สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การเปลี่ยนเลนส์ตาที่มีสาเหตุมาจากโรคต้อกระจก อย่าเรียกว่ารีวิวเลยเนอะ เพราะคงไม่มีใครอยากไปใช้บริการอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณแฟนเรานะคะ ซึ่งเราอยู่ในเวลาที่เค้าไปผ่าตัดรักษาพอดี
คือเรื่องเริ่มเมื่อ 4 ปีก่อน แฟนเป็นคนจีนค่ะ ตี๋น้อยชาวจีนอายุ 33 ปี ไหว้เจ้าเมื่อเช้า สายแล้วยังรู้สึกว่ามีควันธูปลอยอยู่ในบ้าน ก็บ่นให้ม๊าฟังว่า ทำไมควันเยอะจัง คราวหน้าต้องหาธูปไร้ควันมาใช้แล้ว แต่พอปิดตาขวา อ้าวควันธูปหาย ตาขวาดูมัวๆ ไฟแตกเป็นแฉกๆ ก็คิดว่า สงสัยเมื่อคืนนอนน้อย เมื่อคืนดูบอลด้วย แถมปิดไฟหมด เปิดทีวีในความมืด เอ้าซื้อยาหยอดตาดีกว่า.......
วันต่อมา คุณเภสัชบอกว่าไม่ใช่ตาอักเสบละ ไปหาหมอเถอะ ตะหงิดๆ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าสงสัยอะไร
ก็ชักใจไม่ดีละ เลยตรงไปที่ รพ.กลางเลย พอไปถึง พบหมอที่รพ.กลาง คุณหมอวินิจฉัยมาทำเอาโลกถล่มลงมาตรงหน้า "คุณเป็นต้อกระจก"
-เป็นไปได้ไง เมื่ออาทิตย์ก่อนยังปกติอยู่เลย
-เกิดจากอะไร การใช้คอมมากไปมั้ย
-แล้วจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง
คุณหมอบอกว่าในช่วงอายุระหว่าง 55 - 64 ปี จะพบได้ 40%
ส่วนช่วงอายุ 65 - 74 ปี จะพบได้ 50%
และอายุมากกว่า 74 ปี พบว่าเป็นต้อกระจกมากกว่า 90%
แต่ป๋มยังแค่ 33 เองนะ คุณหมอบอกว่าไม่เกี่ยวกับการใช้สายตามาก อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุ โดนกระแทกแรงๆ เช่น โดนชกหน้า อันนี้เป็นไปได้ เมื่อไม่นานมานี้ไปเตะบอลกะเพื่อนๆ โดนบอลอัดหน้ามาเต็มๆ คุณหมอยังบอกอีกว่า ถ้ายังไม่รบกวนการใช้ชีวิตก็ยังไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งมันฝ้ามาก จนบดบังการมองเห็น ให้ไปผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา
คุณแฟนเฟลค่ะ เฟลมากๆ เฟลถึงที่สุด ก็เปิดหาข้อมูลไป ยิ่งเห็นว่าต้องผ่าตัดก็ยิ่งกังวล กลัวไปหมด และแฟนก็ไปเปิดกระทู้ที่เรารีวิวทำเลสิกไว้ด้วย
(
http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2010/04/Q9149453/Q9149453.html) มาคุยกันทีหลังคุณแฟนบอกว่ารีวิวให้พี่ด้วยนะ คนที่เป็นมาอ่านจะได้ไม่ต้องกังวลมากเหมือนพี่
เวลาผ่านไป ตาก็ค่อยๆขุ่นขึ้นทีละน้อยๆ จากที่เคยออกแดดได้ ก็แสบตาจนไม่ไหว ไปเที่ยวทีไร ถ่ายรูปกลางแดดต้องมีแว่นดำตลอด เป็นเพราะปกติเลนส์ตามีหน้าที่รวมรวมแสง และส่งแสงที่รวมแล้วนั้นไปยังฉากด้านหลังลูกตาที่เรียกว่า ratina ทีนี้เลนส์ตาที่ขุ่นมัว ก็ทำให้แสงผ่านไปไม่ได้และกระจายทั่วทิศทั่วทางสะท้อนไปยัง ratina แบบมั่วๆ ทำให้เห็นเป็นแสงวาบกระจายทั่วตาและสู้แสงไม่ได้
จนกระทั่งกลางเดือนกุมภาพันธ์ 61 ที่ผ่านมา คุณแฟนรู้สึกว่ามันแย่ลงเร็วมาก เริ่มเดินชนเสาที่อยู่ทางด้านขวามือ ไม่เห็นคนที่กำลังจะข้ามถนนทางขวามือ ภาพจากตาขวาเป็นหมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเวียนหัวและปวดหัวบ่อยๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ไม่ไปรักษาเสียทีคือ คุณแฟนกลัว กลัวมาก กังวล นอยด์ ทั้งหมดแหละ แต่ตัวเราเองผ่านเลสิกมาแล้วไง ชิล ก็เลยยุให้รีบไปทำ แกก็บอกรอแต่งงานก่อน จะได้มีคนดูแลเวลาอาบน้ำสระผม
