เมื่อวันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา ณ ห้อง 300 อาคารจักรีมหาสิรินธร คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการเสวนาในหัวข้อ “ทางรอดหรือทางตายแห่งอนาคตของประเทศและรัฐบาลที่ไม่มีระบบหนังสือของชาติ” พูดถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับวิกฤติของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ โดยมีผู้ร่วมเสวนาดังนี้ 1.) อาจารย์ กนกวลี พจนปกรณ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย 2.) คุณสุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย, 3.) คุณพิมลพร ยุติศรี ตัวแทนลิขสิทธิ์วรรณกรรมในประเทศและระหว่างประเทศ บริษัท ทัทเทิล-มอริ ประเทศไทย จำกัด 4.) อาจารย์ ดร.ปณิธิ หุ่นแสวง ประธานมูลนิธิวิชาหนังสือ นำการเสนวาโดย อาจารย์มกุฏ อรฤดี ครูสอนหนังสือและบรรณาธิการศึกษา การเสวนาครั้งนี้มีรายละเอียดอันน่าสนใจที่ผมอยากนำเสนอดังนี้
(รายละเอียดจากการเสวนาในครั้งนี้ ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่ ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด , คาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง หรือผิดเพี้ยนไปจากที่ท่านวิทยากรพูดไว้ ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ)
อาจารย์มกุฏ อรฤดี ครูสอนหนังสือและบรรณาธิการศึกษาชวนคุยเรื่องสำคัญ มีความจริงอย่างหนึ่งว่าประเทศที่ไม่มีระบบหนังสือแห่งชาติจะไปไม่รอด เพราะการอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่จะทำให้ประชาชนมีความรู้ เราเคยเสนอเรื่องนี้ไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว จนปัจจุบันถึงสถานการณ์ที่วิกฤติที่สุด เมื่อนิตยสารต่างๆ ปิดตัวลง สำนักพิมพ์ต่างๆ ปิดตัวลง รวมทั้งร้านค้าขายหนังสือได้ทยอยปิดตัวตามด้วย
-ประเทศที่ไม่มีระบบหนังสือแห่งชาติก็เหมือนกับที่หมู่บ้านต้องปล่อยให้ลูกบ้านล้มตายไปเรื่อยๆ ถ้า ณ วันนี้มีใครสักคนที่ถือขวานเล่มโตๆ ออกมาจามหัวใครสักคน(ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้)ก็คงดีมาก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องจัดงานพูดคุยในวันนี้ขึ้นมา
-ขอถามท่านนายกสมาคมนักเขียนฯ ว่า ถึงตอนนี้แล้วเริ่มวิตกอะไรเกี่ยวกับสถานะการณ์ในขณะนี้บ้าง?
อาจารย์ กนกวลี พจนปกรณ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
-ในกระบวนการอ่านนั้น นักเขียนสำคัญที่สุด แต่จริงๆ แล้วนักเขียนเป็นคนที่จนที่สุดในระบบของการทำหนังสือ
-สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยมีภาระโดยตรงเกี่ยวกับการอ่าน ในยุคนี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทุกระบบ สมาคมนักเขียนฯ จึงมีนโยบายต้องดูแลนักเขียนทุกคนที่เป็นสมาชิกของเรา และดูแลสนับสนุนนักเขียนทุกกลุ่มด้วย
-โดยเฉพาะเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของนักเขียน ซึ่งนักเขียนไม่ได้รับการดูแลหรือเหลียวแลจากใครเลย ภาครัฐก็นิ่งเฉย นักเขียนจึงต้องดูแลตัวเอง ทนทำงานกันต่อไป โดยต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ(มักน้อย)
-ยุคนี้นักเขียนอาชีพที่จะอยู่รอดได้จะต้องเป็นนักเขียนไซด์ไลน์เท่านั้น หมายความว่านักเขียนควรจะมีงานประจำอย่างอื่นทำเพื่อเลี้ยงชีพก่อน แล้วจึงค่อยมาเขียนหนังสือ เช่นบางคนเป็นนายแพทย์ , นายธนาคาร , พนักงานประจำตามออฟฟิศ ฯลฯ ปัจจุบันนี้คนที่เป็นนักเขียนโดยการเขียนอย่างเดียวจะต้องอยู่อย่างยากลำบากมาก
-จริงๆ แล้วอาชีพนักเขียนไม่ได้ใช้ชีวิตที่สวยงามเลย ยุคนี้ค่าเรื่องน้อยมาก เขียนเรื่องส่งไปยังนิตยสารได้ค่าเรื่องแค่ 500 บาทก็มี และนักเขียนที่เขียนเรื่องส่งให้นิตยสาร ครั้งแรกเคยได้ค่าเรื่องเท่าใหร่ปัจจุบันก็เท่าเดิม ไม่มีการเพิ่มค่าเรื่องขึ้นให้เลย
-และเมื่อเรื่องที่เคยเขียนลงนิตยสารเอามารวมเล่มจะพิมพ์ขาย สำนักพิมพ์บางแห่งก็ให้นักเขียนเซ็นสัญญาที่ถูกเอาเปรียบ เช่น ให้เปอร์เซ็นต์น้อย ขอให้มอบสิทธิ์ทั้งในการจะทำเป็นละคร หรือจะทำขายเป็นอีบุ๊ค ฯลฯ
-ปัจจุบันสมาคมนักเขียนจะทำอะไรทุกอย่างก็ต้องทำงานไปหาเงินไปด้วย การดูแลช่วยเหลือนักเขียนเมื่อป่วยก็ช่วยเงินได้แค่หลักพันบาทเอง แต่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจที่มีมอบให้แก่กัน และในกรณีที่นักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปแล้ว พวกเขาเหล่านี้จะคอยส่งเงินมาช่วยสมาคมนักเขียนฯ เสมอ
-ดังนั้นสมาคมนักเขียนฯ จึงต้องพยายามส่งเสริมให้นักเขียนมีความรู้เพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะพัฒนางานเขียนของเขาให้ดีขึ้นด้วย
-ปัจจุบันนี้สมาคมนักเขียนฯ จะหวังพึ่งอะไรจากรัฐบาลไม่ได้เลย การทำงานแต่ละครั้งต้องหาเงินสนับสนุนจากภาคเอกชนเอง อย่างเช่นงานที่ผ่านมา “งานแจกรางวัลลุ่มแม่น้ำโขง” ที่ถือว่าเป็นงานใหญ่ระดับชาติแต่ก็ไม่มีภาครัฐเข้ามาให้การสนับสนุนเลย เราต้องหาเงินจากสปอนเซอร์ภาคเอกชนเองทุกอย่างเลย
-นี่แหละชีวิตของนักเขียนในยุคสมัยนี้
อาจารย์มกุฏ อรฤดี ครูสอนหนังสือและบรรณาธิการศึกษา
-ดูแล้วมันไม่มีความหวังอะไรเลย สมาคมนักเขียนฯ ที่เป็นผู้ดูแลสติปัญญาเบื้องต้น เหมือนเป็นยุ้งฉางที่เก็บพันธุ์ข้าว แต่สุดท้ายแล้วไม่ได้รับการดูแลที่ดี ปล่อยให้โดนมดกัดโดนมอดกินเสียหายหมด แล้วเมล็ดพันธุ์ที่จะงอกเงยออกมามันจะกลายเป็นต้นพันธ์ที่ดีได้อย่างไร? เราจึงหวังอะไรไม่ได้ ดังนั้นขอหันไปถามทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ บ้าง ว่าปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
คุณสุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
-ที่ผ่านมาคุณสุชาดาเป็นกรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ มาเกือบทุกสมัยจนกระทั่งได้เป็นนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ในสมัยนี้ ทุกครั้งเวลาที่เราพูดเรื่องนี้เราจะเดินเข้าไปหากระทรวงศึกษาธิการ แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบใดๆ กลับมาเลย ถ้าพูดถึงการส่งเสริมการอ่าน คงต้องเป็นหน้าที่โดยตรงของกระทรวงศึกษาธิการ
-ปีนี้ (พ.ศ. 2561) เป็นปีสุดท้ายแห่งทศวรรษการอ่าน แต่ปัจจุบันเราไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปเป็นร่างเลย ที่ผ่านมาสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ทำทุกอย่างที่จะผลักดันเรื่องนี้ เราเป็นภาคีการอ่านอยู่ในทุกเครือข่ายเช่นกัน
-ปัจจุบันนี้ในเมืองไทยเมื่อพูดถึงการทำงานส่งเสริมการอ่าน กลายเป็นว่าคือการจัดงานอีเวนต์ขายหนังสือ ทำกันเหมือนไฟไหม้ฟาง คือหมดแล้วก็หมดกันเลย จบแล้วก็จบกันไป
-ที่ผ่านมาจากการที่กรุงเทพมหานครได้เป็นเจ้าภาพในงานหนังสือโลก เราก็ได้มาแค่ห้องสมุดเมือง (ห้องสมุดที่เปิดใหม่บนถนนราชดำเนิน ตรงสี่แยกคอกวัว) ที่ต้องขอบริจาคหนังสือจากสำนักพิมพ์ต่างๆ ตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วการทำห้องสมุดควรจะต้องมีงบประมาณสำหรับจัดซื้อหนังสือด้วย
-สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ทุกวันนี้ไม่ได้มีทั้งทางเลือกหรือทางรอด แต่เราในฐานะของคนทำหนังสือเราต้องรอดจากสถานการณ์นี้ให้ได้
-จากการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันที่วงการดิจิทัลเข้ามานั้น เชื่อว่าในอนาคตอาจจะมีคนประมาณ 5 แสนคนที่ต้องตกงานในทุกวงการ
-ปัจจุบันสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ มีสมาชิกประมาณ 600 ราย ซึ่งเป็นสมาชิกที่เป็นร้านหนังสือประมาณ 100 กว่าร้าน ส่วนสำนักพิมพ์ประมาณ 500 ราย ซึ่งการวัดความเจริญขององค์ความรู้ในประเทศนั้นๆ เขาวัดจากจำนวนร้านหนังสือที่มีในประเทศนั้นๆ
คุณพิมลพร ยุติศรี ตัวแทนลิขสิทธิ์วรรณกรรมในประเทศและระหว่างประเทศ บริษัท ทัทเทิล-มอริ ประเทศไทย จำกัด
-ที่ผ่านมามีช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกว่าวงการหนังสือของเราเติบโตมาก เราจึงพยายามขยายงานไปสู่ต่างประเทศ แต่ปัจจุบันปรากฎว่าเหลือเอเย่นต์ต่างประเทศอยู่แค่ 2 รายเท่านั้น คือที่เวียดนามกับอินโดนีเซีย จากเดิมที่เคยมีหลายประเทศมาก
