ได้ให้เนื้อหาของเราถูกค้นเจอในกูเกิ้ล ในเนื้อเรื่องจึงจำเป็นต้องมีคำหรือประโยคที่นิยมกันในยุคนั้นๆ เช่นในยุคหนึ่งมีคำว่า “แกร่งได้โล่” หรือในยุคนี้อาจจะเป็นคำว่า “ออเจ้า” ก็ได้
-คือต้องทำอะไรก็ได้ให้คนเห็นคอนเทนต์ของเราก่อน คือเวลาที่คนเสิร์ชหาในกูเกิ้ลแล้วเนื้อเรื่องของเราถูกจัดแสดงผลการค้นหาเป็นอันดับแรกๆ หรือขึ้นเป็นชื่อแรกที่ค้นเจอเลย คนอ่านจะได้เข้ามาอ่านเนื้อหาของเราก่อน
-สำหรับบทสัมภาษณ์ ควรหยิบอิลิเม้นท์ (ประโยคที่ติดปาก) ของผู้ถูกสัมภาษณ์มาใส่ไว้ในเนื้อหาด้วย เช่น ถ้าสัมภาษณ์วู้ดดี้ เกิดมาคุย ก็ควรจะมีคำพูดว่า “ครับพี่น้องชาวไทย” ถึงเป็นคำที่คุณวู้ดดี้ชอบพูด ควรเอาคำนี้มาใส่ไว้ในเนื้อเรื่องด้วย
-สำหรับการทำเนื้อหาในนิตยสารเล่มประโยคเปิดเรื่องต้องน่าสนใจ และในเรื่องควรมีประโยคฮุคหรือประโยคสำคัญด้วย แต่ถ้าทำเป็นนิตยสารออนไลน์เนื้อหาอาจจะแค่หยิบประโยคสำคัญ (ประโยคฮุค) มาเขียนขยายเป็นข้อความสั้นๆ พอให้คนอ่านเข้าใจ ในการทำคอนเทนต์ออนไลน์เนื้อหาควรจะต้องสั้นมากๆ ไม่ควรยาวเกินกว่านิ้วมือเลื่อน 3 ครั้ง (ให้ยาวได้แค่เลื่อนไป 3 ฟีดในจอสมาร์ทโฟนก็พอ)
-ข้อดีสำหรับการทำนิตยสารออนไลน์สำหรับเรา (สำหรับแพรว) ก็คือเราทำออนไลน์เพื่อความอยู่รอด ถ้าไม่ทำออนไลน์อาจจะล้มหาตายจากกันไปก็ได้
-เคยมีคำพูดของคุณโหน่ง วงศ์ทนง a day บอกไว้ว่า “ถ้าคอนเทนต์มันดี มันจะมีพื้นที่ของมันเอง” หมายความว่าถ้ามีเนื้อหาที่ดีก็มีคนพร้อมที่จะอ่านเสมอ
-คนทำคอนเทนต์ในยุคปัจจุบันควรอย่าชะล่าใจ ควรจะใช้เครื่องมือทุกอย่างให้เป็น รวมทั้งใช้ช่องทางออนไลน์ให้เป็นด้วย
-ณ ปัจจุบันนี้เวลาจะสร้างคอนเทนต์ 1 เรื่อง เมื่อออกไปสัมภาษณ์คนแล้ว ข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดจะต้องทำเป็นเนื้อหาต่างๆ ดังนี้ 1.) เนื้อหาบทสัมภาษณ์เต็มสำหรับลงในนิตยสารเล่ม 2.) เนื้อหาแบบสั้นๆ สำหรับลงนิตยสารออนไลน์ 3.) ต้องทำเฟสบุ๊คไลฟ์ด้วย 4.) ต้องทำเป็นคลิปวีดีโอลงในช่องทางยูทูปด้วย เพื่อให้คอนเทนต์ที่เราสร้างเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับเสิร์ฟให้แก่ทุกคนในทุกช่องทางได้
-หน้าที่ของสื่อคือต้องสื่อสารไปยังผู้รับสาร โดยใช้ช่องทางต่างๆ เพื่อส่งสาสน์ให้ถึงผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในมือถือสมาร์ทโฟน หรือในคอมพิวเตอร์ เราต้องยอมรับการเข้ามาของดิจิทัลด้วย
-ทุกวันนี้คนที่เป็นสื่อต้องปรับตัวให้ได้ เพราะดิจิทัลได้เข้ามาเคาะประตูบ้านคุณแล้ว ต้องยอมรับให้ได้ว่าการเข้ามาของดิจิทัลในด้านต่างๆ จะทำให้คนกลางหายไป เป็นการทำให้ง่ายขึ้นเพราะตัดคนกลางออกไป