แต่อะไรที่ถึงเวลา มันก็ถึงเวลา
พี่เค้าหาข้อมูลรพ.ที่รักษาต้อ จนได้ข้อมูลคลินิกแก้วตาที่เซ็นจูรี่ โดยคุณหมอสุเมธ แกเป็นหมอที่เก่งคนนึง เคสเยอะมาก เปิดแค่เสาร์ อาทิตย์ จองคิววันพฤ-ศุกร์ก่อนอาทิตย์ที่จะนัด
วันนี้ก็สมควรแก่เวลา เรารีบขับรถออกไปรับพี่เค้าแต่เช้า กินข้าวแล้วออกจากบ้าน ถึงเซ็นจูรี่ประมาณ 9.30 ก็ขึ้นไปที่คลินิกเลย มีคนนอยด์มาตลอดทาง คุยยิ้มแย้ม แต่มือเย็นเฉียบ พอถึงพยาบาลก็จับวัดสายตา ความดันตา แล้วหยอดขยายม่านตารอคุณหมอ หยอดตาไปก็แสบตาไป ตาแดงหน่อยๆ ยาอะไร แสบตาจัง คนไข้ก็มาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผู้สูงอายุล้วนๆ คุณแฟนเราเด็กสุดเลย (ณ วันที่ผ่าอายุ 37 ขวบกับอีก 1 เดือน) เลยโดนสายตาคุณป้าคุณลุงมองอยู่บ่อยๆ
คุณพยาบาลที่สลับมาหยอดยา เดินผ่านคุณแฟนไปเฉย นึกว่าญาติคุณป้าข้างๆ
พอบ่ายโมงกว่าคุณหมอมาถึงก็เข้าไปตรวจ ข้างขวาต้องสุกแล้วจริงๆ ขาวโพลนเลย ส่วนซ้ายปกติ ใสแจ๋ว
ปกติในตาเราจะต้องมืด แต่ของพี่เค้าเป็นอย่างที่เห็น ขวาฝ้าขาว ซ้ายดำสนิด
คุณแฟนเราก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ติดคอม ติดเกม นั่งจ้องจอได้เป็นวันๆ สายตาทั้ง 2 ข้างก็สั้นตามพฤติกรรม ประมาณ 1.75 ทั้ง 2 ข้าง
เราถามคุณหมอว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง ทำไมเป็นตั้งแต่อายุยังน้อย
คุณหมอบอกว่า
1. เกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ แต่คุณดูไม่เหมือนคนใช้ยา (เนื่องจากพี่เค้าก็ดูสมบูรณ์นิดๆ อวบหน่อยๆ 555555)
2. เกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งกรณีคุณก็ไม่ใช่อีกแหละ เพราะถ้าใช่ ฝ้าขาวต้องเริ่มจากบริเวณนี้ (ชี้รูปตาขุ่นในจอ) แล้วกระจายออกเป็นรัศมี
3. เกิดขึ้นเอง อยากเป็นก็เป็น อยากเกิดก็เกิด ซึ่งของคุณน่าจะเป็นอันนี้แหละ
คนไข้ครับ ของคุณ....มีข้อควรระวังดังนี้ คุณหมอบอกเสียงดัง เราก็พลอยตกใจไปด้วย
1. ตาขวาหลังเปลี่ยนจะสั้นที่ 50 ซึ่งเป็นสายตาของคนปกติ แต่เป็นเลนส์ monofocus มองไกลชัด มองใกล้จะไม่ชัด ลักษณะเหมือนคนสายตายาว
2.ข้างซ้ายสั้น1.75 ซึ่งไม่เยอะ เวลาทำแล้ว ขวายาว ซ้ายสั้น ขวาไว้มองไกล ซ้ายไว้มองใกล้ละกัน หมอแบ่งหน้าที่ให้เรียบร้อยเลย 55555
และ 3.ใน2-3เดือน อาจจะมีพังผืดมาเกาะเลนส์ เพราะร่างกายจะ detect ได้ว่าเลนส์ที่เปลี่ยนเข้าไปเป็นสิ่งแปลกปลอม ปกติผู้สูงอายุจะไม่เป็น แต่ด้วยความที่คุณอายุน้อย มีสิทธิ์เป็นได้ ดังนั้น มาพบผมทุก6เดือน ถ้าถึงขั้นตอนที่ควรแก้ไข แค่ไปยิงเลเซอร์ 3000-5000 บาท จะไม่มีพังผืดขึ้นมาอีกเลยตลอดไป
คุณหมอบอกแบบนี้ แอบกังวลแทนคุณแฟนละ ในใจบอก....หมอ อย่าพูดเยอะ เดี๋ยวพี่แกกลัวแล้วจะไม่ยอมทำ
และคำถามสุดท้ายที่คุณแฟนถามหมอ "เจ็บมั้ยครับ" หมอบอกว่า เท่าที่ทำมาคนไข้ก็ไม่ร้องนะ 55555555 คุงหม๊ออออออออออออออ
แล้วคุณแฟนก็ออกมานั่งหยอดยาต่อ สักพักก็เข้าไปล้างหน้าด้วยเบตาดีฆ่าเชื้อทั้งหน้า รอคุณหมอตรวจครบทุกคนแล้วจะเริ่มผ่า พี่เค้าเป็นคิวที่3
คิว1เป็นคุณพ่ออายุเยอะละ คิว2ก็เป็นคุณแม่อายุเยอะละ พี่เค้าเด็กสุดในผู้ป่วยทั้งหมด ก็โดนป้าๆลุงๆถามเหมือนกันว่าทำไมเป็นเร็วจัง ผมก็ไม่ทราบคับ