-เหมือนว่าเรากำลังอยู่ในภาพลวงตา ในวงการปัจจุบันคือภาพที่สมมุติขึ้นอย่างน่ากลัวที่สุด
-ปัจจุบันเราเหลือเอเย่นต์หนังสือแค่ 2 ประเทศ ที่เราส่งออกหายไปประมาณ 70% ปัจจุบันเหลือแค่ 30% ถ้าไม่มีเวียดนามเราก็ต้องปิดบริษัทแน่ เพราะที่ประเทศเวียดนามเขาพยายามปลุกปั้นหนังสือที่ดีๆ ออกมาขายแข่งกับพวกหนังสือผี เวียดนามพยายามทำอย่างจริงจังในเรื่องนี้ ดังนั้นทุกครั้งที่ไปเวียดนามแล้วเห็นคนกำลังอ่านหนังสือ เราจะรู้สึกดีใจมาก
คุณสุชาดา สหัสกุล
-ปัจจุบันนี้ร้านหนังสือปิดตัวลง มีผลสืบเนื่องมาจากการปิดตัวลงของนิตยสารต่างๆ รวมทั้งการปิดตัวลงของหนังสือพิมพ์ด้วย คือที่ผ่านมาการขายหนังสือเล่มไม่ใช่รายได้หลักของเขา รายได้หลักมาจากการขายนิตยสารและหนังสือพิมพ์มากกว่า ส่วนร้านค้าตามต่างจังหวัดนั้น เดิมทีเขาอยู่ได้ด้วยงบประมาณการซื้อหนังสือของภาครัฐ แต่ในปัจจุบันงบประมาณซื้อหนังสือของภาครัฐแทบไม่มีเหลือเลย
-ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่างบประมาณการซื้อหนังสือจากภาครัฐถูกตัดตอนออกไป อย่างปัจจุบันนี้หอสมุดแห่งชาติมีงบประมาณซื้อหนังสือปีละแค่ 5 ล้านบาทเอง
-ภาครัฐปัจจุบันนี้มีแต่ขอบริจาคหนังสือ ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ บอกว่าขอให้หยุดขอบริจาคหนังสือเถอะ เพราะหนังสือที่ได้รับบริจาคไปก็ไม่ตรงกับที่คนอยากจะอ่าน เช่นบางครั้งศูนย์เด็กเล็กขอให้บริจาคหนังสือ คนก็ส่งมติชนสุดสัปดาห์ , แพรวสุดสัปดาห์ ฯลฯ ไปให้ ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของคนอ่าน
-ดังนั้นเมื่อมีการส่งเสริมการอ่าน แต่เด็กไม่มีหนังสือที่เขาจะอ่านได้ ระบบการบริจาคหนังสือมันก็จะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ถ้าเราอยากให้เด็กเขารักการอ่าน เราต้องหาหนังสือที่เขาต้องการอ่านไปให้
อาจารย์ กนกวลี แสดงความเห็นว่าในกรณีนี้ว่า
-ประเด็นนี้ไปเข้าข่ายว่า หนังสือที่มีมูลค่ากับหนังสือที่มีคุณค่ามันไม่เหมือนกัน เราจึงไปบอกกับนักเขียนไม่ได้ว่า “ให้เขียนอย่างนั้นสิ เขียนอย่างนี้สิ” แต่สมาคมนักเขียนก็พยายามที่จะสนับสนุนและพัฒนางานของนักเขียนทุกกลุ่ม เราพยายามเข้าไปหากลุ่มนักเขียนที่เน้นขายอย่างเดียว ให้เขาเติมเต็มอะไรเข้าไปในเรื่องอีกสักหน่อยจะได้ไหม
อ.มกุฏ ถามว่าทำไมนิยายออนไลน์ถึงมียอดวิวเยอะมาก? เมื่อลองเข้าไปอ่านดูก็พบว่า ในเรื่องมีฉากร่วมเพศอยู่เกือบทุกบรรทัดเลย
