รีวิวการเตรียมตัวสอบ Toeic ด้วยตัวเองค่ะ [TOEIC 2018]

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่า เพิ่งไปรับผลคะแนน Toeic มาค่ะ เลยอยากจะมาเล่าประสบการณ์การเตรียมตัวสอบและเทคนิคของเราค่ะ

[การเตรียมตัวก่อนถึงวันสอบ]
หลังจากซื้อหนังสือ Toeic มา เราลองทำข้อสอบ 1 ชุดก่อนเลยค่ะ ไม่ต้องจับเวลา ทำวันละ Section
แบบผ่อนคลาย ไม่เตรียมตัว ไม่อ่าน grammar หรือเทคนิคอะไรเพิ่มเติมทั้งนั้น
ทำแบบนี้เพื่อให้เข้าใจโครงสร้างของข้อสอบ วัดระดับตัวเองว่าประมาณไหน
และหาจุดผิดพลาดที่เกิดซ้ำๆ จะได้ไปปรับปรุงและ focus ในส่วนนั้นให้มากขึ้น

หลังลองทำข้อสอบในส่วน Listening ก็พบจุดอ่อนของตัวเอง คือ ชอบไปเลือกคำตอบที่ไม่ได้มีข้อมูลอยู่ในโจทย์เลย
คิดไปเองว่าฟังแล้วเข้าใจ จับประเด็นผิด และไม่ได้เข้าใจในส่วนนั้นจริงๆ รวมทั้งสมาธิหลุดไปบ้างทำให้ไม่รู้เลยว่าจะตอบอะไรดี
เลยฝึกฟังเพิ่มขึ้นจากการฟังข่าว รายงานสภาพอากาศ บทสนทนาจากละคร และจับใจความให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขากำลังพูดเกี่ยวกับอะไร ผู้พูดต้องการจะสื่อสารให้ใครฟัง บทสนทนานั้นเกิดขึ้นที่ไหน เขียน/พูดสรุปออกมาให้หมดเท่าที่จะทำได้
ควรเป็นสื่อที่ใช้ American accent เป็นหลัก แม้ข้อสอบมีสำเนียงแบบ British บ้างแต่ไม่ใช่ strong accent ฟังออกได้ไม่ยาก

ส่วน Reading นั้น นอกจากฝึกทำข้อสอบแล้ว เราไม่ได้อ่านหนังสือเล่มอื่นเป็นพิเศษค่ะ
แต่เราคิดว่าหนังสือ Toeic เล่มเดียวไม่เพียงพอสำหรับการสอบค่ะ ต้องมีหนังสือ grammar สักเล่มที่ถูกจริต หรือหาตามเว็บต่างๆ  
อันนี้แล้วแต่ความชอบและสะดวกของแต่ละคนเลยค่ะ

ส่วนคำศัพท์เราไม่ได้ท่องไป แต่จะเลือกเปิด dictionary เพื่อดูความหมายและการใช้คำศัพท์ที่เจอจากข้อสอบมากกว่าค่ะ
ศัพท์บางคำต้องเติม s เสมอ หรือบางคำเติม s แล้วความหมายเปลี่ยน ต้องคอยสังเกตเอาค่ะ
เช่น คำว่า interest ที่แปลว่าดอกเบี้ยจะไม่เติม s เพราะเป็นนามนับไม่ได้ แต่ถ้าเป็น interests จะแปลว่า กิจกรรมที่ชอบทำ เป็นต้น

[เทคนิคการทำข้อสอบ]
1. Listening Section
-Question-Response
ฟังคำถามให้ดีว่าเป็น Who, What, When, Where, Why, How หรือ Yes/No Question
เพราะคำตอบต้องสัมพันธ์กับคำถาม หรือไม่ก็มีความเป็นได้มาก make sense ที่สุด

-Short Conversations และ Short Talks
เป็น part ที่เราสมาธิหลุดบ่อยที่สุด ตาลายที่จะอ่านทั้งคำถามและคำตอบ สมอง blank ไปชั่วคราวก็มีค่ะ
แก้โดยการอ่านคำถามและคำตอบล่วงหน้าคร่าวๆ ก่อนที่บทสนทนาหรือการพูดจะเริ่มขึ้น
เพื่อจะได้รู้ขอบเขตว่าส่วนไหนที่ต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษ เราจะขีดเส้นใต้ วงกลม ในเล่มคำถามเลย เช่น

-เรื่องนั้นเกี่ยวกับใคร (ผู้ชาย ผู้หญิง หรือบุคคลที่สาม)
-ใจความหลักของบทสนทนานี้คืออะไร
-เป็น Tense ไหน (ถามเรื่องอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต)