บรรยากาศในคลินิก อบอุ่นมาก คนเยอะมาก บางบ้านก็มาเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่กันทั้งบ้าน แต่ของเรา คุณแฟนไม่ยอมให้คุณแม่กับน้องสาวเค้ามา เพราะกลัวว่าทั้ง 2 จะพลอยกลัวไปด้วย
คิว1-2 เรียกเข้าไปแล้ว คุณแฟนมือเย็นเฉียบ รีบไปเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวเข้าห้องผ่า เราก็ไปจ่ายตัง รับยาเรียบร้อย เดินมาบอกคุณแฟนว่า ถอยหลังไม่ได้แล้วนะ (พี่แกแกล้งถามทีเล่นทีจริงว่า กลับบ้านกันมะๆ 55555)
ต่อจากนี้เป็นข้อมูลที่คุณแฟนเล่าให้ฟัง เราได้แต่นั่งรออยู่ด้านนอก
เข้าไปถึงห้องเตรียมตัวผ่าตัด มีเก้าอี้ 2 ตัว คุณแม่คิวก่อนหน้านั่งอยู่ตัวนึง อีกตัวของผมแน่นอน คุณพยาบาลให้เปลี่ยนเสื้อ ใส่หมวกแล้วรอคิว ในห้องเงียบกริบ ผู้สูงอายุกว่า และผู้อายุน้อยกว่านั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองบนเก้าอี้นุ่ม แอร์เย็นๆที่มีเสียเครื่องจักรดังครืดๆ ปืดๆๆ เหมือนตอนทำเลสิกเราเลย(อ่านกระทู้ตรูมากไปแหงๆ) แล้วก็มีเสียงเพลงแบบโมโนริงโทนแทรกมาเป็นระยะๆ
คุณแฟนแกบอกภายหลังว่าช่วงนี้เป็นจังหวะนรกมาก คิดดนู่นคิดนี่ ใจนึงอยากทำอีกใจกก็กลัวเจ็บ
พอคุณแม่คิวที่ 2 ถูกเรียกเข้าไป จังหวะนรกก็นรกกว่าเดิมอีก ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ คุณพ่อคิวแรกออกมา พี่เค้าก็ยิ่งกลัวละ คุณพ่อคงเดาสีหน้าพี่เค้าออกเลยเดินมาตบไหล่ "ไม่ต้องกลัวลูก ไม่เจ็บๆ" "เพื่อชีวิตที่สดใสกว่า" แล้วแกก็เดินออกไป
หืยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ช่วยบรรเทาความกลัวของคุณแฟนลงไปได้เยอะมากเลย (กราบขอบพระคุณคุณพ่อ)
ตัดภาพออกมาข้างนอก ญาติก็นั่งรอไปสิ ชะเง้อคอยาวเลย เมื่อไหร่จะออกมา เป็นห่วงก็เป็นห่วง กลัวตื่นเต้นจนคุณหมอทำไม่ได้
กลับเข้าไปในห้องเตรียมตัวผ่าตัด พอคุณแม่คิวที่ 2 ออกมา คุณแฟนก็ใจสั่นอีกแล้ว เสียงคุณพยาบาลเรียก ทำเอาสะดุ้ง
พอเข้าไปห้องผ่าตัด คุณพยาบาลก็ให้ไปนอนบนเตียง เริ่มทำความสะอาดหน้าด้วยเบตาดีนอีกครั้ง เก็บขนตา แล้วก็เอาที่ปิดหูกับผ้าปิดตาข้างที่เหลือ เสียงทุกอย่างก็เงียบลง (ทั้งๆที่พี่เค้าเป็นคนหูไว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย คาดว่าคงกังวลจนไม่ได้ยิน 5555555)
การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 6-10 นาที่ พี่เค้าบอกว่าเป็น 6 นาทีที่ย๊าวยาวนานน๊านนาน รู้สึกตัวทุกวินาที เมื่อไหร่มันจะจบๆเสียที
หยอดยาชาเสร็จ หมอก็ส่องไฟมาที่ตา ตาคุณแฟนแทบทนไม่ได้ เพราะแสงจ้ามากๆ ตอนนั้นพี่เค้าคิดแค่ว่านี่เป็นทางที่ถูกแล้ว เชื่อใจคุณหมอ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป (ต่อไปนี้ข้อมูลจากยูทูปซึ่งพี่เค้าก็ไม่ยอมดูคลิปก่อน เลยขอเล่าสั้นๆตามที่ดูในคลิปมาค่ะ) หมอเริ่มจากการใช้มีดปาดชั้นกระจกตาเข้าไปถึงช่องหน้าเลนส์ เอาสีย้อมให้เห็นขอบเขตของเลนส์ให้ชัดเจน เอาเครื่องมือเข้าไปลอกแคปซูลเลนส์ออก แล้วใช้อุปกรณ์เข้าไปพังทะลายเลนส์ตาที่เป็นโปรตีนนิ่มๆให้เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แล้วดูดออก จากนั้นก็เอาเลนส์ใหม่ยิงปิ้วเข้าไปทดแทนเลนส์เก่าที่ดูดออก ปิดตาด้วยผ้ากรอซ เสร็จแล้ว พี่เค้าบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวันนี้ แผลกระจกตาจะเชื่อมต่อกันภายใน 4 นาที