อ.กนกวลี ตอบว่า ในประเด็นนี้สมาคมนักเขียนฯ ไม่สามารถเข้าไปดูแลได้เลย แต่เราพยายามจะพูดจากับนักเขียน พยายามโน้มน้าวใจเขาให้ได้ ให้เขาเขียนให้ดีขึ้น แต่ก็มีนักเขียนบางคนที่ทำงานทั้ง 2 ด้าน คือทำงานเขียนวรรรกรรมสร้างสรรค์ด้วย และทำงานเขียนนิยายออนไลน์หรือนิยายวายด้วย อยางเช่นนักเขียนรุ่นใหม่ คุณจิดานันท์ นักเขียนที่ได้รางวัลซีไรท์คนล่าสุด
ทางรอดหรือทางตายของประเทศที่รัฐบาลไม่มีระบบหนังสือแห่งชาติ
เมื่อวันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา ณ ห้อง 300 อาคารจักรีมหาสิรินธร คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการเสวนาในหัวข้อ “ทางรอดหรือทางตายแห่งอนาคตของประเทศและรัฐบาลที่ไม่มีระบบหนังสือของชาติ” พูดถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับวิกฤติของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ โดยมีผู้ร่วมเสวนาดังนี้ 1.) อาจารย์ กนกวลี พจนปกรณ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย 2.) คุณสุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย, 3.) คุณพิมลพร ยุติศรี ตัวแทนลิขสิทธิ์วรรณกรรมในประเทศและระหว่างประเทศ บริษัท ทัทเทิล-มอริ ประเทศไทย จำกัด 4.) อาจารย์ ดร.ปณิธิ หุ่นแสวง ประธานมูลนิธิวิชาหนังสือ นำการเสนวาโดย อาจารย์มกุฏ อรฤดี ครูสอนหนังสือและบรรณาธิการศึกษา การเสวนาครั้งนี้มีรายละเอียดอันน่าสนใจที่ผมอยากนำเสนอดังนี้
(รายละเอียดจากการเสวนาในครั้งนี้ ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่ ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด , คาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง หรือผิดเพี้ยนไปจากที่ท่านวิทยากรพูดไว้ ผมก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ)
อาจารย์มกุฏ อรฤดี ครูสอนหนังสือและบรรณาธิการศึกษาชวนคุยเรื่องสำคัญ มีความจริงอย่างหนึ่งว่าประเทศที่ไม่มีระบบหนังสือแห่งชาติจะไปไม่รอด เพราะการอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่จะทำให้ประชาชนมีความรู้ เราเคยเสนอเรื่องนี้ไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว จนปัจจุบันถึงสถานการณ์ที่วิกฤติที่สุด เมื่อนิตยสารต่างๆ ปิดตัวลง สำนักพิมพ์ต่างๆ ปิดตัวลง รวมทั้งร้านค้าขายหนังสือได้ทยอยปิดตัวตามด้วย
-ประเทศที่ไม่มีระบบหนังสือแห่งชาติก็เหมือนกับที่หมู่บ้านต้องปล่อยให้ลูกบ้านล้มตายไปเรื่อยๆ ถ้า ณ วันนี้มีใครสักคนที่ถือขวานเล่มโตๆ ออกมาจามหัวใครสักคน(ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้)ก็คงดีมาก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องจัดงานพูดคุยในวันนี้ขึ้นมา
-ขอถามท่านนายกสมาคมนักเขียนฯ ว่า ถึงตอนนี้แล้วเริ่มวิตกอะไรเกี่ยวกับสถานะการณ์ในขณะนี้บ้าง?