และบางข้อเราไม่จำเป็นต้องฟังบทสนทนาจนจบก็สามารถเลือกคำตอบได้แล้ว ก็ให้วงคำตอบในข้อสอบไปเลย
จะได้ฟังอย่างต่อเนื่อง ไม่เสียเวลาไปกับการฝนคำตอบ โดยข้อที่เราได้คำตอบก่อนอาจจะไม่ใช่ข้อแรกใน 3 ข้อเสมอไป
เมื่อได้คำตอบครบทั้ง 3 ข้อ จึงค่อยมาฝนคำตอบลงสมุดทีหลัง และเตรียมตัวอ่านคำถามและคำตอบของข้อถัดไป

2. Reading Section
วิธีที่ได้ผลที่สุดสำหรับเรา คือ การทำ Part ที่ง่ายไปหายาก (จากข้อที่ 101 ไปถึง 200)
เพื่อเหลือเวลาให้กับ Reading Comprehension ซึ่งเป็น part สุดท้าย
ให้อ่านคำถามก่อนเพื่อหา scope ว่าเราจำเป็นต้องอ่านทั้ง passage เลยมั้ย หรืออ่านเจาะเฉพาะ paragraph นั้นๆ ก็ได้คำตอบแล้ว

และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราตลอดไม่ว่าจะตอนฝึกทำหรือวันสอบจริง คือ เราจะรู้สึกเหนื่อยล้า เบื่อตัวหนังสือเยอะๆ
หมดแรงใจ ไม่อยากอ่านใน part นี้เสมอ แต่ก็จะแก้ปัญหาด้วยการหลับตาสักพัก ไม่ก็ข้ามไปทำข้ออื่นก่อน

[เทคนิคอื่นๆ]
1. จำลองสถานการณ์การทำข้อสอบ
นอกจากจะทำฝึกข้อสอบบ่อยๆ แล้ว เราจะฝนคำตอบบนกระดาษที่คล้ายของจริง
รวมทั้งตั้งนาฬิกา count down จับเวลา สังเกตตัวเองว่าใช้เวลาไปกับส่วนไหนมาที่สุด
เพื่อสร้างความคุ้นเคย ลดความตื่นเต้นเมื่อถึงวันสอบจริง

download Sample Answer Sheet (หน้าที่ 20-21) ได้ที่ https://www.ets.org/Media/Tests/TOEIC/pdf/TOEIC_LR_examinee_handbook.pdf

2. สร้างนิสัยและสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้ทักษะภาษาอังกฤษดีขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้ใช้ ไม่นานก็จะลืม เราเลยต้องทำให้ภาษาที่ 2 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่ภาษาจะดีขึ้น แต่ก็จะพยายามทำต่อเนื่องทุกวันค่ะ วันละ 15 นาทีก็ยังดี

2.1 เราดูการ์ตูน, ละคร, สารคดี, vlog ภาษาอังกฤษตาม Netflix และ Youtube ไปเรื่อยๆ ไม่รู้เรื่องก็ดูไปทั้งอย่างนั้น
ฝึกออกเสียงตามบ้าง และพยายามจับใจความให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทำไมตัวละครนี้ถึงทำแบบนี้

2.2 อ่านข่าว บทความ หนังสือ นิยาย
ทำให้รู้จักโครงสร้างประโยค grammar ใหม่ๆ ที่ advance ขึ้น แต่อาจจะต้องไปอ่านเพิ่มว่ามีวิธีใช้ยังไง ใช้ในสถานการณ์ไหนได้บ้าง

2.3 เมื่อเรียนรู้พอสมควรแล้ว รับรู้ข้อมูลมาแล้ว ก็ต้องแสดงออกบ้างค่ะ (จาก Passive > Active)
เราพยายามแสดงความเห็นเป็นภาษาอังกฤษตามเว็บบอร์ดต่างๆ ตาม Facebook page ของสำนักข่าวต่างประเทศ
พอมีข่าวที่เราสนใจ ก็จะไปพิมพ์ comment แสดงความคิดเห็น ตั้งข้อสังเกต ถามคำถาม บางทีก็มีคนมาร่วม discuss ด้วย
อย่างเราชอบข่าวของ The Straits Times เพราะใช้ภาษาเข้าใจง่าย รายงานเรื่องของสิงคโปร์ซึ่งมีวัฒนธรรมคล้ายๆ กับบ้านเรา
เป็น Southeast Asian ด้วยกัน อ่านแล้วรู้สึกอินกว่าข่าวของทางอเมริกาหรืออังกฤษ

2.4 คิดในใจเป็นภาษาอังกฤษ การคิดเป็นภาษาอังกฤษบ่อยๆ จะช่วยให้พูดเรียบเรียงเป็นประโยคได้ธรรมชาติและเร็วขึ้นค่ะ
อาจจะเป็นประโยคสั้นๆ 1-2 ประโยค แสดงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เช่น
“Empty seats! Surprisingly, the train is not packed. Let’s sit over there.”
“That student gave up her seat to an elder. That was nice of her.”

----------

ก็จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ หวังว่าเนื้อหาจะมีประโยชน์และพอจะเอาไปใช้ในการสอบ Toeic ได้บ้างนะคะ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่า

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่