คุณแฟนขอบคุณคุณหมอ คุณพยาบาลแล้วเดินออกมาที่ห้องเตรียมตัวผ่า คุณป้าคนถัดไปรออยู่ พี่เค้าบอกคุณป้าว่า "ไม่เจ็บเลยครับ แป๊บเดียว" (แหม๋......................... อยากให้กลับไปอ่านบรรทัด 6 นาทีน๊านนานใหม่) พี่เค้าบอกว่ามันเป็นคำปลอบประโลมที่อยากได้ยินมากที่สุด เป็นคำวิเศษที่ทำให้ความกังวลหายไปสิ้น เหมือนตอนที่คุณพ่อคิวแรกบอกพี่เค้า ก็เลยอยากส่งต่อความกล้าให้คุณป้าคิวต่อไป คุณพยาบาลติดฝาอุลต้าแมน(ฝาครอบกันขยี้ตา)ให้ เปลี่ยนชุดแล้วก็ออกมาจากห้องเตรียมตัวผ่า
พอพี่เค้าเดินออกมาจากห้องเตรียมตัวผ่า เรานี่ดีใจเหมือนพี่เค้าผ่านสมรภูมิรบมาได้ ดีใจที่เห็นสีหน้าเปื้อนยิ้มของพี่เค้า คงเป็นเพราะเค้ากังวลมากๆ ยิ่งเราเห็นเค้ายิ้มได้ เราก็ดีใจ
ความกังวลทั้งหลายมลายสิ้นไปแล้ว โจรสลัดปิดตาหนึ่งข้างหน้าตายิ้มแย้มพร้อมที่จะกินข้าวกลางวันแล้ว แม้ว่าจะกินไม่ค่อยลงก็ตามที พี่เค้าพาไปกินมื้อกลางวันที่ชั้น 3 ระหว่างกินก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ขาดปาก
พรุ่งนี้ 9 โมงเช้าเปิดตาเองที่บ้านแล้วหยอดยาฆ่าเชื้อทุกๆ 2 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลา 7วัน
ห้ามทำน้ำเข้าตาเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ใส่ที่ครอบตาตอนนอน 7 วัน
ถ้าปวดมียาพาราให้กินทุก 4 ชั่วโมง
มีแว่นกันแดดอีกหนึ่งอัน
ช่วงนี้ต้องยังปรับสายตาประมาณหนึ่งอาทิตย์
ก็เลยคุยกะพี่เค้าว่าแว่นสายตาใส่ไม่ได้แล้ว หาซื้อแว่นกรองแสงสายตาปกติไปใส่ก่อนมั้ย เวลาแปรงฟัน หรืออาบน้ำ น้ำจะได้ไม่กระเด็นเข้าตา นอยด์แทนไปอีก ส่วนจะไปตัดแว่นเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
พอกลับมาถึงบ้านพี่เค้าก็บอกเราว่าอยากให้เราเขียนกระทู้ขึ้นมา เพื่อส่งต่อประสบการณ์ ให้คนที่เริ่มเป็นไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกังวล เป็นโรคที่รักษาได้และผลการรักษาดีเกือบ100% ชีวิตหลังการผ่าตัดมันดีกว่ามาก อย่าทนกับการมองไม่เห็นหลายๆปี เราซื้อเวลากลับมาไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิตก็รอไปก่อน แต่อย่ารอนานจนเสียการมองเห็นไป เมื่อไหร่ที่มันแย่ลงก็รีบเข้ารับการรักษา
และอีกอย่างไม่มีใครเขียนกระทู้รีวิวเลย เนื่องจากเป็นโรคที่พบในผู้สูงอายุ และท่านๆก็คงมารีวิวกันไม่ไหวแล้ว พี่เค้าเคยทุกข์ใจและเฟลกับภาวะโรคมาก และไม่กล้าที่จะเข้ารับการผ่าตัด ณ วันนี้ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว
วันนี้เปิดตาตอน 9 โมง โลกใหม่ ชีวิตใหม่ชัดๆ ชัดจริงๆนะ ชัดแจ๋วเลย
[CR] รีวิว เปลี่ยนเลนส์ตา รักษาภาวะต้องกระจกในผู้ป่วยอายุน้อย (Cataract)
เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณแฟนเรานะคะ ซึ่งเราอยู่ในเวลาที่เค้าไปผ่าตัดรักษาพอดี
คือเรื่องเริ่มเมื่อ 4 ปีก่อน แฟนเป็นคนจีนค่ะ ตี๋น้อยชาวจีนอายุ 33 ปี ไหว้เจ้าเมื่อเช้า สายแล้วยังรู้สึกว่ามีควันธูปลอยอยู่ในบ้าน ก็บ่นให้ม๊าฟังว่า ทำไมควันเยอะจัง คราวหน้าต้องหาธูปไร้ควันมาใช้แล้ว แต่พอปิดตาขวา อ้าวควันธูปหาย ตาขวาดูมัวๆ ไฟแตกเป็นแฉกๆ ก็คิดว่า สงสัยเมื่อคืนนอนน้อย เมื่อคืนดูบอลด้วย แถมปิดไฟหมด เปิดทีวีในความมืด เอ้าซื้อยาหยอดตาดีกว่า.......