อาจารย์ กนกวลี พจนปกรณ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
-ในกระบวนการอ่านนั้น นักเขียนสำคัญที่สุด แต่จริงๆ แล้วนักเขียนเป็นคนที่จนที่สุดในระบบของการทำหนังสือ
-สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยมีภาระโดยตรงเกี่ยวกับการอ่าน ในยุคนี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทุกระบบ สมาคมนักเขียนฯ จึงมีนโยบายต้องดูแลนักเขียนทุกคนที่เป็นสมาชิกของเรา และดูแลสนับสนุนนักเขียนทุกกลุ่มด้วย
-โดยเฉพาะเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของนักเขียน ซึ่งนักเขียนไม่ได้รับการดูแลหรือเหลียวแลจากใครเลย ภาครัฐก็นิ่งเฉย นักเขียนจึงต้องดูแลตัวเอง ทนทำงานกันต่อไป โดยต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ(มักน้อย)
-ยุคนี้นักเขียนอาชีพที่จะอยู่รอดได้จะต้องเป็นนักเขียนไซด์ไลน์เท่านั้น หมายความว่านักเขียนควรจะมีงานประจำอย่างอื่นทำเพื่อเลี้ยงชีพก่อน แล้วจึงค่อยมาเขียนหนังสือ เช่นบางคนเป็นนายแพทย์ , นายธนาคาร , พนักงานประจำตามออฟฟิศ ฯลฯ ปัจจุบันนี้คนที่เป็นนักเขียนโดยการเขียนอย่างเดียวจะต้องอยู่อย่างยากลำบากมาก
-จริงๆ แล้วอาชีพนักเขียนไม่ได้ใช้ชีวิตที่สวยงามเลย ยุคนี้ค่าเรื่องน้อยมาก เขียนเรื่องส่งไปยังนิตยสารได้ค่าเรื่องแค่ 500 บาทก็มี และนักเขียนที่เขียนเรื่องส่งให้นิตยสาร ครั้งแรกเคยได้ค่าเรื่องเท่าใหร่ปัจจุบันก็เท่าเดิม ไม่มีการเพิ่มค่าเรื่องขึ้นให้เลย
-และเมื่อเรื่องที่เคยเขียนลงนิตยสารเอามารวมเล่มจะพิมพ์ขาย สำนักพิมพ์บางแห่งก็ให้นักเขียนเซ็นสัญญาที่ถูกเอาเปรียบ เช่น ให้เปอร์เซ็นต์น้อย ขอให้มอบสิทธิ์ทั้งในการจะทำเป็นละคร หรือจะทำขายเป็นอีบุ๊ค ฯลฯ
-ปัจจุบันสมาคมนักเขียนจะทำอะไรทุกอย่างก็ต้องทำงานไปหาเงินไปด้วย การดูแลช่วยเหลือนักเขียนเมื่อป่วยก็ช่วยเงินได้แค่หลักพันบาทเอง แต่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจที่มีมอบให้แก่กัน และในกรณีที่นักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปแล้ว พวกเขาเหล่านี้จะคอยส่งเงินมาช่วยสมาคมนักเขียนฯ เสมอ
-ดังนั้นสมาคมนักเขียนฯ จึงต้องพยายามส่งเสริมให้นักเขียนมีความรู้เพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะพัฒนางานเขียนของเขาให้ดีขึ้นด้วย
-ปัจจุบันนี้สมาคมนักเขียนฯ จะหวังพึ่งอะไรจากรัฐบาลไม่ได้เลย การทำงานแต่ละครั้งต้องหาเงินสนับสนุนจากภาคเอกชนเอง อย่างเช่นงานที่ผ่านมา “งานแจกรางวัลลุ่มแม่น้ำโขง” ที่ถือว่าเป็นงานใหญ่ระดับชาติแต่ก็ไม่มีภาครัฐเข้ามาให้การสนับสนุนเลย เราต้องหาเงินจากสปอนเซอร์ภาคเอกชนเองทุกอย่างเลย
-นี่แหละชีวิตของนักเขียนในยุคสมัยนี้
อาจารย์มกุฏ อรฤดี ครูสอนหนังสือและบรรณาธิการศึกษา