-ปัจจุบันคอนเทนต์ที่มาในรูปแบบของวีดีโอกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะเทรนการทำวีดีโอกำลังมาแรง เครื่องมือในการสร้างวีดีโอก็มีราคาไม่แพงและทำได้ง่ายขึ้น เชื่อว่าอีกไม่นานคอนเทนต์วีดีโอจะมีมากขึ้น และเราจะเข้าถึงเนื้อหาที่เป็นวีดีโอได้มากขึ้นด้วย เพราะเฟสบุ๊คจะไม่ตัดการแสดงผลของคอนเทนต์วีดีโอเลย ยิ่งเป็นวีดีโอแบบ HD เฟสบุ๊คจะปล่อยให้คนเห็นได้มากขึ้นด้วย
-ที่ผ่านมาทางแพรวออนไลน์ (praew.com) ได้ทำเฟสบุ๊คไลฟ์ของน้องเปา เปา (ลูกสาวของคุณกุ๊บกิ๊บ) โดยทำการถ่ายทอดสดนานถึง 2 ชั่วโมง ด้วยความน่ารักของน้องเปา เปา ทำให้เนื้อหานี้มีคนสนใจชมกันเยอะมาก ในฐานะของคนทำคอนเทนต์ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก
-คอนเทนต์ที่เป็นวีดีโอเป็นความรู้สึกที่จับต้องได้มากกว่าคอนเทนต์ที่เป็นตัวอักษรอย่างเดียว อย่างเช่นตอนที่ทำเฟสบุ๊คไลฟ์เราจะเห็นฟีดแบ็คตอบสนองได้ทันที คนชมไลฟ์สดเขาแสดงความคิดเห็นบอกเราได้ทันที
-ตอนนี้คนที่สร้างคอนเทนต์จึงต้องมีความสามารถหลายด้าน และมีทักษะที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ต้องทำหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์ด้วย , ทำหน้าที่เป็นพิธีกรภาคสนามได้ด้วย , ต้องถ่ายวีดีโอได้ด้วย , ต้องตัดต่อวีดีโอได้ด้วย ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดคือต้องใช้โซเซียลมีเดียให้เป็นด้วย
-เทรนการสร้างคอนเทนต์สมัยนี้คือ การทำคอนเทนต์ในประเด็นที่คนกำลังสนใจ เพราะคนอยากรู้เรื่องที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในสังคมขณะนั้น
-คุณโจเคยทำคอนเทนต์วีดีโอที่แปลกๆ เช่น การไปเคาะประตูบ้านเพื่อสัมภาษณ์เป้ อารักษ์ ใช้วิธีการถามคำถามอะไรก็ตาม ให้คุณเป้ อารักษ์ ต้องตอบเป็นเพลง เนื้อหาที่ได้มีความน่าสนใจสำหรับผู้ชมมาก
-คุณโจเคยทำคอนเทนต์ตามติดชีวิตเซเลบิตี้ โดยมีมาดามแป้ง คุณนวลพรรณ ล่ำซำ เป็นเซเลปคนที่ 2 ต่อจากพี่สู่ขวัญ ทำเป็นคอนเซปเซเลปบล็อก คุณโจพยายามหามุมมองของมาดามแป้งที่คนทั่วไปไม่เคยรู้มาก่อนมานำเสนอ คือมาดามแป้งเป็นคนที่ชอบกินก๋วยเตี๋ยวมาก มาดามแป้งจึงชวนไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ย่านคลองเตย โดยคุณโจถ่ายทำเป็นวีดีโอเซเลปพาไปกิน
-สองตัวอย่างข้างต้นที่ยกมานี้คือตัวอย่างการเคลื่อนไหวทางคอนเทตน์ที่คุณโจเคยทำ ซึ่งการทำคอนเทนต์นั้นเราต้องหามุมมองที่คนอื่นยังไม่เคยรู้มาก่อนมานำเสนอ คอนเทนต์ของเขาจะได้แตกต่างจากคนอื่น
-ในการที่เราจะทำคอนเทนต์อะไรสักอย่าง เราต้องเชื่อมั่นก่อนว่าคอนเทนต์ที่ทำนั้นเป็นคอนเทนต์ที่ดี เป็นคอนเทนต์ที่คนจะต้องชอบแน่ๆ เราต้องเชื่อมั่นในคอนเทนต์ของเราก่อน โดยต้องมีความจริงใจในการทำคอนเทนต์ และต้องแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของคอนเทนต์ที่เรานำเสนอด้วย
-จะเห็นว่าคอนเทนต์มันบิดไปได้เยอะมาก คอนเทนต์หนึ่งเอาไปทำเป็นรูปแบบอื่นๆ ได้เยอะมาก อยู่ที่เราจะทำอย่างไรให้มันสมดุลกันระหว่างคอนเทนต์ที่ดีและคอนเทนต์ที่ขายได้ด้วย