วันต่อมา คุณเภสัชบอกว่าไม่ใช่ตาอักเสบละ ไปหาหมอเถอะ ตะหงิดๆ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าสงสัยอะไร
ก็ชักใจไม่ดีละ เลยตรงไปที่ รพ.กลางเลย พอไปถึง พบหมอที่รพ.กลาง คุณหมอวินิจฉัยมาทำเอาโลกถล่มลงมาตรงหน้า "คุณเป็นต้อกระจก"
-เป็นไปได้ไง เมื่ออาทิตย์ก่อนยังปกติอยู่เลย
-เกิดจากอะไร การใช้คอมมากไปมั้ย
-แล้วจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง
คุณหมอบอกว่าในช่วงอายุระหว่าง 55 - 64 ปี จะพบได้ 40%
ส่วนช่วงอายุ 65 - 74 ปี จะพบได้ 50%
และอายุมากกว่า 74 ปี พบว่าเป็นต้อกระจกมากกว่า 90%
แต่ป๋มยังแค่ 33 เองนะ คุณหมอบอกว่าไม่เกี่ยวกับการใช้สายตามาก อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุ โดนกระแทกแรงๆ เช่น โดนชกหน้า อันนี้เป็นไปได้ เมื่อไม่นานมานี้ไปเตะบอลกะเพื่อนๆ โดนบอลอัดหน้ามาเต็มๆ คุณหมอยังบอกอีกว่า ถ้ายังไม่รบกวนการใช้ชีวิตก็ยังไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งมันฝ้ามาก จนบดบังการมองเห็น ให้ไปผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา
คุณแฟนเฟลค่ะ เฟลมากๆ เฟลถึงที่สุด ก็เปิดหาข้อมูลไป ยิ่งเห็นว่าต้องผ่าตัดก็ยิ่งกังวล กลัวไปหมด และแฟนก็ไปเปิดกระทู้ที่เรารีวิวทำเลสิกไว้ด้วย
(http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2010/04/Q9149453/Q9149453.html) มาคุยกันทีหลังคุณแฟนบอกว่ารีวิวให้พี่ด้วยนะ คนที่เป็นมาอ่านจะได้ไม่ต้องกังวลมากเหมือนพี่
เวลาผ่านไป ตาก็ค่อยๆขุ่นขึ้นทีละน้อยๆ จากที่เคยออกแดดได้ ก็แสบตาจนไม่ไหว ไปเที่ยวทีไร ถ่ายรูปกลางแดดต้องมีแว่นดำตลอด เป็นเพราะปกติเลนส์ตามีหน้าที่รวมรวมแสง และส่งแสงที่รวมแล้วนั้นไปยังฉากด้านหลังลูกตาที่เรียกว่า ratina ทีนี้เลนส์ตาที่ขุ่นมัว ก็ทำให้แสงผ่านไปไม่ได้และกระจายทั่วทิศทั่วทางสะท้อนไปยัง ratina แบบมั่วๆ ทำให้เห็นเป็นแสงวาบกระจายทั่วตาและสู้แสงไม่ได้
จนกระทั่งกลางเดือนกุมภาพันธ์ 61 ที่ผ่านมา คุณแฟนรู้สึกว่ามันแย่ลงเร็วมาก เริ่มเดินชนเสาที่อยู่ทางด้านขวามือ ไม่เห็นคนที่กำลังจะข้ามถนนทางขวามือ ภาพจากตาขวาเป็นหมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเวียนหัวและปวดหัวบ่อยๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ไม่ไปรักษาเสียทีคือ คุณแฟนกลัว กลัวมาก กังวล นอยด์ ทั้งหมดแหละ แต่ตัวเราเองผ่านเลสิกมาแล้วไง ชิล ก็เลยยุให้รีบไปทำ แกก็บอกรอแต่งงานก่อน จะได้มีคนดูแลเวลาอาบน้ำสระผม
แต่อะไรที่ถึงเวลา มันก็ถึงเวลา
พี่เค้าหาข้อมูลรพ.ที่รักษาต้อ จนได้ข้อมูลคลินิกแก้วตาที่เซ็นจูรี่ โดยคุณหมอสุเมธ แกเป็นหมอที่เก่งคนนึง เคสเยอะมาก เปิดแค่เสาร์ อาทิตย์ จองคิววันพฤ-ศุกร์ก่อนอาทิตย์ที่จะนัด