-ดูแล้วมันไม่มีความหวังอะไรเลย สมาคมนักเขียนฯ ที่เป็นผู้ดูแลสติปัญญาเบื้องต้น เหมือนเป็นยุ้งฉางที่เก็บพันธุ์ข้าว แต่สุดท้ายแล้วไม่ได้รับการดูแลที่ดี ปล่อยให้โดนมดกัดโดนมอดกินเสียหายหมด แล้วเมล็ดพันธุ์ที่จะงอกเงยออกมามันจะกลายเป็นต้นพันธ์ที่ดีได้อย่างไร? เราจึงหวังอะไรไม่ได้ ดังนั้นขอหันไปถามทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ บ้าง ว่าปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
คุณสุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
-ที่ผ่านมาคุณสุชาดาเป็นกรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ มาเกือบทุกสมัยจนกระทั่งได้เป็นนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ในสมัยนี้ ทุกครั้งเวลาที่เราพูดเรื่องนี้เราจะเดินเข้าไปหากระทรวงศึกษาธิการ แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบใดๆ กลับมาเลย ถ้าพูดถึงการส่งเสริมการอ่าน คงต้องเป็นหน้าที่โดยตรงของกระทรวงศึกษาธิการ
-ปีนี้ (พ.ศ. 2561) เป็นปีสุดท้ายแห่งทศวรรษการอ่าน แต่ปัจจุบันเราไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปเป็นร่างเลย ที่ผ่านมาสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ทำทุกอย่างที่จะผลักดันเรื่องนี้ เราเป็นภาคีการอ่านอยู่ในทุกเครือข่ายเช่นกัน
-ปัจจุบันนี้ในเมืองไทยเมื่อพูดถึงการทำงานส่งเสริมการอ่าน กลายเป็นว่าคือการจัดงานอีเวนต์ขายหนังสือ ทำกันเหมือนไฟไหม้ฟาง คือหมดแล้วก็หมดกันเลย จบแล้วก็จบกันไป
-ที่ผ่านมาจากการที่กรุงเทพมหานครได้เป็นเจ้าภาพในงานหนังสือโลก เราก็ได้มาแค่ห้องสมุดเมือง (ห้องสมุดที่เปิดใหม่บนถนนราชดำเนิน ตรงสี่แยกคอกวัว) ที่ต้องขอบริจาคหนังสือจากสำนักพิมพ์ต่างๆ ตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วการทำห้องสมุดควรจะต้องมีงบประมาณสำหรับจัดซื้อหนังสือด้วย
-สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ทุกวันนี้ไม่ได้มีทั้งทางเลือกหรือทางรอด แต่เราในฐานะของคนทำหนังสือเราต้องรอดจากสถานการณ์นี้ให้ได้
-จากการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันที่วงการดิจิทัลเข้ามานั้น เชื่อว่าในอนาคตอาจจะมีคนประมาณ 5 แสนคนที่ต้องตกงานในทุกวงการ
-ปัจจุบันสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ มีสมาชิกประมาณ 600 ราย ซึ่งเป็นสมาชิกที่เป็นร้านหนังสือประมาณ 100 กว่าร้าน ส่วนสำนักพิมพ์ประมาณ 500 ราย ซึ่งการวัดความเจริญขององค์ความรู้ในประเทศนั้นๆ เขาวัดจากจำนวนร้านหนังสือที่มีในประเทศนั้นๆ
คุณพิมลพร ยุติศรี ตัวแทนลิขสิทธิ์วรรณกรรมในประเทศและระหว่างประเทศ บริษัท ทัทเทิล-มอริ ประเทศไทย จำกัด
-ที่ผ่านมามีช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกว่าวงการหนังสือของเราเติบโตมาก เราจึงพยายามขยายงานไปสู่ต่างประเทศ แต่ปัจจุบันปรากฎว่าเหลือเอเย่นต์ต่างประเทศอยู่แค่ 2 รายเท่านั้น คือที่เวียดนามกับอินโดนีเซีย จากเดิมที่เคยมีหลายประเทศมาก