วันนี้ก็สมควรแก่เวลา เรารีบขับรถออกไปรับพี่เค้าแต่เช้า กินข้าวแล้วออกจากบ้าน ถึงเซ็นจูรี่ประมาณ 9.30 ก็ขึ้นไปที่คลินิกเลย มีคนนอยด์มาตลอดทาง คุยยิ้มแย้ม แต่มือเย็นเฉียบ พอถึงพยาบาลก็จับวัดสายตา ความดันตา แล้วหยอดขยายม่านตารอคุณหมอ หยอดตาไปก็แสบตาไป ตาแดงหน่อยๆ ยาอะไร แสบตาจัง คนไข้ก็มาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผู้สูงอายุล้วนๆ คุณแฟนเราเด็กสุดเลย (ณ วันที่ผ่าอายุ 37 ขวบกับอีก 1 เดือน) เลยโดนสายตาคุณป้าคุณลุงมองอยู่บ่อยๆ
คุณพยาบาลที่สลับมาหยอดยา เดินผ่านคุณแฟนไปเฉย นึกว่าญาติคุณป้าข้างๆ
พอบ่ายโมงกว่าคุณหมอมาถึงก็เข้าไปตรวจ ข้างขวาต้องสุกแล้วจริงๆ ขาวโพลนเลย ส่วนซ้ายปกติ ใสแจ๋ว
ปกติในตาเราจะต้องมืด แต่ของพี่เค้าเป็นอย่างที่เห็น ขวาฝ้าขาว ซ้ายดำสนิด
คุณแฟนเราก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ติดคอม ติดเกม นั่งจ้องจอได้เป็นวันๆ สายตาทั้ง 2 ข้างก็สั้นตามพฤติกรรม ประมาณ 1.75 ทั้ง 2 ข้าง
เราถามคุณหมอว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง ทำไมเป็นตั้งแต่อายุยังน้อย
คุณหมอบอกว่า
1. เกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ แต่คุณดูไม่เหมือนคนใช้ยา (เนื่องจากพี่เค้าก็ดูสมบูรณ์นิดๆ อวบหน่อยๆ 555555)
2. เกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งกรณีคุณก็ไม่ใช่อีกแหละ เพราะถ้าใช่ ฝ้าขาวต้องเริ่มจากบริเวณนี้ (ชี้รูปตาขุ่นในจอ) แล้วกระจายออกเป็นรัศมี
3. เกิดขึ้นเอง อยากเป็นก็เป็น อยากเกิดก็เกิด ซึ่งของคุณน่าจะเป็นอันนี้แหละ
คนไข้ครับ ของคุณ....มีข้อควรระวังดังนี้ คุณหมอบอกเสียงดัง เราก็พลอยตกใจไปด้วย
1. ตาขวาหลังเปลี่ยนจะสั้นที่ 50 ซึ่งเป็นสายตาของคนปกติ แต่เป็นเลนส์ monofocus มองไกลชัด มองใกล้จะไม่ชัด ลักษณะเหมือนคนสายตายาว
2.ข้างซ้ายสั้น1.75 ซึ่งไม่เยอะ เวลาทำแล้ว ขวายาว ซ้ายสั้น ขวาไว้มองไกล ซ้ายไว้มองใกล้ละกัน หมอแบ่งหน้าที่ให้เรียบร้อยเลย 55555
และ 3.ใน2-3เดือน อาจจะมีพังผืดมาเกาะเลนส์ เพราะร่างกายจะ detect ได้ว่าเลนส์ที่เปลี่ยนเข้าไปเป็นสิ่งแปลกปลอม ปกติผู้สูงอายุจะไม่เป็น แต่ด้วยความที่คุณอายุน้อย มีสิทธิ์เป็นได้ ดังนั้น มาพบผมทุก6เดือน ถ้าถึงขั้นตอนที่ควรแก้ไข แค่ไปยิงเลเซอร์ 3000-5000 บาท จะไม่มีพังผืดขึ้นมาอีกเลยตลอดไป
คุณหมอบอกแบบนี้ แอบกังวลแทนคุณแฟนละ ในใจบอก....หมอ อย่าพูดเยอะ เดี๋ยวพี่แกกลัวแล้วจะไม่ยอมทำ
และคำถามสุดท้ายที่คุณแฟนถามหมอ "เจ็บมั้ยครับ" หมอบอกว่า เท่าที่ทำมาคนไข้ก็ไม่ร้องนะ 55555555 คุงหม๊ออออออออออออออ
แล้วคุณแฟนก็ออกมานั่งหยอดยาต่อ สักพักก็เข้าไปล้างหน้าด้วยเบตาดีฆ่าเชื้อทั้งหน้า รอคุณหมอตรวจครบทุกคนแล้วจะเริ่มผ่า พี่เค้าเป็นคิวที่3
คิว1เป็นคุณพ่ออายุเยอะละ คิว2ก็เป็นคุณแม่อายุเยอะละ พี่เค้าเด็กสุดในผู้ป่วยทั้งหมด ก็โดนป้าๆลุงๆถามเหมือนกันว่าทำไมเป็นเร็วจัง ผมก็ไม่ทราบคับ
บรรยากาศในคลินิก อบอุ่นมาก คนเยอะมาก บางบ้านก็มาเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่กันทั้งบ้าน แต่ของเรา คุณแฟนไม่ยอมให้คุณแม่กับน้องสาวเค้ามา เพราะกลัวว่าทั้ง 2 จะพลอยกลัวไปด้วย
คิว1-2 เรียกเข้าไปแล้ว คุณแฟนมือเย็นเฉียบ รีบไปเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวเข้าห้องผ่า เราก็ไปจ่ายตัง รับยาเรียบร้อย เดินมาบอกคุณแฟนว่า ถอยหลังไม่ได้แล้วนะ (พี่แกแกล้งถามทีเล่นทีจริงว่า กลับบ้านกันมะๆ 55555)
ต่อจากนี้เป็นข้อมูลที่คุณแฟนเล่าให้ฟัง เราได้แต่นั่งรออยู่ด้านนอก
เข้าไปถึงห้องเตรียมตัวผ่าตัด มีเก้าอี้ 2 ตัว คุณแม่คิวก่อนหน้านั่งอยู่ตัวนึง อีกตัวของผมแน่นอน คุณพยาบาลให้เปลี่ยนเสื้อ ใส่หมวกแล้วรอคิว ในห้องเงียบกริบ ผู้สูงอายุกว่า และผู้อายุน้อยกว่านั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองบนเก้าอี้นุ่ม แอร์เย็นๆที่มีเสียเครื่องจักรดังครืดๆ ปืดๆๆ เหมือนตอนทำเลสิกเราเลย(อ่านกระทู้ตรูมากไปแหงๆ) แล้วก็มีเสียงเพลงแบบโมโนริงโทนแทรกมาเป็นระยะๆ
คุณแฟนแกบอกภายหลังว่าช่วงนี้เป็นจังหวะนรกมาก คิดดนู่นคิดนี่ ใจนึงอยากทำอีกใจกก็กลัวเจ็บ
พอคุณแม่คิวที่ 2 ถูกเรียกเข้าไป จังหวะนรกก็นรกกว่าเดิมอีก ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ คุณพ่อคิวแรกออกมา พี่เค้าก็ยิ่งกลัวละ คุณพ่อคงเดาสีหน้าพี่เค้าออกเลยเดินมาตบไหล่ "ไม่ต้องกลัวลูก ไม่เจ็บๆ" "เพื่อชีวิตที่สดใสกว่า" แล้วแกก็เดินออกไป
หืยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ช่วยบรรเทาความกลัวของคุณแฟนลงไปได้เยอะมากเลย (กราบขอบพระคุณคุณพ่อ)
ตัดภาพออกมาข้างนอก ญาติก็นั่งรอไปสิ ชะเง้อคอยาวเลย เมื่อไหร่จะออกมา เป็นห่วงก็เป็นห่วง กลัวตื่นเต้นจนคุณหมอทำไม่ได้
กลับเข้าไปในห้องเตรียมตัวผ่าตัด พอคุณแม่คิวที่ 2 ออกมา คุณแฟนก็ใจสั่นอีกแล้ว เสียงคุณพยาบาลเรียก ทำเอาสะดุ้ง
พอเข้าไปห้องผ่าตัด คุณพยาบาลก็ให้ไปนอนบนเตียง เริ่มทำความสะอาดหน้าด้วยเบตาดีนอีกครั้ง เก็บขนตา แล้วก็เอาที่ปิดหูกับผ้าปิดตาข้างที่เหลือ เสียงทุกอย่างก็เงียบลง (ทั้งๆที่พี่เค้าเป็นคนหูไว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย คาดว่าคงกังวลจนไม่ได้ยิน 5555555)
การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 6-10 นาที่ พี่เค้าบอกว่าเป็น 6 นาทีที่ย๊าวยาวนานน๊านนาน รู้สึกตัวทุกวินาที เมื่อไหร่มันจะจบๆเสียที
หยอดยาชาเสร็จ หมอก็ส่องไฟมาที่ตา ตาคุณแฟนแทบทนไม่ได้ เพราะแสงจ้ามากๆ ตอนนั้นพี่เค้าคิดแค่ว่านี่เป็นทางที่ถูกแล้ว เชื่อใจคุณหมอ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป (ต่อไปนี้ข้อมูลจากยูทูปซึ่งพี่เค้าก็ไม่ยอมดูคลิปก่อน เลยขอเล่าสั้นๆตามที่ดูในคลิปมาค่ะ) หมอเริ่มจากการใช้มีดปาดชั้นกระจกตาเข้าไปถึงช่องหน้าเลนส์ เอาสีย้อมให้เห็นขอบเขตของเลนส์ให้ชัดเจน เอาเครื่องมือเข้าไปลอกแคปซูลเลนส์ออก แล้วใช้อุปกรณ์เข้าไปพังทะลายเลนส์ตาที่เป็นโปรตีนนิ่มๆให้เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แล้วดูดออก จากนั้นก็เอาเลนส์ใหม่ยิงปิ้วเข้าไปทดแทนเลนส์เก่าที่ดูดออก ปิดตาด้วยผ้ากรอซ เสร็จแล้ว พี่เค้าบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวันนี้ แผลกระจกตาจะเชื่อมต่อกันภายใน 4 นาที