-เหมือนว่าเรากำลังอยู่ในภาพลวงตา ในวงการปัจจุบันคือภาพที่สมมุติขึ้นอย่างน่ากลัวที่สุด
-ปัจจุบันเราเหลือเอเย่นต์หนังสือแค่ 2 ประเทศ ที่เราส่งออกหายไปประมาณ 70% ปัจจุบันเหลือแค่ 30% ถ้าไม่มีเวียดนามเราก็ต้องปิดบริษัทแน่ เพราะที่ประเทศเวียดนามเขาพยายามปลุกปั้นหนังสือที่ดีๆ ออกมาขายแข่งกับพวกหนังสือผี เวียดนามพยายามทำอย่างจริงจังในเรื่องนี้ ดังนั้นทุกครั้งที่ไปเวียดนามแล้วเห็นคนกำลังอ่านหนังสือ เราจะรู้สึกดีใจมาก
คุณสุชาดา สหัสกุล
-ปัจจุบันนี้ร้านหนังสือปิดตัวลง มีผลสืบเนื่องมาจากการปิดตัวลงของนิตยสารต่างๆ รวมทั้งการปิดตัวลงของหนังสือพิมพ์ด้วย คือที่ผ่านมาการขายหนังสือเล่มไม่ใช่รายได้หลักของเขา รายได้หลักมาจากการขายนิตยสารและหนังสือพิมพ์มากกว่า ส่วนร้านค้าตามต่างจังหวัดนั้น เดิมทีเขาอยู่ได้ด้วยงบประมาณการซื้อหนังสือของภาครัฐ แต่ในปัจจุบันงบประมาณซื้อหนังสือของภาครัฐแทบไม่มีเหลือเลย
-ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่างบประมาณการซื้อหนังสือจากภาครัฐถูกตัดตอนออกไป อย่างปัจจุบันนี้หอสมุดแห่งชาติมีงบประมาณซื้อหนังสือปีละแค่ 5 ล้านบาทเอง
-ภาครัฐปัจจุบันนี้มีแต่ขอบริจาคหนังสือ ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ บอกว่าขอให้หยุดขอบริจาคหนังสือเถอะ เพราะหนังสือที่ได้รับบริจาคไปก็ไม่ตรงกับที่คนอยากจะอ่าน เช่นบางครั้งศูนย์เด็กเล็กขอให้บริจาคหนังสือ คนก็ส่งมติชนสุดสัปดาห์ , แพรวสุดสัปดาห์ ฯลฯ ไปให้ ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของคนอ่าน
-ดังนั้นเมื่อมีการส่งเสริมการอ่าน แต่เด็กไม่มีหนังสือที่เขาจะอ่านได้ ระบบการบริจาคหนังสือมันก็จะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ถ้าเราอยากให้เด็กเขารักการอ่าน เราต้องหาหนังสือที่เขาต้องการอ่านไปให้
อาจารย์ กนกวลี แสดงความเห็นว่าในกรณีนี้ว่า
-ประเด็นนี้ไปเข้าข่ายว่า หนังสือที่มีมูลค่ากับหนังสือที่มีคุณค่ามันไม่เหมือนกัน เราจึงไปบอกกับนักเขียนไม่ได้ว่า “ให้เขียนอย่างนั้นสิ เขียนอย่างนี้สิ” แต่สมาคมนักเขียนก็พยายามที่จะสนับสนุนและพัฒนางานของนักเขียนทุกกลุ่ม เราพยายามเข้าไปหากลุ่มนักเขียนที่เน้นขายอย่างเดียว ให้เขาเติมเต็มอะไรเข้าไปในเรื่องอีกสักหน่อยจะได้ไหม
อ.มกุฏ ถามว่าทำไมนิยายออนไลน์ถึงมียอดวิวเยอะมาก? เมื่อลองเข้าไปอ่านดูก็พบว่า ในเรื่องมีฉากร่วมเพศอยู่เกือบทุกบรรทัดเลย
อ.กนกวลี ตอบว่า ในประเด็นนี้สมาคมนักเขียนฯ ไม่สามารถเข้าไปดูแลได้เลย แต่เราพยายามจะพูดจากับนักเขียน พยายามโน้มน้าวใจเขาให้ได้ ให้เขาเขียนให้ดีขึ้น แต่ก็มีนักเขียนบางคนที่ทำงานทั้ง 2 ด้าน คือทำงานเขียนวรรรกรรมสร้างสรรค์ด้วย และทำงานเขียนนิยายออนไลน์หรือนิยายวายด้วย อยางเช่นนักเขียนรุ่นใหม่ คุณจิดานันท์ นักเขียนที่ได้รางวัลซีไรท์คนล่าสุด