คุณแฟนขอบคุณคุณหมอ คุณพยาบาลแล้วเดินออกมาที่ห้องเตรียมตัวผ่า คุณป้าคนถัดไปรออยู่ พี่เค้าบอกคุณป้าว่า "ไม่เจ็บเลยครับ แป๊บเดียว" (แหม๋......................... อยากให้กลับไปอ่านบรรทัด 6 นาทีน๊านนานใหม่) พี่เค้าบอกว่ามันเป็นคำปลอบประโลมที่อยากได้ยินมากที่สุด เป็นคำวิเศษที่ทำให้ความกังวลหายไปสิ้น เหมือนตอนที่คุณพ่อคิวแรกบอกพี่เค้า ก็เลยอยากส่งต่อความกล้าให้คุณป้าคิวต่อไป คุณพยาบาลติดฝาอุลต้าแมน(ฝาครอบกันขยี้ตา)ให้ เปลี่ยนชุดแล้วก็ออกมาจากห้องเตรียมตัวผ่า
พอพี่เค้าเดินออกมาจากห้องเตรียมตัวผ่า เรานี่ดีใจเหมือนพี่เค้าผ่านสมรภูมิรบมาได้ ดีใจที่เห็นสีหน้าเปื้อนยิ้มของพี่เค้า คงเป็นเพราะเค้ากังวลมากๆ ยิ่งเราเห็นเค้ายิ้มได้ เราก็ดีใจ
ความกังวลทั้งหลายมลายสิ้นไปแล้ว โจรสลัดปิดตาหนึ่งข้างหน้าตายิ้มแย้มพร้อมที่จะกินข้าวกลางวันแล้ว แม้ว่าจะกินไม่ค่อยลงก็ตามที พี่เค้าพาไปกินมื้อกลางวันที่ชั้น 3 ระหว่างกินก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ขาดปาก
พรุ่งนี้ 9 โมงเช้าเปิดตาเองที่บ้านแล้วหยอดยาฆ่าเชื้อทุกๆ 2 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลา 7วัน
ห้ามทำน้ำเข้าตาเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ใส่ที่ครอบตาตอนนอน 7 วัน
ถ้าปวดมียาพาราให้กินทุก 4 ชั่วโมง
มีแว่นกันแดดอีกหนึ่งอัน
ช่วงนี้ต้องยังปรับสายตาประมาณหนึ่งอาทิตย์
ก็เลยคุยกะพี่เค้าว่าแว่นสายตาใส่ไม่ได้แล้ว หาซื้อแว่นกรองแสงสายตาปกติไปใส่ก่อนมั้ย เวลาแปรงฟัน หรืออาบน้ำ น้ำจะได้ไม่กระเด็นเข้าตา นอยด์แทนไปอีก ส่วนจะไปตัดแว่นเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
พอกลับมาถึงบ้านพี่เค้าก็บอกเราว่าอยากให้เราเขียนกระทู้ขึ้นมา เพื่อส่งต่อประสบการณ์ ให้คนที่เริ่มเป็นไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกังวล เป็นโรคที่รักษาได้และผลการรักษาดีเกือบ100% ชีวิตหลังการผ่าตัดมันดีกว่ามาก อย่าทนกับการมองไม่เห็นหลายๆปี เราซื้อเวลากลับมาไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิตก็รอไปก่อน แต่อย่ารอนานจนเสียการมองเห็นไป เมื่อไหร่ที่มันแย่ลงก็รีบเข้ารับการรักษา
และอีกอย่างไม่มีใครเขียนกระทู้รีวิวเลย เนื่องจากเป็นโรคที่พบในผู้สูงอายุ และท่านๆก็คงมารีวิวกันไม่ไหวแล้ว พี่เค้าเคยทุกข์ใจและเฟลกับภาวะโรคมาก และไม่กล้าที่จะเข้ารับการผ่าตัด ณ วันนี้ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว
วันนี้เปิดตาตอน 9 โมง โลกใหม่ ชีวิตใหม่ชัดๆ ชัดจริงๆนะ ชัดแจ๋วเลย